Makers
Store
Log in
You don't have any notification yet.
See All
My Wallet
null
Library
Settings
Logout
เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ
นโยบายความเป็นส่วนตัว
เพื่อใช้บริการเว็บไซต์
ยอมรับ
ไม่ยอมรับ
DIARY FOR MY SON
–
Natchanon Mahaittidon
day 1-
- การมีลูกต้องมีเหตุผลไหม?
- เราไม่เคยถามพ่อแม่เราเหมือนกันว่าทำไมต้องมีเรา อาจเป็นเพราะตามธรรมเนียมเมื่อแต่งแล้วก็ต้องมี, มีไปแล้วจึงต้องแต่ง หรือเป็นความคาดหวังอะไรจากคนรอบข้างบ้างหรือกับตัวเอง ไม่เคยรู้เลย (เพราะว่าไม่เคยถามด้วยแหละ)
- ตัวเราเองกับเมย์ ก่อนหน้านี้สัก 2 ปี ช่วงที่แต่งงานใหม่ๆ เราก็ไม่อยากจะมีลูก โทษสังคมที่มันโหดร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้ เมืองไทยที่อยู่นี่ก็ไม่ใช่จะดีเด่ ไหนจะภัยใกล้ตัว โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราเองยังสัมผัสได้ ทำไมลูกเกิดออกมาแล้วจะไม่เจอ?
- ยิ่งกับบางประโยคในเรื่องสั้น "ความน่าจะเป็น" ของพี่คุ่นปราบดา มีตอนหนึ่งตัวละครหนึ่งเปรยว่า ตอนที่พ่อแม่ให้กำเนิดเขามาไม่ยักจะมีการปรึกษากันก่อน นี่เองที่เราตบเข่าป้าบ ว่า เอ้อ ใช่! ไม่เห็นจะมีการปรึกษากันเลยนี่หว่า?
- เราก็เลยคิดมาตลอดว่าเราไม่ควรมีลูก ยิ่งดูสภาพตัวเองแล้วก็ยังดูแลไม่ค่อยได้ งานก็รุมๆ จะเอาเวลาที่ไหนไปเลี้ยงดู และจะทำให้เขาเติบโตมาได้ยังไงกัน มันดูไม่น่าเชื่อเลย
- แต่พอแต่งงาน ใช้ชีวิตคู่กันไปสักพักนึง เราเห็นคนคนนึงอยู่กับเราตลอดเวลา ตลอดจนเราไม่รู้ว่าเราจะใช้ชีวิตโดยปราศจากเขาได้ยังไง เราจะไปกินร้านอาหารที่เคยกินด้วยกันลำพังได้เหรอ เมื่อใครสักคนเป็นฝ่ายไปก่อน อีกคนจะอยู่ยังไง สิ่งเหล่านี้เข้ามาวนเวียนในจิตใจอยู่เรื่อยๆ ระหว่าง...
- ฝ่ายหนึ่งที่ว่า ในกรณีที่เราเป็นฝ่ายตายลงไปก่อน เราไม่อยากให้เมย์ต้องอยู่ตามลำพัง เป็นอาอี๊หรือคุณป้าตัวแถมที่ติดสอยครอบครัวอื่นไปที่นู่นที่นี่ ต่อให้เขาไม่รู้สึกเหงา อ้างว้าง ให้เราเห็น แต่เราเชื่อว่าอย่างน้อยในที่สุด จุดนึงก็จะรู้สึก และเรารับไม่ได้เท่าไหร่นักถ้ามันจะเกิดขึ้นกับเมย์ อย่างน้อยตอนที่แก่ลงไป เราก็ยังอยากให้มีคนดูแลเมย์แทนเรา
- หรือในกรณีที่เราเป็นฝ่ายที่ต้องอยู่ต่อไป เราก็ไม่อยากเป็นภาระให้คนอื่นเวลาที่จะต้องมาทำศพ หรือเป็นธุระครั้งสุดท้ายของตัวเอง นอกจากคนที่เราวางใจที่สุด ที่เราคิดไม่ออกเลยว่าควรจะเป็นใคร นอกจากลูก
- ส่วนความคิดอีกฝ่ายก็คือ มันไม่ควรเป็นภาระของเขา เด็กคนนึงไม่ควรโตมากับความคาดหวัง เขาไม่ควรเป็นเครื่องมือของใคร แม้กระทั่งกับพ่อแม่ตัวเอง ไม่ ไม่ ไม่!
