- วันนี้เป็นวันนัดคลอด
- ตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อออกจากบ้าน หมอไม่นัดให้ไปนอนก่อน ซึ่งก็ดีแล้วไม่งั้นจะเสียค่าห้องไปอย่างเปล่าๆ ปลี้ๆ ซึ่งตามแพคเกจคือ 4 วัน 3 คืน (แบบผ่าคลอดนะ แต่ถ้าเป็นคลอดธรรมชาติจะแค่ 3 วัน 2 คืนอะไรยังงี้ ซึ่งราคาก็จะถูกลงเป็นหมื่นเลย)
- หมอนัดตั้งแต่หกโมงเช้า เราถึงเลตไป 15 นาที แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าทำไมนัดมาไวขนาดนี้ เพราะสุดท้ายก็มาใช้เวลารออยู่นานเป็นชั่วโมงเหมือนกัน
- ระหว่างทางขับรถมา เมย์บอกว่านี่มันยังมืดอยู่เลย เมื่อไหร่พระอาทิตย์จะขึ้นนะ ไอ้เราก็นึกว่า เออ ใช่เนอะ แสงอาทิตย์มันเป็นสัญญาณของวันใหม่แล้ว วันนี้แหละที่ครอบครัวของเราจะไม่เหมือนเดิม ลูกกำลังจะมาเจอเราแล้ว นี่อาจเป็นแสงอาทิตย์สุดท้ายของเราสองคนที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป อ๋อ เปล่า เมย์บอกว่าจะได้แต่งหน้าได้ หลอดไฟมันสว่างไม่พอ แสงอาทิตย์ดีกว่ามาก
- ...
- ถึงรพ. ปฏิบัติการแรกของวันคือการเซ็นเอกสาร เช่น เอกสารยอมให้ใช้เลือดบริจาค, รับเลือดในห้องผ่าตัด, ตรวจเลือดเพื่อตรวจ HIV, ยินยอมให้ผ่าตัด ฯลฯ แล้วก็ขึ้นไปรอที่ห้องพัก
- ในห้องพัก พยายามบาลก็จะเริ่มเข้ามาวัดความดัน (ระหว่างทางขึ้นห้องต้องนั่งรถเข็น ไม่งั้นเดี๋ยวชีพจรจะเพี้ยนเพราะเหนื่อย ซึ่งอาจกระทบกับการคลอด) มีเจาะเลือดไปตรวจ และที่สำคัญ คือมีการ "โกน" และ "สวน" ซึ่งเป็นสิ่งที่เมย์นอยด์แดกมาก ซึ่งก็พบว่าเพื่อนสาวของเธอหลายคนก็เหวอแดกเหมือนกันที่จะต้องโกนอย่างไม่สมัครใจ ดังนั้นเมื่อถึงคิวของพวกเธอ เธอก็จะขอไปจัดการเองเพื่อจะได้ทรงที่พอใจ
- เรื่องการสวน เอ่อ ก็คือสวนเพื่อเอาของเสียออกจากลำไส้ใหญ่นั่นแหละ ไอ้เราก็นึกว่ามันจะมีห้องแยกออกไปต่างหาก หรือไปจัดการในห้องผ่าตัด เปล่าจ้า จัดการกันบนเตียงในห้องพัก ซึ่งกูนั่งอยู่ตรงนี้ ใจคอจะดีท็อกซ์กันตรงนี้เลยเหรอ นี่จะออกไปดีมั้ย แต่ออกไปก็ดูเหมือนว่ารังเกียจ ใจไม่ถึง เรื่องมาก เอ้อ ไม่เป็นไร ได้! นั่งแม่งยังงี้นี่แหละ
- แต่ปรากฏว่ามันเป็นการแค่กระตุ้นว่ะ คือสวนน้ำเกลือเข้าไปจนทำให้รูสึกทนไม่ไหว จากนั้นก็กระวีกระวาดไปเข้าห้องน้ำอีกที อ่อ
- ตอนแรกก็คิดว่าจะมีบรีฟอะไรกันก่อนที่จะเข้าห้องผ่าตัด เพื่อนัดแนะว่าเรามีนโยบายจะเลี้ยงเด็กแบบไหน อะไรที่โรงพยาบาลจะจัดการหรือช่วยเหลือได้เลยบ้าง โดยเฉพาะในสิ่งที่เราไม่รู้ต่างๆ แต่ปรากฏว่าไม่มีแฮะ เพราะหลังจากโกน,สวน ส่วนเมย์ก็ถูกบังคับให้ใส่ชุดคนไข้แบบกลับด้าน (จะได้ง่ายต่อการผ่า) ก็ได้แต่นั่งรออยู่ในห้องพัก
