เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DIARY FOR MY SONNatchanon Mahaittidon
day 2-
  • - พูดอย่างไม่กลัวลูกในท้องน้อยใจ ตอนแรกเราอยากได้ลูกผู้หญิง

    - ดูจากสถิติแล้ว คนรอบตัวในช่วงนั้นได้ลูกชายกันให้รึ่ม คนที่ออฟฟิศนี่คือชายล้วน สามารถจัดทีมบาสแข่งพร้อมตัวสำรองได้เลย พอเยอะเข้ามากๆ เราก็คิดว่าเฮ้ยมันไม่ใช่แล้วว่ะ คิวเรามันน่าจะเป็นผู้หญิงเพราะมันไม่น่าจะติดๆ เป็นเพศเดียวกันขนาดนี้ ถ้ามันใช่ผู้หญิงขึ้นมานี่ควรจะทำเป็น OTOP ของอาคารบันลือได้เลยว่าใครเป็นพนง.ที่นี่ได้รับสวัสดิการฟรีเป็นลูกเพศชาย มันไม่ใช่แล้วปะวะ ดังนั้นลูกแบงค์และเมย์แซลมอนก็ต้องเป็นผู้หญิงสิ

    - ที่คิดและจินตนาการไปนี่ก็ไม่ใช่แค่มโน เพราะเรายังมีหลักการเข้ามาชั่งตวงด้วย นั่นก็คือความฝัน โอ้โหมึงวิทยาศาสตร์สุดๆ แต่ช่วงก่อนจะมีลูกและตอนที่ท้องมาหน่อยนึงก็ฝันถึงเด็กผู้หญิงหลายครั้ง เห็นชัดเจนเลยว่าเป็นผู้หญิง นี่ก็เลยคิดว่าเป็นหญิง

    - กระทั่งบางคนเห็นหน้าเมย์ว่าดูไม่โทรมมาก แถมไม่แพ้ท้องแม้แต่แอะเดียว (ยกเว้นอยากกินอาฟเตอร์ยูบ่อย ซึ่งมานั่งคิดดู ตอนไม่แพ้ก็อยากอยู่แล้วเป็นเนืองๆ) ก็เลยทักว่าแบบนี้จะเป็นผู้หญิง เพราะส่วนใหญ่ถ้าเป็นเด็กผู้ชายแม่จะแพ้ท้องอ้วกแตก ซึ่งอาจเป็นที่มาของความโทรม

    - เมย์เองก็อยากได้ผู้หญิงเหมือนกัน เพราะว่าน่ารัก เลี้ยงง่าย รวมถึงไอเทมต่างๆ ของเด็กผู้หญิงเองก็ดูน่าหยิบจับ เอาเป็นว่าอินเด็กผู้หญิงเยอะพอกัน

    - ช่วงก่อนที่จะรู้เพศเราก็เลยจินตนาการว่าลูกเป็นหญิงมาตลอด เวลาดูของเอาไว้ล่วงหน้าก็จะส่องเฉพาะไอเทมของเด็กผู้หญิง พาสเทลต้องมา ตุ๊กตาต้องมี สีสันต้องสดใส ใส่ใจประเทศชาติ วรรคสุดท้ายไม่เกี่ยว คุยกันทีไรก็เข้าใจกันไปแล้วว่าลูกเราเป็นผู้หญิง

    - แต่มันเริ่มมาตะหงิดละว่าเฮ้ยนี่มันไม่เหมือนที่คุยกันนี่หว่า คือไปอัลตราซาวน์เช็กระยะปกติ เป็นช่วงที่ควรจะรู้เพศแล้วล่ะ ต่อให้ผ่านเครื่องสองมิติก็ควรจะเห็น แต่ทีนี้พอซาวน์ดู ลูกดันเอามือปิด"ตรงนั้น"อยู่ หมอก็เลยบอกว่าสงสัยยังไม่อยากให้รู้ เพราะเล่นบังซะมิดเลย หัวเราะกันจืดๆ อยู่ในห้อง โธ่ อุตส่าห์ลุ้นว่ะ กลับบ้านกันไปหงอยๆ