- แต่สุดท้าย ความคิดในฝ่ายต้นก็เป็นฝ่ายชนะ โดยที่เราตั้งใจว่าจะเลี้ยงดูเขาให้ดีจนเขาไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นการแลกเปลี่ยน และจะพยายามไม่ทำตัวให้เป็นภาระเมื่อเขาถึงวัยที่ต้องการอิสระ
- ทำให้ตั้งแต่วางแผนเริ่มที่จะมีลูก ก็เลยหมกมุ่นคิดคำตอบที่เอาไว้เผื่อเขาถามว่า "เขาเกิดมาทำไม" แต่จนแล้วจนรอด ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ค่อยออกนัก แต่พบว่าตั้งแต่รู้ว่ามีลูก ซึ่งเป็นคนที่มอบโอกาสให้เราเป็นพ่อ มันเหมือนทำให้เราได้ย้ายดาว ย้ายความคิด เปลี่ยนวิธีการมองโลก และการเดินหมากในชีวิตนี้ไปมากโข นี่อาจเป็นคำตอบได้ แต่มันคงยังไม่ชัดเจนหรือเป็นคำตอบที่เขาต้องการได้หรอก
- วันนี้ไปกินข้าวกับเมย์ คุยกันว่า เป็นมื้อสุดท้ายแล้วที่จะได้กินข้าวกันสองคน ฟังดูเว่อร์ๆ แต่อย่างน้อยช่วงชีวิตนี้ของเรากำลังจะเปลี่ยนไป ความวุ่นวายกำลังจะมาถึง ความเหนื่อยที่ทุกคนขู่นู่นนี่จนหูชา (วันนี้มีคนโทรมา 3-4 คนก็บอกว่าเหนื่อยแน่นอนทุกคน ซึ่งก็เตรียมใจเอาไว้แล้วล่ะ)
- และแทบทุกคนถามในวันนี้ "ตื่นเต้นไหม" ซึ่ง ณ วินาทีนี้ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก (6/10 ทำนองนั้น) แต่คิดว่าพรุ่งนี้ที่ห้องผ่าตัดน่าจะตื่นกว่านี้แหละ อาจเป็น 9/10 เลย
- แต่การมีลูกมันมีเรื่องตื่นเต้นกว่านั้น คือการได้เห็นหน้าเห็นตากัน มันเหมือนกับการรอคอยใครสักคนตรงทางออกสนามบิน เรามีแค่ชื่อ ไม่เคยเห็นหน้าตา ไม่รู้เลยว่าเป็นคนยังไง บุคลิกแบบไหน แต่ที่แน่ๆ จะเป็นคนที่เรารักและจะรับเข้ามาอยู่ด้วยตลอดไป
- บางคนบอกว่ามันเหมือนกับการหยอดเหรียญตู้กาจาปอง ที่ไม่รู้เ้ลยว่าจะได้ตัวอะไรออกมา เป็นระบบสุ่ม
- ตอนที่รู้ว่ามีลูกก็คิดคล้ายกัน แต่เรานิยามได้ว่าเหมือนเราเปิดการ์ดสุ่มตัวละคร แล้วได้ตัวที่แรร์ที่สุดในโลก เป็นตัวที่โลกนี้ไม่มีทางที่ใครจะได้ไปอีกแล้ว
- โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ว่าแรร์เนี่ย ทำอะไรได้บ้าง หน้าตาเป็นยังไง หรือมีสกิลอะไรบ้าง จะอยู่กับเราได้ไหม
- เราชอบคิดว่า การใช้ชีวิตครอบครัว มันก็เหมือนเอาคนต่างชาติมาแลกประเทศกันอยู่ มาจากคนละแผ่นดิน ต่างกันด้วยอุณหภูมิ วัฒนธรรม ความเชื่อ ฯลฯ แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือเราต้องปรับตัวเพื่ออยู่ด้วยกันให้ได้ คนที่มาจากชาติใกล้เคียงกันอาจปรับไม่ยาก แต่ที่ไม่ง่ายมันก็มี