- จนราวๆ 8 โมง 15 ก่อนเวลานัดคลอด 9 โมง (เราขอช่วงเวลา 9-11 โมงเอาไว้ ด้วยเหตุผลเรื่องดวง...เออน่าาาา ก็ฟังๆ คิดๆ เชื่อๆ ไว้บ้าง) เตียงก็มารับเมย์ลงไปที่ห้องผ่าตัด เราเดินลงไปด้วย ส่งได้แค่ตรงหน้าห้อง กอดกัน โบกมือ แล้วเราก็ถูกแยกไปที่ห้องคลอด
- ในห้องคลอด ซึ่งดูเป็นแผนกที่มีหลายๆ ห้องอยู่ในแผนกนี้อีกที เราต้องกรอกเอกสารรายละเอียดของลูก เพื่อที่จะได้เอาไปแจ้งในสูติบัตร นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เขียน ชื่อ-นามสกุลของลูก "ปิโย มหาอิทธิดล"
- จากนั้นเขาพาเราไปที่ห้องรอคลอด ก็คือเหมือนห้องพักนี่แหละ มีเตียงผู้ใหญ่ และมีเตียงเด็กที่ดูมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม เจ้าหน้าที่เดินเอาเสื้อกางเกงสีเขียวปี๋ เป็นแบบเดียวกับที่หมอผ่าตัดใส่เอามาให้เราใส่รอ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเดิมออกหมดเลย จากนั้นก็ให้นั่งรอ
- ตอนนี้แม่งตื่นเต้นสัส คือมันจริงจังมากแล้วไง เวลาก็ใกล้ถึงมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะมาตอนไหน ตอนนี้เมย์ทำอะไรอยู่ มันไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว นั่งเล่นมือถือสลับแอพไปมา ไม่มีโฟกัส อ่านเฟซบุ๊ก ดูทวิตเตอร์ เปิดแอพที่ไม่จำเป็นต้องเปิด เหงื่อในมือเริ่มแตก ลุกไปหยิบกล้องมาลองถ่าย แล้วเอาไปวาง จากนั้นก็กลัวว่าจะลืมอีกก็เลยไปหยิบมาลองถ่ายอีก แล้วก็เอาไปวาง เดินไปดูนู่นดูนี่รอบห้อง กรอบรูปดอกไม้สีชมพู ส่วนอีกฝั่งเป็นสีฟ้า เดินวนอ่านยี่ห้อเครื่องมือ ฯลฯ
- ทำไมเจ้าหน้าที่มันยังไม่มาอีกวะ นี่ก็จะเก้าโมงแล้วนะโว้ย! เดินงุ่นง่านอยู่ในห้องสักพัก แม่งเอ๊ย ปวดฉี่ ปวดท้องด้วย ยังไงดีวะ รอดีไหม อะ นั่งทนรอๆๆๆ ก็ยังไม่มาสักที ตอนนั้นเข็มนาฬิกาเดินช้ามาก จู่ๆ เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามา นี่ก็ดีใจ ได้ไปสักที ปรากฏว่าแค่เอาหน้ากากกับหมวกเข้ามาให้ใส่ แล้วก็เดินจากไป แต่นี่มันมีหมวกและหน้ากากแล้วนะ แสดงว่าเดี๋ยวต้องไปได้แล้วสิเนี่ย อะ นั่งรอต่อ ประหนึ่งสุนัขผู้ภักดี
- เก้าโมงกว่าแล้ว! ยังไม่มาอีก เชี่ย ปวดท้อง เอาไงดีวะ อะเข้าห้องน้ำก็ได้ กางเกงแม่งก็ผูกยาก นี่เสือกไปผูกเงื่อนตายเอาไว้อีก กว่าจะแกะได้ ลำบากชิป ยังไม่ทันทำอะไร แม่งเคาะประตู...
