มีแง่มุมที่ดูสมเป็นป๊ะป๋าเหมือนกันนะ
กระนั้นก็ตาม แม้ว่าคิริสึงุจะต่อสู้ด้วยความมุ่งหมายที่ต้องการช่วยเหลือคนอื่น แต่เขาไม่เกี่ยงวิธีการ ทั้งการลักพาตัว ลอบฆ่า การผิดคำสัญญา หรือวิธีการสกปรกใดๆก็ตามที่จะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ตนก็จะทำ คิริสึงุจึงไม่ชอบใจกับหลักการอัศวินของอาเธอเรียที่ต้องการต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นการกระทำที่สูญเปล่า
คิริสึงุให้ค่ากับผลลัพธ์ของการกระทำ ในขณะที่อาเธอเรียให้ความสำคัญกับวิธีการ ทั้งคู่สนทนากันน้อยครั้ง และไม่สามารถทำความเข้าใจหรือยอมรับในตัวอีกฝ่ายได้
(คิริสึงุ ) " อัศวินช่วยโลกไว้ไม่ได้หรอก เพราะพวกนั้นแบ่งแยกโลกออกเป็นความดีและความความชั่ว เสแสร้งแสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ในสมรภูมิมันมีค่า ด้วยความเพ้อฝันของอัศวินหลายยุคหลายสมัย เคยคิดบ้างไหมว่าพวกคนหนุ่มที่ถูกยั่วยวนด้วยคำว่าศักดิ์ศรีและความกล้าหาญแห่เอาชีวิตไปทิ้งกันกี่คนแล้ว "
(อาเธอเรีย ) " มันไม่ใช่ความเพ้อฝัน ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม การกระทำของบุคคลนั้นก็ยังคงดำรงอยู่บนหลักการและเหตุผล ไม่อย่างนั้นโลกใบนี้คงกลายเป็นขุมนรกทุกครั้งที่เกิดสงคราม"
(คิริสึงุ ) "...วีรบุรุษผู้นี้กำลังนึกว่าการอยู่ในสงครามนั้นดีกว่าขุมนรก อย่ามาล้อเล่นดีกว่า สงครามนั่นแหละที่เป็นขุมนรกในตัวเองอยู่แล้ว ..."
ผลลัพธ์ของความคิดที่ขัดแย้งกันดังกล่าว นำพาทั้งคู่ไปสู่จุดแตกหักทางความคิดที่ไม่สามารถร่วมมือกันได้
สงครามและจอกศักดิ์สิทธิ์ : อุดมคติที่แตกสลาย
จากการที่ตำนานหรือเรื่องเล่าของจอกศักดิ์สิทธิ์มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ บทบาทของจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฎในภาพยนตร์และนวนิยายเรื่องต่างๆ มักถูกวางไว้ในฐานะสิ่งที่ทรงคุณค่าทั้งทางจิตวิญญาณและทางโลก จอกศักดิ์สิทธิ์จึงกลายเป็นเป้าหมายในการเดินทางของตัวละครเอกทั้งหลาย ทั้งเป็นจุดหมายศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าอัศวินโต๊ะกลม เป็นประตูไปสู่ความเป็นอมตะที่เหล่าร้ายต้องการยึดครอง และเป็นเครื่องมือในอุดมคติที่จะบันดาลความปรารถนาของผู้คนให้เป็นจริง
ความปรารถนาของวีรชนอาเธอเรียไม่ใช่ความปรารถนาในฐานะของสตรีคนหนึ่ง แต่เป็นความปรารถนาในฐานะราชาผู้ที่เจ็บปวดกับการนำพาบ้านเมืองของตนไปสู่ความล่มสลาย เนื่องจากว่าจุดจบของตำนานกษัตริย์อาเธอร์คือความแตกแยกของเหล่าอัศวินโต๊ะกลมและความพินาศของนครคาเมลอต
อาเธอเรียที่เห็นความตายของเหล่าผู้คนที่ก่อสงครามเพราะตน ณ เนินคัมลาน จึงปรารถนาที่จะแก้ไขอดีต โดยต้องการที่จะย้อนเวลากลับไป เพื่อไม่ให้ตนต้องเลือกทางเดินที่จะกลายมาเป็น"กษัตริย์อาเธอร์" ผู้นำหายนะมาสู่บ้านเมือง
เธอมองว่า นั่นคือหน้าที่ที่ควรทำในฐานะผู้นำ ดังที่ปรากฏในบทสนทนาตอนหนึ่งของอาเธอเรีย อเล็กซานเดอร์และกิลกาเมซ
(อาเธอเรีย ) " ถ้าเป็นราชาละก็ จะต้องเสียสละตนเองเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศสิ "
(อเล็กซานเดอร์ ) " ผิดแล้วละ ราชาไม่จำเป็นต้องเสียสละ ประเทศและประชาชนต้องมอบกายและใจของตนให้กับราชาต่างหาก ไม่ใช่กลับกันเช่นนั้น "
(อาเธอเรีย ) " อะไรกัน นั่นเรียกว่าทรราชไม่ใช่หรือ [...]แล้วตัวเจ้าล่ะอิสกันดาร์ เจ้าพอใจในจุดจบแบบนั้นของตัวเองแล้วหรือไร "
(อเล็กซานเดอร์ ) " ถ้าตัดสินใจของข้าเป็นจุดจบของการเดินทางและเหล่าบริวารของข้าละก็ การล่มสลายย่อมเป็นสิ่งแน่นอน ถ้าจะอาลัย ข้าจะหลั่งน้ำตา แต่อย่างไรก็ไม่เสียใจแน่... กลับไปแก้ไขงั้นหรือ การกระทำโง่ๆนั้นเป็นการกระทำที่ดูถูกมนุษย์ทุกคนที่สร้างยุคสมัยร่วมกับข้ามา "
