special things
-4-
เด็กหนุ่มวิ่งผ่านร่างของผมไปเป็นเพียงแค่มวลอากาศ ก่อนจะพบว่าเขาเพิ่งกระโจนสวมกอดชายชราท่านหนึ่งที่เดินเข้ามาพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง เขาเอ่ยปากเรียกคำว่าคุณตานับครั้งไม่ถ้วนให้หายสงสัย
เมื่อแววตาคู่นั้นปรากฏต่อหน้าผมจึงได้ทบทวนกับตัวเองอีกครั้ง, อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ใช้หมดแล้วหรือยังล่ะ” ชายชราเอื้อนเอ่ยแผ่วช้า มือเหี่ยวย่นสั่นระริกค่อย ๆ วางผลส้มที่ถูกปลอกเปลือกและยังเหลือเนื้อด้านในอยู่ครึ่งหนึ่งลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนเด็กหนุ่มจะเอ่ยปากตอบอย่างอื่น แม่ของเขาก็ตรงปรี่เข้ามาหยิบกระดาษทิชชู่จากหลังตู้เย็น ยื่นแทรกระหว่างตัวเขาและชายชราโดยไร้ซึ่งคำทักท้วง
“เก็บไว้ใช้เรื่องจำเป็นเถอะค่ะ” หญิงวัยกลางคนว่า เธอกุมมือเหี่ยวย่นคู่นั้น บรรจงเช็ดไล่ไปทีละนิ้วรวมทั้งฝ่ามือแข็งกระด้างข้างละทีสองที แม้เนื้อหนังบ้างจุดไม่ได้มีสิ่งใดเปรอะเปื้อนก่อนหน้า
“ฉันหมายถึงภูมิแพ้ของกียอนต่างหาก”
“หน้าร้อนไม่ค่อยคันมากเท่าไหร่ครับแต่หน้าหนาวแสบสุดๆ”
“ฮื้อ แบบนี้แย่เลยสิ เป็นตั้งแต่เด็กจนโตเลยนะเรา” ชายชราทำเสียงขึ้นจมูก เด็กชายสัมผัสถึงความกลัดกลุ้มแสนจริงใจ ภายใต้ดวงตาสีหม่นคู่นั้น เนื้อหนังแห้งเหี่ยวทั้งยังแข็งกระด้างเอื้อมแตะหลังมือของเขาอย่างนุ่มนวล ประสบการณ์ของคนที่ผ่านเรื่องราวมากมายค่อนชีวิตเผยให้เห็นจากลายเส้นบนฝ่ามือ เด็กชายนึกอย่างหลังของคุณตาว่าครั้งก่อนเขาทำอะไรมากน้อยขั้นไหนกันนะ แล้วเมื่อเขาแก่ตัวลงก็คงผนึกร่องรอยของประสบการณ์ชีวิตเหล่านั้นไว้บนฝ่ามือเหมือนกับตาของเขาไม่มีผิดเพี้ยน
“ก็เล่นไม่ทายาเองนี่ที่ตาให้ไว้เดือนที่แล้วยังไม่หมดเลยนะ”
“ทาเหอะ!” เด็กชายขึ้นเสียง จนผู้เป็นแม่ส่งเสียงจิ๊ปากเป็นการเตือน แต่เขาก็ไม่วายเลิกพฤติกรรมโต้แย้งเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร
“เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์เอานี่ไปเถอะกียอนอา” ชายชราส่งเงินแปดพันวอนให้แก่เขา ซุปกิมจิชีเกตรงหน้าส่งกลิ่นควันหอมฉุยลอยผ่าน คล้ายเป็นความทรงจำเดียวกับตะเกียบคู่เก่าคีบชิ้นเนื้อทัคคาลบีวางบนจานของเด็กชาย พร้อมประโยครูปแบบเดิมที่หากได้ยินใครสักคนพูดก็คงกลายเป็นน้ำเสียงแหบแห้งของคุณตา ‘ตักข้าวเพิ่มอีกจานสิ’ ท่านเป็นคนที่ไม่อาจเอ่ยได้เต็มปากว่าอยากเติบโตไปเป็นคนใจกว้าง, บุคคลประเภทเดียวกันแต่ก็ไม่มีคำกล่าวใดลบล้างความคิดต่อความมีเมตตาที่มักแฝงมากับการกระทำเสมอ