- เจ้าหน้าที่มาตามแล้ว มาด้วยกันสองคน ระยะทางจากห้องรอคลอดไปห้องผ่าตัด ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที ใกล้มากจนตกใจ "เวลาดีมากเลยค่ะคุณพ่อ สวยเลย 9 โมง 9 นาที" ตอนนั้นก็งงๆ ว่า โห เหมาะเจาะพอดี นี่หมอเขาตั้งใจรอดึงออกมาเลยหรือเปล่าจะได้เวลาสวยๆ ปรากฏว่ามันก็บังเอิญพอดี เพราะลงมือกรีดมีดตอน 9 โมง แสดงว่าใช้เวลาแค่ไม่ถึง 9 นาทีในการเอาเด็กออกมาจากท้อง
- ห้องผ่าตัดดูเครียดกว่าที่คิด เราไม่เคยเข้าผ่าตัดก็เลยไม่รู้ กระเบื้องสีสะเหล่อๆ ตัดกับชุดคุณหมอสีสดๆ เป็นแม่สีที่โคตรไม่สวย ไฟสว่างจ้า "อย่าเดินชนม่านนะคะ" เราค่อยๆ เดินอย่างนอบน้อมที่สุด เพราะรู้สึกว่าครอบครัวเรากำลังรบกวนและคนเหล่านี้คือผู้มีพระคุณ อย่างน้อยความปลอดภัยของลูกและเมียเราก็อยู่กับพวกเขาตรงนี้
- จากตรงนี้ เราเห็นลูกแล้ว
- ผิวของเด็กแรกเกิดเป็นสีเทาปนม่วงอ่อนๆ สภาพตามตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยอะไรต่อมิอะไรจากในท้องของแม่ เส้นผมตอนนี้ลีบและมันเพราะอยู่ในน้ำมานานหลายเดือน สดๆ ใหม่ๆ ของแท้ไม่มีอะไรต้องสงสัย
- พร้อมๆ กัน เราได้ยินเสียงร้อง
- ลูกร้องเสียงดังมาก เป็นจังหวะแบบเพลงเร็วอีกต่างหาก เสียงจ๊ากๆๆๆๆๆ แบบคนตกใจ ร้องสุดเสียงเท่าที่ชีวิตพอจะทำได้ คงเพราะอุณหภูมิมันเปลี่ยนเร็วเกินไป จากที่ที่อบอุ่นมาสู่ห้องผ่าตัดแอร์เย็นเจี๊ยบ ด้วยสายตาที่ยังปรับไม่ได้ มันคงเร็วเกินไป ตกใจจนต้องร้องออกมา
- "ไง" เราโบกมือให้ลูก
- หันไปมองเมย์ การสบตาครั้งนี้มีความหมายเหลือเกิน มันเหมือนคำว่า "สำเร็จแล้ว" เมย์น้ำตาไหล กอดกัน "เก่งมากที่รัก" เราชมว่ายังงั้น หมายความตามนั้นจริง
- เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดคลอดนี่รู้งานมาก เราเข้ามาตรงนี้ก็เพื่อที่จะถ่ายรูป (แต่ส่วนตัวเรามันไม่ใช่แค่นั้นหรอก เราก็อยากเห็นลูกเร็วๆ อยากอยู่ในกระบวนการนี้ให้มากที่สุด ที่จริงขอเข้ามาอยู่ด้วยตั้งแต่ผ่าด้วยซ้ำแต่เขาไม่ให้ อ้างว่ากลัวจะเป็นลม หลายคนก็บอกว่าจริงๆ ก็ไม่ใช่ภาพที่น่าดูสักเท่าไหร่แหละนะ) แต่เราก็เอากล้องมา ยื่นให้ไป เจ้าหน้าทีคนนึงเอาลูกมาเข้าเฟรมคู่กับเราและเมย์ เขาถ่ายให้หนึ่งรูปด้วยกล้องของเรา และมีอีกกล้องของรพ.เอง เป็นกล้องคอมแพคธรรมดาๆ ซึ่งเขาจะปริ๊นมาให้เป็นที่ระลึก