(อาเธอเรีย ) " มีเพียงนักรบเท่านั้นที่ถูกสรรเสริญจากการทำลาย จะมีประโยชน์อันใดถ้าไม่สามารถปกป้องผู้อ่อนแอได้ การออกกฏที่เที่ยงตรง... โลกที่ถูกต้องสงบสุข..นั่นคือความปรารถนาที่แท้จริงของราชา "
(อเล็กซานเดอร์ ) " แล้วราชาเช่นเจ้า เป็นทาสของความถูกต้องงั้นหรือ "
(อาเธอเรีย ) " เป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะยึดมั่นในอุดมคติ จึงได้เป็นราชา
อาเธอเรียกับเหตุการณ์ที่เนินคัมลาน จุดจบของนครคาเมลอตตามตำนานของกษัตริย์อาเธอร์
แม้ตัวของอาเธอเรียที่ผ่านสงครามได้ปรารถนาที่จะกลับไปแก้ไขอดีต โดยมองว่ามันคือความผิดพลาดของตนในฐานะราชา แต่ตลอดมาเธอก็ได้ตั้งคำถามแก่ตนเองเสมอ ว่าหากเธอปฎิบัติตนในฐานะราชาผู้ถูกต้องเที่ยงแท้มาโดยตลอด เหตุใดจึงพบกับจุดจบที่เป็นดั่งโศกนาฎกรรมเช่นนี้ ?
ในบทสนทนาของอาเธอเรียและอเล็กซานเดอร์ อเล็กซานเดอร์ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของการเป็นราชาในอุดมคติของอาเธอเรีย ว่าการดำรงตนเป็นราชาผู้ผดุงความยุติธรรมตลอดเวลานั้นไม่ต่างจากการดำรงตนเป็นนักบุญ อาเธอเรียพยายามรักษาเส้นทางราชาของตนให้สวยสดงดงาม แต่กลับไม่เคยชี้นำหนทางให้กับผู้คนที่ติดตามเธอ ทั้งการเพิกเฉยต่อความทุกข์ของแลนสลอตและกวินิเวียร์ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ การตัดสินใจประหารราชินีกวีนิเวียร์เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องดำรงความถูกต้องเอาไว้ ทุกสิ่งที่ทำไปนั้นก็เพื่ออุดมคติของตัวเองทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนั้นเธอจำเป็นต้องคว้าจอกศักดิ์สิทธิ์มา เพื่อแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างให้ถูกต้อง
.
.
.
.
.
ในขณะเดียวกัน เอมิยะ คิริสึงุก็มีความปรารถนา
สิ่งที่ผลักดันให้เขาเข้าร่วมสงคราม คือความปรารถนาที่ต้องการ"ช่วยโลก"
ที่ผ่านมา การช่วยโลกของคิริสึงุนั้นไม่ไยดีต่อวิธีการ เขาใช้สารพัดวิธีเพื่อเป้าหมายที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ภายใต้เงื่อนไขของการช่วยเหลือคนส่วนมากเป็นหลัก แม้จะต้องเสียสละคนส่วนน้อยไปก็ตาม โลกที่ไม่มีการฆ่าฟันใดๆที่คิริสึงุต้องการนั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เป็นได้เพียงโลกยูโทเปียในอุดมคติของเขาเท่านั้น จึงจำเป็นจะต้องอาศัยอำนาจแห่งปาฎิหาริย์ของจอกศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ได้มา
คิริสึงุที่ปฎิเสธในการกระทำของอาเธอเรียมาโดยตลอด กลับไม่แตกต่างจากเธอนักในเรื่องความงมงายต่อมายาคติของตน คิริสึงุมองว่า การเสียสละคนส่วนน้อยเพื่อคนส่วนมากเป็นสิ่งยอมรับได้ เพราะในความจริงแล้วเราไม่สามารถช่วยเหลือคนทั้งหมดเอาไว้ได้พร้อมกัน การให้ได้มาซึ่งชัยชนะในสงครามชิงจอกนี้จึงต้องสละคนส่วนน้อย เขาจำเป็นต้องกำจัดศัตรูอย่างถอนรากถอนโคน เขายินดีจะเสียสละสิ่งต่างๆที่ตนรักและยอมให้มือของตนเปื้อนเลือด เพื่อทำโลกในอุดมคติให้เป็นจริง ด้วยเหตุนั้น เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับจอกศักดิ์สิทธิ์ จอกได้แสดงให้เห็นภาพภายในใจของเขา และแสดงข้อบกพร่องในอุดมการณ์อันสุดโต่งของคิริสึงุออกมาเป็นสถานการณ์
สมมติว่ามีเรือสองลำ เรือลำหนึ่งมีผู้โดยสารสามร้อยคน เรืออีกลำมีผู้โดยสารสองร้อยคน เรือทั้งสองลำมีรูรั่ว และมีเพียงคุณเท่านั้นที่จะช่วยอุดรูรั่วนั้นได้ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าช่วยเรือลำหนึ่ง จะไม่สามารถช่วยอีกลำได้ทันเวลา คุณจะเลือกเรือลำใด ?