- อย่างที่เราก็ไม่รู้ว่าลูกจะถูกฟอร์มขึ้นมาแบบไหน เพราะเราเองก็ยังไม่เหมือนพ่อหรือแม่เราไปเสียหมด กระทั่งย่าที่เลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ เราก็มีส่วนที่ไม่เหมือนเยอะ เราถึงไม่รู้เลยว่าลูกจะอยู่ร่วมกับเราได้ดีเท่าไหร่ จะเบื่อไหมกับวัฒนธรรมที่เรามี อาหารที่แม่ทำจะถูกปากเขาไปตลอดไหม โทนเสียงของพ่อจะทำให้เขารู้สึกกลัวหรือหงุดหงิดหรือเปล่า นิสัยจู้จี้ของแม่จะทำให้เขาเซ็งหรือรู้สึกเฉยๆ กับพ่อที่เข้มงวดเลเวลนี้จะทำให้เขาอึดอัดไหม บ้านเรามีวัฒนธรรมการกอดกันก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เขาจะอายไหมถ้าเราจะกอดกัน กับพ่อแม่ที่มีฐานะประมาณนี้ จะทำให้เขารู้สึกด้อยกว่าคนอื่นไหม คำพูดไหนที่จะไปสะเทือนใจเขา ตรงไหนที่เขาจะจำไม่ลืม เราไม่รู้เลย
- เราเคยคิดว่า ถ้าไปถามพ่อว่า "แบงค์เกิดมาทำไม" เราเชื่อว่าพ่อก็คงตอบไม่ได้ มันไม่มีคำตอบที่ดีพอหรอก เราเชื่อยังงั้น ต่อให้พ่อพูดยังไงเราก็คงไม่เชื่อ เหมือนอย่างที่เราพูดแค่ไหน ลูกก็คงจะไม่เชื่อเรา แต่ตอนนี้ เราคงจะบอกพ่ออย่างจริงใจได้ว่า ขอบคุณเหลือเกินที่ทำให้เราได้เกิดมาแล้วเจอคนที่เรารัก ทำให้เราได้มีโอกาส ล้ม ลุก คลุกคลาน ทำให้เราได้รู้สึกเกลียด รู้สึกหลง รู้สึกรักหัวปักหัวปำ รู้สึกผิดหวังร้องไห้ รู้สึกสมหวังและได้หัวเราะ และที่สำคัญ ในวันที่กำลังจะถึงนี้ ทำให้เรามีโอกาสได้เป็นพ่อคน ชีวิตที่เขาให้เรามามันไม่เลวเลย และเรารักชีวิตนี้มาก คุ้มค่าเหลือเกินที่ได้เกิดมา ซึ่งนี่เองที่เป็นคำตอบที่พ่อให้เรามาแล้วอย่างชัดเจน
- หวังว่าจะเป็นคำตอบเดียวกับที่ลูกได้รับในสักวัน
- มีเวลานอนน้อยนิด
- พรุ่งนี้จะไปรับลูก
Natchanon Mahaittidon
Report
Views
DIARY FOR MY SON
–
Natchanon Mahaittidon
View Story
subscribe
Previous
Next
Comments
()
Facebook
(
0
)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in
ยืนยันการซื้อ ?
เหรียญที่มีตอนนี้: null
มีเหรียญไม่พอซื้อแล้ว เติมเหรียญกันหน่อย
เหรียญที่มีตอนนี้ : null
Please Wait ...
ซื้อเหรียญเรียบร้อย
เลือกแพ็คเกจเติมเหรียญ
เลือกวิธีการชำระเงิน
Credit Card
Cash @Counter
Line Pay
ระบบจะนำคุณไปสู่หน้าจ่ายเงินของผู้ให้บริการ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in