- พอถ่ายรูปเสร็จ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว เด็กจะต้องถูกย้ายไปห้องรอคลอด(ที่เรานั่งรอเมื่อกี้)เพื่อทำการเช็กความถูกต้องและความสมบูรณ์ เราต้องเดินตามไปติดๆ ด้วย
- แต่เดี๋ยวนะ ไอ้หมอมึง ไหนบอกว่าที่ไม่ให้เข้ามาในห้องผ่าตัดเพราะกลัวคุณพ่อจะเป็นลม เนื่องจากเครื่องในทั้งหลาย เลือด หรืออวัยวะนู่นนี่มันไม่น่าดูนัก ให้เข้ามาตอนที่เสร็จแล้วจะดีกว่า แต่ทำไมนี่กูเห็นหมดเลยวะ!
- คือตอนแรกคิดว่าประตูเวลาเข้าไปถ่ายรูปมันจะมาจากทางหัวเตียง ซึ่งจะไม่ต้องเห็นแผลผ่าเพราะมีผ้ากั้นไว้ แต่นี่ประตูมันเข้ามาจากทางปลายเตียง ซึ่งเห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไฟส่องสว่างระดับกลัวจะมองไม่เห็น เห็นชั้นไขมัน เห็นเลือด เห็นอวัยวะ เห็นแผล แถมตอนดูลูกอยู่พี่แกยังเอากะละมังอะลูมิเนียมที่เต็มไปด้วยรกมาวางไว้ใกล้ๆ อีก ไหนบอกกลัวกูเป็นลม นี่มันวางยากันชัดๆ ดีนะที่โดนแม่และเด็กสตั๊นไว้อยู่ เลยไม่ค่อยได้สังเกตอะไร แม่งเอ๊ย
- ลูกร้องไม่หยุดเลยจนหมอบอกว่าเสียงดีมาก พลังงานล้นเหลือ หมอเด็กที่รับลูกตั้งแต่ตอนคลอดเดินตามเตียงมาเพื่อตรวจสอบ บอกว่า ที่ร้องยังงี้มันก็ดีต่อปอด เป็นการหัดใช้ปอดไปด้วยเลย การที่เด็กไม่ร้องนี่น่ากังวลกว่ามาก ซึ่งพอลูกได้ห่มผ้า ได้อยู่ใต้แสงอุ่นๆ ก็ดูสงบลงไปนิดหน่อย แต่พอคลี่ผ้าออกก็ร้องจ๊ากๆ อีก สลับกันไปยังงี้ สรุปว่าตกใจและยังปรับตัวไม่ได้นั่นแหละ
- แต่การร้องมากเกินไปของลูกก็ใช่ว่าน่าจะวางใจหมด ระหว่างที่เช็กอัพอยู่เจ้าหน้าที่ก็ต้องเอาออกซิเจนมาพ่นๆ ใส่หน้าเพื่อช่วยให้หายใจหายคอสะดวกขึ้น เราเองก็ลุ้นไปด้วย เกือบจะขอให้มาพ่นใส่หน้าพ่อมันอีกคน นอกจากนี้ก็มีการวัดอุณหภูมิ (ด้วยการเอาปรอทเสียบก้น) จับชีพจร และมีการเช็กความสมบูรณ์ มีนิ้วมือ นิ้วเท้า ป้ายชื่อว่าเป็นบุตรของใคร ดูอวัยวะเพศ (ชายแท้แน่นอน!) ดูปาน ซึ่งไม่มี
- จะมีก็ตรงเปลือกตาซ้ายที่มีเหมือนรอยช้ำ หมอบอกว่าเป็นผลจากการคลอด ซึ่งอาจกระทบกระแทกตอนหยิบเด็กออกมาแล้วไปโดนกับตัวง้างแผล หรืออะไรสักอย่าง ไม่นานก็จะจางไปเอง เราถามต่อว่ามันมีผลต่อการมองเห็นอะไรไหม หมอบอกว่าไม่มี เพราะตอนนี้สายตาก็ปกติและตอบสนองทั้งสองข้าง จะเหลือก็แค่หูที่ต้องรอทดสอบต่อไป ซึ่งก็ใช้เวลาราวๆ 2 วัน