คิริสึงุเลือกเรือลำที่มีคนสามร้อยคน
ถ้าเรือลำที่มีสองร้อยคนจับตัวคุณไป และข่มขู่ในซ่อมเรือของพวกเขาให้แทน คุณจะทำอย่างไร ?
ภาพแสดงให้เห็นซากศพคนสองร้อยคนตายบนเรือเกลื่อนกลาด อันหมายความว่าคิริสึงุได้เลือกที่จะกำจัดส่วนน้อยอย่าง"ถอนรากถอนโคน" เพื่อความสุขของคนหมู่มาก
เกมดำเนินต่อไป , หากในเรือสามร้อยคน ผู้โดยสารได้แยกไปลงเรือสองลำ ลำหนึ่งมีสองร้อยคน อีกลำมีหนึ่งร้อยคน และเผชิญหน้ากับสถานการณ์เดิม เขาจะเลือกช่วยเรือลำใด ?
แน่นอนว่าเขาย่อมเลือกเรือลำที่มีสองร้อยคน แต่คิริสึงุไม่อาจยอมรับผลลัพธ์ที่ออกมาในขณะนี้ได้ เพราะนั่นหมายความว่าเขาต้องเสียสละคนไปทั้งสิ้นสามร้อยคนเพื่อให้คนสองร้อยคนมีชีวิตอยู่ ผลลัพธ์ที่ออกมาขัดแย้งกับความต้องการแต่แรกเริ่มของตนอย่างสิ้นเชิง และนั่นคือจุดบกพร่องที่สำคัญในหลักการที่ผ่านมาของคิริสึงุ
ทั้งอาเธอเรียและคิริสึงุต่างก็เป็นผู้ที่มีความตั้งใจอันดีต่อผู้อื่น ทว่าความตั้งใจนั้นอยู่ภายใต้ความคิดอันสุดโต่งของการดำรงความดีและความยุติธรรม การรักษาอุดมการณ์อันสุดขั้วจึงนำพามาซึ่งความทุกข์ให้กับตัวละครที่ต้องแบกรับเส้นทางของตนเอาไว้
จะเห็นได้ว่าจอกศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนทั้งสอง เป็นตัวแทนของความปรารถนาของตนที่อยู่เหนือขอบเขตที่มนุษย์จะสามารถคว้าได้ แต่ทั้งสองที่เชื่อในอำนาจของจอกศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยตั้งคำถามถึงที่มาของพลัง และไม่เคยสงสัยในความ"ศักดิ์สิทธิ์" ของจอกเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งนั่นได้นำไปสู่บทสรุปอันเหนือความคาดหมาย
ท้ายที่สุดแล้ว เอมิยะ คิริสึงุจะตัดสินใจเช่นไร อาเธอเรียจะทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้หรือไม่ ชะตากรรมของทั้งสองเป็นสิ่งที่ต้องติดตามรับชมใน Fate Zero ปฐมบทมหาสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์
นอกเหนือจากการดำเนินเรื่องที่น่าติดตามและหักมุมตลอดเวลา Fate zero ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากบทสนทนาที่คมคาย ฉากต่อสู้ที่ทำได้ดีถูกใจคอแฟนๆสายบู๊ การทรยศหักหลัง ความปรารถนาที่ดำมืดของตัวละคร การงัดทุกกลยุทธ์ของเหล่ามาสเตอร์เพื่อใช้ห้ำหั่นกัน จะเรียกว่า Fate Zero นี้คือ Game Of Throne ของโลกอนิเมก็ว่าได้
จึงจัดระดับอนิเมเรื่องนี้ไว้ที่ 5 ดาว ด้วยประการฉะนี้
คะแนน : 10/10
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in