    - แต่มีเพียงณชน.เท่านั้นที่สงสัยว่า กูว่ามันไม่ได้ปิดแระ กูว่ามันกำอะไรเอาไว้แน่นอน... อาจเป็นอวัยวะใหม่ที่เพิ่งกำเนิดเกิดขึ้นมา เป็นชิ้นเนื้อชิ้นใหม่ที่ทารกรู้สึกเฮ้ยเช็ด นี่มันอะไรกันโว้ย ก็เลยกำดู...ใช่ไหมวะ แต่ด้วยความไม่รู้ก็ได้แต่เดากันไปด้วยความสับสน ช่วงนี้ก็เลยเริ่มเผื่อๆ ใจเอาไว้แหละ ถึงจะบอกตัวเองว่าโหทฤษฎีปัญญาอ่อนแบบนี้ มันจะไปใช่ได้ยังไงวะ เนอะ ฮ่าๆๆ อืม ใช่มะ อืมๆ

    - กำความสงสัยไปอีกเป็นเดือน พอท้องเข้าสู่เดือนที่ 5 เป็นช่วงที่สามารถรู้เพศได้แล้ว เราเลือกที่จะอัลตราซาวน์แบบสี่มิติ คือใช้การดูเงาสะท้อนผ่านเครื่อง เป็นวิธีการที่เราจะเห็นแทบทุกอวัยวะของลูก เพื่อการเช็กดูว่าครบไหม ตรงไหนพัฒนาถึงไหนแล้ว เสียงหัวใจเต้นเป็นยังไง ปอดล่ะ ฯลฯ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับการเช็กใหญ่ก่อนจะคลอดนี่เหมือนกัน

    - ระหว่างที่หมอเช็ก แกก็เก็บเพศเอาไว้เป็นไฮไลท์ แกล้งเช็กไปเรื่อย ขนาดของกะโหลก ตับซ้าย ไตขวา แขนขาครบมั้ย นู่นนี่ ระหว่างที่เรากำลังเล็งๆ อยู่หมอแม่งดันหลุดออกมาว่า "หล่อมั้ยค้าบ" อ่าว เชี่ย สปอยล์กูซะงั้น เลยรู้ว่าได้ลูกชายตรงนั้น ความรู้สึกค่อนข้างตกใจนิดหน่อย แต่จำได้ว่าเผลอยิ้มออกมา แถมเช็กหมอเผื่อว่าดูผิด หมอจึงซูมให้อีกครั้ง นี่ค่ะ ไข่ จบ

    - สรุปว่ามันกำเจี๊ยวไว้จริงๆ

    - ว่ากันตามตรง ไอ้คำว่า "อะไรก็ได้ รักหมด" มันก็จริงนะ คือไม่ได้แคร์อะไรขนาดนั้น เพราะก็รักแน่นอน อาจเพราะเป็นลูกคนแรกหรือเปล่าไม่แน่ใจ หรือไม่ก็ในครอบครัวเราไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับทายาท คือไม่มีระบบนี้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เราเองก็ไม่ได้แคร์ว่าจะต้องมีผู้ชายไว้สืบสกุลอะไร

    - แต่พอจับความรู้สึกตอนที่อยู่หน้าจออัลตราซาวน์ได้แบบนั้น มันเป็นความรู้สึกผิดต่อลูกเหมือนกันที่ทำไมเรามีความรู้สึกตกใจหรือความเป็นชายของเขาทำให้เราต้องผิดความคาดหวัง ซึ่งก็พบว่า นอกจากอีสถิติที่คิดไปเองแล้ว ลึกๆ เราก็อยากได้ผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ เพราะมันมีวิธีคิดต่างกันออกไป

    - ในฐานะที่เป็นผู้ชายแบบนี้ เราคิดว่าเราถนัดดูแลและเทคแคร์ การที่ลูกเป็นผู้หญิง เราคิดว่าหน้าที่ของเราคือการดูแลเขาให้ดีที่สุด ความสุขของเขาต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ความอบอุ่นคือสิ่งที่เราพร้อมจะมอบให้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสดใส เราจะเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์สิ่งนั้นให้เขาเอง และเป็นสิ่งที่เราสบายใจมากว่าเราสามารถให้ได้