- ตอนนี้ ผิวสีเทาๆ อมม่วงๆ เร่ิมแดงขึ้น เพราะเลือดเริ่มวิ่งร่าไปทั้งร่าง ไหนจะถูกเร่งด้วยออกซิเจนจากการว้ากหมอของลูก ก็เลยทำให้มันเริ่มชมพูระเรื่อขึ้นมาเรื่อยๆ
- หลังจากนี้เด็กจะต้องไปล้างตัวที่วอร์ด (รพ.พระรามเก้าแผนกสูตินรี และ NICU อยู่ที่วอร์ด 6 ชั้น 6) ขึ้นลิฟท์ไปพร้อมกัน คุณพ่อรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าค่ะ อะ พอวิ่งๆ ตามขึ้นมาจนถึงชั้น 6 ก็แยกจากลูก หมออธิบายว่าต้องไปล้างตัว เช็กสภาพอื่นๆ เช่น ความยาวของตัว ความสมบูรณ์แบบละเอียด และหลังจากนี้จะต้องเข้าตู้อบประมาณ 4-5 ชั่วโมงเพื่อปรับอุณหภูมิให้ปอดทำงานได้ดีเป็นปกติ ซึ่งเราก็สามารถเห็นลูกได้แหละเพราะใน NICU มันเป็นตู้กระจกใหญ่ๆ จะเห็นเด็กแทบทุกคนได้จากในห้องนี้
- ส่วนเมย์จะต้องพักฟื้นอยู่ที่ชั้น 4 ประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งก็น่าจะเจอกันราวๆ เที่ยงวันพอดี และกว่าจะกินน้ำแบบจิบๆ ได้ก็บ่ายโมงไปแล้ว และทั้งวันนี้จะไม่สามารถกินอะไรได้เลย ส่วนแผลผ่าตอนนี้มีผ้าก็อตช์ปิดอยู่ กางเกงไม่ได้ใส่เพราะต้องแปะผ้าอนามัยเอาไว้เนื่องจากจะมีเลือดซึมอยู่บ้าง คุยกับหมอว่าเมื่อไหร่มดลูกถึงจะเข้าที่ เพราะหลังจากนี้เราจะต้องลุยเรื่องรักษาไตของเมย์ต่อ หมอบอกว่าราวๆ 1-2 เดือน และกว่าที่ท้องเมย์จะกระชับเข้ารูปเหมือนเดิมอาจต้องใช้เวลาเกิน 6 เดือน
- ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะเข้าพักที่วอร์ดนี้บ่อยๆ เพราะเมย์มาแอดมิด แต่เรามักจะไม่ค่อยกล้ามายืนตรงหน้าตู้กระจกนี้ เพราะดูเหมือนมันยังไม่ใช่ที่ของเรา และค่อนข้างเกรงใจพยาบาล,เด็ก,ผู้ปกครองของเด็ก แต่วันนี้เราเข้าๆ ออกๆ ไปดูแทบจะทุก 15 นาที ไปดูว่าลูกทำอะไรอยู่ ถูกทำอะไรอยู่ ขยับตัวยังไงบ้าง แลบลิ้นทำไม เล่นน้ำลายทำไม ยกขาทำไมอะ แค่ขยับนิดเดียวก็ยิ้มแก้มปริ หาวทีก็เฮกันใหญ่ ให้ยืนอยู่ตรงนี้ทั้งวันก็ทำได้ ใครมาหาทีก็อาสาพาเดินไป เออ เห่อ
- สรุปว่าหนัก 2.85 กิโลกรัม ผ่านเกณฑ์ของทั้งหมอและบริษัทประกัน สำหรับเราก็พอใจมากเพราะอยากได้ราวๆ 2.8 และแอบหวังว่าจะไปถึง 2.9 นี่ขาดนิดหน่อย เก่งมากเลยลูกพ่อ