เด็กชายไม่เข้าใจว่าทำไมริ้วรอยเหี่ยวย่นหลังฝ่ามือคู่นั้นจงใจหยิบจับทุกอย่าง หวังจะช่วยงานให้เป็นชิ้นเป็นอันแทบจะทุกเรื่อง ถึงแม้ทุกอย่างที่ตั้งใจทำจะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์แต่กลับไม่มีอย่างใดสมบูรณ์แบบอย่างใจอยากสักชิ้นงาน เพราะอาการเชื่องช้าจากการสั่งงานของสมองและสองขาที่ไม่ได้ปรกติดีเฉกเช่นผู้คนทั่วไป ต้องดึงพลังงานไปใช้ยังส่วนนั้นเป็นพิเศษ ยกเว้นหัวใจอันแข็งแกร่งที่มุ่งหวังกลับทำให้การแสดงออกของเขาดูสมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องพูดประโยคใดเล็ดลอดแม้เพียงคำเดียว คล้ายตัวละครหลักในโรงละครพยอลโอลึมที่มุ่งมั่นต่อการแสดงที่เขารัก มากเกินกว่าจะสนใจผู้ชมตรงหน้าจึงทำให้เขาดูสง่างาม, ตาของเขาเคยเล่าเรื่องนี้อยู่ซ้ำ ๆ ช่วงหนึ่งแต่เขาจำชื่อตัวละครที่แสดงนั้นไม่ได้
“มีเท่านี้แหละ”
รอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง, น้ำเสียงทุ้มต่ำ, ร่องรอยบาดแผลตามเนื้อตัว ทิ้งเศษเสี้ยวของรอยแผลเป็นไว้ดูต่างหน้า, ลมหายใจผะแผ่วยามนั่งทำงานกับสมุดโน้ตสีดำคู่กาย, ชาคาโมมายล์ในแก้วเซรามิกสีเขียวเข้ม, เก้าอี้แปลหวายสะท้อนตัดกับแสงแดดยามเช้าจวบจนถึงย่ำรุ่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะถูกเก็บให้พ้นทาง หมายถึง นานวันเข้า พวกเราทุกคนคงเก็บแม้กระทั่งตัวตนที่เคยอาศัยอยู่ในชีวิตประจำวัน ตัวตนยามเอนกายผ่อนคลายห้วงเวลาหลังรับประทานข้าวเช้าในทุก ๆ วัน, เสื้อปะขาดครั้งแล้วครั้งเล่าทิ้งรอยขาดวิ่นไว้ราวไม่ต้องการให้ใครอยากเชยชมอีกหน ทว่ากลับตรงกันข้าม เมื่อรวบรวมเหล่าความไม่สมประกอบ ขาดวิ่น, ประดำประด่าง, ขาดหาย, เลื่อนลอย, ฝังกลบ, เก็บให้พ้นทาง ทั้งหมดช่างเป็นความว่างเปล่าที่มิอาจมีสิ่งใดจะมาเติมเต็มให้สมบูรณ์แบบ ถวิลหา, แม้จะนึกไม่ค่อยออกว่าน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นอย่างไรเมื่อกาลเวลากลายเป็นศูนย์รวมความหลงลืม รวมถึงความว่างเปล่าที่ถูกคว้านออกไป ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะถูกกลบด้วยความโศกหรือความเงียบได้อย่างพอเหมาะ
คิดถึงจัง