    - ในแง่ของความปลอดภัยในสังคม อาจมีกังวลบ้างที่ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายถูกรังแก ความรุนแรงจากความไม่รู้ก็ส่วนหนึ่ง การถูกเอารัดเอาเปรียบก็ส่วนหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วเราคิดว่าสามารถเป็นคนที่รองรับเรื่องดราม่าหนักๆ ของลูกได้แน่ๆ เราคงจะไม่กดดัน จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา จะท้องกับใครมาแล้วผู้ชายมันชิ่งก็ช่างมัน (ดีเสียอีกที่จะได้หลานเร็ว!) หรือในเรื่องอื่นๆ เราก็พร้อมจะรับไหวด้วยใจที่เย็น (ซึ่งมันก็เป็นแค่จินตนาการอะนะ ไม่รู้เอาเข้าจริงมันก็คงจะทำใจได้ลำบากอยู่เหมือนกันแหละ) คือถ้าลูกมีปัญหาอะไร เราก็พร้อมจะแก้ไขให้ จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตก็ยังได้

    - แต่พอออกมาเป็นผู้ชาย มันไม่ใช่แค่เรื่องของการดูแลแล้ว ถึงแม้จะไม่มีใครมาสั่ง เราก็คิดว่าอีกหน้าที่ที่มันติดสอยห้อยตามมาด้วยก็คือ เราจะต้องเป็นแบบอย่างให้ลูก ไม่ว่าเขาจะขอหรือไม่ น้อยที่สุด เขาจะได้รับอะไรบางอย่างจากเราไป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เขาจะเห็นเราเป็นอะไรสักอย่าง เราอาจเป็นฮีโร่ของเขา หรืออาจเป็นบาดแผลที่ห่วยสุดห่วย ตอนที่รู้เพศปุ๊บ น้ำหนักที่ทำให้เราสะดุ้งคือความคิดเหล่านี้

    - มันยังมีเรื่องการดูแลอื่นอีก ก่อนหน้านี้ที่คิดว่าเป็นผู้หญิง ทำให้จิตใต้สำนึกของเราทำงานไปว่าส่วนใหญ่เมย์น่าจะแครี่ได้ เพราะคงกุ๊กกิ๊กๆ ไปเหมือนกัน แต่พอเป็นผู้ชายมันก็มีไลฟ์สไตล์เป็นอีกแบบ ถึงมันจะยังไม่ได้เห็นผลอะไรช่วงแรก แต่สุดท้ายมันก็ปรากฏอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นของเล่น, กีฬา, เกม ทัศนคติบางอย่างที่สุดท้ายแล้วผู้ชายก็ต้องคุยกับผู้ชายอยู่ดี ซึ่งเราไม่มั่นใจเลยว่าเราจะทำได้ดี แต่สุดท้ายก็คิดว่าเมย์จะทำได้

    - เรื่องของเมย์กับเซนส์ที่เราสัมผัสได้ว่าจะเลี้ยงลูกได้ดี เดี๋ยวจะค่อยมาเล่าทีหลัง

    - แต่การมีลูกผู้ชาย มันก็ดีต่อจิตใจเราเยอะเหมือนกัน เพราะความกดดันเรื่อง "ความบอบบาง" หรือ "ความลุย" มันก็มีผลดีที่เราน่าจะเข้ากับลูกได้บ้างในบางด้าน อย่างน้อยก็เรื่องความสนใจที่เรามีอยู่เดิม และเราจะเข้าใจเขา (มั้ง)

    - นี่ก็ฝันว่าอยากจะเล่นเกมกับลูก ไม่รู้ว่าจะชอบเล่นตำแหน่งไหน สไตล์อะไร แต่เลือกไปเลยลูก เดี๋ยวพ่อเล่นซัพให้เอง

    - แต่ถ้าแม่ด่าก็เคลียร์ให้ด้วย
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in