- ผ่านไปได้สักสองชั่วโมง พยาบาลมาบอกว่าลูกหายใจเร็วไปหน่อย (60 กว่าครั้งในหนึ่งนาที) อาจเป็นผลมาจากการคลอดก่อนกำหนดเล็กน้อย แถมน้ำตาลยังต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย ซึ่งน่าจะต้องอยู่ในตู้อบนานขึ้นอีกนิดหน่อย เท่านี้ ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง
- ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจอหมอพอดี หมอบอกว่าโอเคแล้ว ตอนนี้หายใจ 58 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นเกณฑ์ปกติ เพราะหมอให้นมชงกินเพื่อเพิ่มน้ำตาลที่ต่ำ ตรงนี้แอบกังวลนิดหน่อยเพราะเราอยากจะให้กินนมแม่ ซึ่งหมอก็บอกว่าโอเค เราสามารถให้กินทางแก้วได้ ไม่ต้องใช้แบบดูดจากขวด จะได้เอาพฤติกรรมการดูดเอาไว้สำหรับเต้าแม่หรือดูดนมแม่ที่ปั๊มมาเท่านั้นได้ พอปกติดีแล้ว ลูกถึงได้ออกมาจากในตู้ปกติได้
- ตั้งแต่บ่ายสามเป็นต้นมา ลูกจะถูกพาเข้ามาทุกสามชั่วโมง ภารกิจแรกคือการกระตุ้นนมจากเต้าแม่ พยายามจะเข้ามาช่วยเอาเด็กจ่อกับนม ช่วยกันเค้นให้น้ำนมได้ออกมา (ส่วนหนึ่งคงให้เด็กคุ้นกับสถานการณ์แบบนี้) แต่วันนี้จนกระทั่งเที่ยงคืนนมก็ยังไม่มา ส่วนลูกพอดูดๆ อยู่ก็หลับไปซะงั้น
- เรื่องนมไม่ออกกับสรีระของนมนี่ควบคู่กัน อย่างของเมย์คือมีปัญหาเรื่องสรีระนิดหน่อย ประมาณว่าหัวนมสั้น (ทำไมพิมพ์แล้วมันดูเอาเรื่องxxมาเผยแพร่วะ) ซึ่งทางเนอสฯ ก็มีเครื่องช่วย ประมาณว่าเป็นปากขวดนมที่มีอีกด้านเอาไว้ติดกับเต้า ให้เด็กดูดจากตรงนั้นเพื่อช่วยกระตุ้น
- อะ แต่ถามว่าถ้ามันแก้เรื่องหัวนมไม่ได้ จะทำยังไง ก็คือใช้เครื่องปั๊มนมแม่เอาไว้แล้วให้กินทางขวด
- ทุกครั้งเวลาที่ลูกเข้ามา เลยจะขอลองอุ้ม เพราะมันเป็นเรื่องน่ากลัวมากสำหรับเรา คือเด็กมันดูบอบบางมาก ระหว่างหัวกับตัว มีแค่คออ่อนๆ ที่เชื่อมกันอยู่ ทีนี้เวลาประคองหัวไอ้เราก็กลัวว่าตัวมันจะห้อย แถมต้องเอามาทรงตัวๆ บนแขนของเราเองอีก แม่งน่ากลัวสัสๆ ประดักประเดิดสุดๆ เพื่อนที่มาอยู่ด้วยลุ้นกันเป็นแถว จนพยาบาลถึงกับเอือมแล้วขอลูกคืนกลับไปที่เนอสเซอรี่ ฮ่าๆๆ แต่เอาเถอะ เดี๋ยวก็เป็นเอง