บรรยากาศภายในห้องเช่าขนาดเล็กอุณหภูมิต่ำลงโดยเม็ดฝน ซึ่งกำลังร่วงหล่นไม่ขาดสาย ไม่เว้นจังหวะให้เนื้อผ้าเปื้อนคราบเลือดได้แห้งทันใช้งานวันรุ่งขึ้นด้วยซ้ำ โชคไม่เข้าข้างที่ฝ้าเพดานดันรั่วได้ตรงจังหวะ จังหวะของความเฮงซวย เขาเรียกมันว่าอย่างนั้น ในขณะที่กำลังจัดการกับภาชนะอะลูมิเนียมสีทอง ซึ่งภายในมีเส้นรามยอนเหลือลอยแผ่อวดต่างหน้าให้ช้ำใจเล่น หลังกลับมาช้าเกินไปสิบนาที
“ป๊อปคอร์นรสเค็มตามสั่งครับ นายท่าน” กลิ่นอบอวลของข้าวโพดอบโชยแตะจมูก ระยะห่างของถังป๊อปคอร์นใกล้เกินกว่าจะสามารถเอื้อมมือไปปัดป่ายคนตัวสูงที่เก่งแต่ใช้คำพูดยียวนตรงหน้าได้ทัน
“ฉันสั่งรสชีส”
“เสียใจ ข้างนอกฝนตก”
“รีบนั่งเถอะ ก่อนที่ฉันจะทำสัญญาณโทรทัศน์เสีย”
“คืนนี้เรามีเรื่องต้องทำด้วยกันอีกยาวนะ”
“หมายถึงอาทิตย์อัสดงคตน่ะเหรอนายไม่รู้จักคำว่าดูย้อนหลังรึไง”
“แล้วทำไมฉันต้องรอดูย้อนหลัง ในเมื่อมันฉายวันนี้และทีวีก็อยู่ตรงหน้านี่”
“นี่ห้อง 425” อีกฝ่ายไหวไหล่ก่อนจะคว้านเสื้อสูทสีดำด่างที่แขวนอยู่กับขอบหน้าต่าง ราวเป็นของราคาถูก “หืม นายยังเก็บไว้อีกเหรอไง”
“ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนอาชีพมาเป็นโจรแล้วนะ” เขารีบทักท้วง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะในลำคอให้กับมุขตลกทื่อ ๆ ของตัวเอง ยกเว้นไอ้คนตรงหน้าที่ไม่เคยแสดงอารมณ์อื่นปรากฏบนใบหน้า เหมือนโลกใบนี้ออกกฎรั้งไว้ยังไงอย่างงั้น
“เปล่าแค่ต้องเก็บไว้”
“เงินแปดพันวอนเนี่ยนะ เพื่อน ฉันยินดีให้นายยืมมากกว่านี้อีก” ชายหนุ่มตบอกตนด้วยความมาดมั่น
“ถ้าเขาอยากให้มีอยู่คงต้องเก็บไว้”
“นายไม่ใช่มนุษย์เสียหน่อย” ชายผมยาวเอ่ยเสียงดังฟังชัด นอกเหนือจากมนุษย์ทุกคนที่เขาเคยรู้จัก มักจะมีบางสิ่งบางอย่างเป็นเครื่องเตือนความทรงจำเสมอ ยกเว้นเหล่าอมนุษย์ อดีตถึงวิญญาณบริสุทธิ์ทำนองนั้นมันตายไปพร้อม ๆ กับร่างเน่าเปื่อยไปนานหลายโข นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออกหรอก นอกจากจะพึ่งยาของพ่อมดปรุงยาฝีมือดีตนหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น “น่าแปลกที่นายกลับมีสิ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรจะมีด้วยซ้ำ” เขาย่นคิ้ว พลางใช้ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งถูไถผิวหนังบริเวณใต้คาง ส่งสายตาพิลึกพิลั่นมองชายหนุ่มที่กำลังวุ่นอยู่กับการเปลี่ยนช่องรายการไปเรื่อย ๆ ราวบุคคลต้องสงสัยกำลังถูกเจ้าหน้าที่ซักไซ้ “นายเห็นใจมนุษย์”
“นายก็เคยเป็นไม่ใช่หรือไง หมายเลขสอง”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in