- ชอบเวลาที่ลูกถูกเข็นมาจากเนอสฯ เป็นช่วงที่เขาจะลืมตามากเป็นพิเศษ ไม่เหมือนตอนที่อยู่ในตู้อบหรือในห้องเนอสฯ ซึ่งอาจเป็นเพราะความเงียบที่ทำให้เขาหลับอยู่ตลอดเวลา จากตรงนี้ถึงไ้ด้เห็นว่าลูกเราตาสองชั้นชัดเจน คิ้วน้อยจังลูก ยังงี้บวชก็สะดวกดี เล็บยาว มีถุงใต้ตาเหมือนเมย์ แต่เวลาลืมตาโตๆ แล้วคล้ายเรา ซึ่งก็รู้แหละว่ายังดูอะไรไม่ค่อยออกหรอก แต่รู้ว่ามีความสุขชะมัด
- จะต้องอยู่รพ.ถึงวันเสาร์ช่วงเช้า ภารกิจของวันพรุ่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการสอนอุ้มจากเนอสฯ ส่วนอีกวันจะเป็นเรื่องอาบน้ำและอื่นๆ
- ตอน 8 โมงเช้าวันนี้ คนที่มาเยี่ยมเป็นคนแรกคือบอส เป็นคนที่ตั้งชื่อจริงให้กับลูกเรามาตลอด พยายามเสนอมาแล้วเรายังไม่แอพพรูพสักที เพราะอยากแก้แค้นที่เสนอชื่อหนังสือไปแล้วเขายิงทิ้งบ่อยๆ (พี่ครับ ผมล้อเล่น อย่าไล่ผมออกเลย) แต่ชื่อ "ปิโย" ที่ได้มานี้ก็เป็นฝีมือของบอสนี่แหละ (ปรบมือ) เป็นชื่อที่เราชอบและโอเค มันเขียนง่ายดี Piyo ปิโย ชื่อคล้ายๆ แม่เราก็คือย่าของลูก (ปิยาภรณ์ เชิญแซวได้เลย) แถมยังเหมือนอีตัวเป็ดเหลืองๆ ที่เป็นลายของผลิตภัณฑ์เด็กอีก ก็น่ารักไม่หยอก ความหมายก็คล้ายๆ กับปิยะนั่นแหละ คือ "ผู้เป็นที่รัก" ชื่อนี้ผ่านการเช็กเดชเช็กศรีมาแล้วว่าผ่านฉลุย (ป.เป็น เดช ย.เป็น ศรี สำหรับคนวันพุธกลางวัน)
- ส่วนชื่อเล่นที่เราเรียกลูกมาตลอดว่า "ชิม" ช.อยู่ในอักษรกาลกินี ตอนแรกก็มีชะงักนิดหน่อยเหมือนกัน แต่คิดๆ แล้วว่าก็ไม่ต้องไปหวั่นไหวอะไรนัก บางอย่างก็ไม่ต้องถูกต้องตามตำราอะไรไปเสียหมด สมดุลกันไปแล้วกันนะลูก
- ชิมมาจากไหน มันก็มีหลายคำตอบเอาไว้บอกกับคนอื่น เอาแบบน่ารักๆ ก็นี่ไงแก ชิมปุย จาก "ชิมปุย เพื่อนรักจากต่างดาว" ของอจ.ฟูจิโกะ (บางคนก็เรียกจิมปุย แต่ภาษาอังกฤษมันสะกดว่า chimpui) หรือที่เอาไว้อธิบายแรดๆ อีกว่า มันดูเป็นคำไทยดี ชิมก็คือการทดลอง การชิม หวังว่าลูกจะได้ลองได้รู้อะไรไปเรื่อยๆ ไม่ปฏิเสธอะไรไปเพราะความกลัว ซึ่งพอคิดความหมายไปมากๆ แล้วจะรู้สึกกระแดะพิกล เลยไม่ได้ไปใส่ใจอะไรกับคำไทยมาก แต่คำตอบที่รู้กันเองจริงๆ คือ ในความคิดแรกก็เกิดปีลิง ก็ต้องชื่อลิงสิวะ! ชิมแปนซีนี่แหละโว้ย แต่เอาเถอะ ชิมปุยนั่นแหละดีสุด
- บอสค้านหัวชนฝา บอกว่าไม่อยากให้ชื่อชิม กลัวจะถูกเพื่อนแซวว่าชื่อตลก แถมยังเหมือนลิง (อ้าวรู้ทัน) โธ่ ชื่ออะไรก็ถูกแกล้งได้ทั้งนั้นแหละน่าพี่ ฮ่าๆ ซึ่งบอสก็น่ารักมาก เพราะสุดท้ายคงรู้ว่าห้ามอีนี่ไม่ได้แล้ว จึงไปค้นดิกชันนารีมาแล้วบอกว่า โอเค ชิมก็ได้ แต่ต้องเป็น shimny แปลว่า แวววาว ฮ่าๆๆๆ
- นั่นแหละ แบงค์กับเมย์ มีลูกชื่อชิม
* * *
extra : เมียรีวิว live on ห้องผ่าตัด
เมย์เล่าว่า พอเข้าไปถึงห้องผ่าตัด เขาก็จับผูกแขนทั้งสองข้างเพื่อกันดิ้น แล้วก็ถูกอัดน้ำเกลือผ่านสายที่เจาะเอาไว้ตรงมือ อัดไปเพื่อให้มีน้ำเกลือในเลือดเยอะหน่อยเพราะความดันจะต่ำช่วงผ่าตัด อัดไว้เป็นเพื่อการรักษาความดัน
จากนั้นหมอก็เริ่มบล็อกหลัง ให้นอนตะแคง เอาเข่าชิดกับหน้าอก เข็มที่ใช้มีความยาวราวๆ 10 เซนติเมตร ซึ่งไอ้การบล็อกหลังเนี่ย เมย์กังวลมากเป็นพิเศษเพราะว่ามีแต่คนบอกว่าเจ็บ แต่เมย์บอกว่าไม่เจ็บเลยแฮะ เจาะน้ำเกลือเจ็บกว่าอีก
บล็อกเสร็จก็จะค่อยๆ ชาตั้งแต่ล่างขึ้นบน จากเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ ซ้ายขวาไม่พร้อมกัน ตรงไหนยังไม่ชาเขาก็จะปรับเตียงให้เอียงๆ เพื่อให้ยามันไหลไปด้านด้านนั้น
ตอนที่ฉีดเสร็จจะรู้สึกคลื่นไส้นิดนึง (ซึ่งไอ้ยาตัวนี้มันจะมีผลไปถึงทำให้คันหูคันตาด้วยหลังจากคลอดเสร็จ) จนต้องขอยาดมมาดม แอมโมเนียมาจนรู้สึกดีขึ้น
ก่อนหน้านี้ในห้องผ่าตัดเปิดเพลงคลาสสิกอยู่ดีๆ แม่งพอกำลังจะผ่าก็เปลี่ยนเป็นเพลง “อิ่มอุ่น” เวอร์ชั่นเด็กร้องเฉยเลย ทำไมต้องบิ๊วกันขนาดนี้ นี่ยังไม่ออกมาเลยนะเว้ย! เอ๊ะ หรือเป็นการบิ๊วแม่?
เสร็จก็เริ่มคลุมผ้าไม่ให้เมย์เห็นกระบวนการ (แต่กูเห็น สัส) แล้วก็ผ่าเลย ตรงนี้ไม่รู้สึกอะไรตรงตัวแล้ว ยกขาก็ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการกดลงมาจะรู้สึกได้
ตอนที่ลูกออกมาจากตัว รู้สึกเลยว่าเหมือนโดนกดตรงลิ้นปี่ กับถูกดึงออกไป เป็นความรู้สึกวื้บๆ
เมย์ถามว่า "ออกแล้วเหรอคะ" หมอบอกว่าใช่ แล้วก็เห็นพอดีว่าลูกแหกแข้งแหกขาร้องแว้กๆๆ พอดี
ซึ่งหลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาทีเราก็เข้าไปถึงพอดี
เก่งมากที่รัก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in