เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DIARY FOR MY SONNatchanon Mahaittidon
day 8-
  • - วันนี้เป็นวันซักผ้าเด็ก

    - ซื้อเสื้อผ้าลูกเอาไว้ค่อนข้างเยอะ นับๆ ดูแล้วน่าจะเกิน 30 ตัว ไปเดินงาน Baby Best Buy นี่ได้กลับมาหลายถุง เพราะราคามันไม่ค่อยแพง มีร้านให้เลือกเยอะ และที่สำคัญ เสื้อเด็กแม่งก็โคตรน่ารัก ทั้งไซส์เล็กๆ ของมันและลวดลายที่มี

    - ไม่รู้ว่าทำไมส่วนใหญ่เสื้อผ้าเด็กชอบเป็นคาแรคเตอร์สัตว์ เพราะตามันกลมโตเป็นมิตรหรือไง ส่วนใหญ่จะมาเป็นครอบครัว หมี หมู หมา ยีราฟ สิงโต ฯลฯ มามันทั้ง animalia ซึ่งก็เข้าทางสิ อีพ่อมันก็ชอบอะไรสัตว์ๆ อยู่แล้ว ตั้งชื่อทุกอย่างก็เป็นสัตว์ แซลมอนบุ๊กส์ ยีราฟแมกกาซีน มินิมอร์(โลโก้เป็นกบ) โปรเจ็กต์ใหม่ๆ นี่ก็กำลังจะเป็นสัตว์อีก ไปเจอเสื้อพวกนี้กูจึงคว้าแต่พวกสัตว์โลกผู้น่ารักทั้งหลาย และแม่งก็มีมากมาย บรรยากาศมันเป็นใจด้วย งานแฟร์แบบนี้ก็ต้องราคาถูกสิวะ! ก็หยิบกันเพลินไปเลย

    - ที่จริงก็ไม่ใช่แค่งานแฟร์ ไอ้พวกร้านอย่าง H&M หรือ Uniqlo ก็มีเสื้อผ้าเด็กเยอะ แถมช่วงปลายปีก็ลดราคาด้วย แหม บรรยากาศเป็นใจด้วย อะ เอามาอีกตะกร้า อะ เฮ้ย ตรงนั้นมีถุงเท้าด้วย อะ หยิบ อะ ตรงนั้นมีถุงมือ อะ หยิบ เห้ย ขายาวมียัง หยิบ เห้ย เสื้อกล้าม นี่เมืองไทยเมืองร้อน หยิบ เอาไปเอามาล้นตะกร้าไปอีก

    - ไหนจะในอินเทอร์เน็ต (คลับคุณแม่ลิงหมูกาไก่ล่าของถูกอะไรสักอย่าง) ในกรุ๊ปไลน์ที่เมย์อาศัยอยู่ก็รึ่มอีก นี่อย่าว่าแต่กลุ่มผู้ชายติดเกมชวนซื้อนู่นนี่กันเลย ผู้หญิงก็ไม่น้อยหรอก... ผู้ชายครับอย่ายอม

    - จะว่าไปมันก็เหมือนเป็นช่วงที่ได้ระบายเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าเป็นกันหรือเปล่าที่เห็นว่าเสื้อผ้าเด็กมันน่ารัก เวลาเดินผ่านไปผ่านมาก่อนหน้าที่จะแต่งงานหรือยังไม่ได้ทำใครท้อง ก็จะรู้สึกเขินๆ ตะขิดตะขวงนิดหน่อยเพราะมันยังไม่ใช่ที่ของเรา แต่พอมีแล้วนี่เดินเข้าเป็นว่าเล่น คล้ายๆ เป็นนักเรียนเดินเข้าร้านเครื่องเขียนอะไรยังงั้น

    - แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้อารมณ์พาไปอย่างเดียว เสื้อผ้าจะซื้อก็ต้องมีหลักการเหมือนกัน ก็คือเป็นลายสัตว์ ทุ้ย ก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย

    - ที่ว่าต้องไม่ตามอารมณ์ก็เพราะถ้าตามนี่มันจะเรื่องยาวมาก เสื้อผ้าเด็กนี่มีมิติพิศวงที่้คอยควบคุมจิตใจของเราอยู่ เพราะเด็กมันบอบบางไง กระดุมเป็นเหล็กจะดีไหม หรือต้องเป็นพลาสติก ผ้าที่ใส่มีตะเข็บแข็งไหมมันจะบาดตัวลูกหรือเปล่า เนื้อผ้าล่ะเป็นยังไง นิ่มไหม ใส่แล้วจะร้อนเหนอะหนะหรือเย็นเกินไป ไหนจะมีไอ้ผลิตภัณฑ์แบบออร์แกนิคอะไรอีกที่เหมือนจะคอยท้าทายว่า นี่ คุณพ่อคุณแม่ครับ คุณกล้าไหมที่จะลงทุนกับอาภรณ์ของลูก นี่คือสินค้าระดับพรีเมี่ยมสำหรับพ่อแม่ที่ห่วงลูกดุจแก้วตาเรือนใจของคุณ หากคุณลงทุนซื้อวันนี้ จะได้แต้มความเป็นพ่อแม่ที่ห่วงใยลูกทันที 4 แต้ม และหากซื้อพร้อมกันหลายๆ ตัว ก็บวกไปอีก 2 แต้ม บลา บลา ซึ่งพอมีคำว่าออร์แกนิคก็อย่างรู้ที่รู้กันว่าแพงระเบิด ราคาสูงขึ้น 2 เท่าเป็นอย่างน้อย พ่อแม่ที่ห่วงลูกดุจแก้วตาเรือนใจก็คงจะหมดตูด ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อสินค้าอะไรให้ลูกอีกต่อไป ไอ้ความเป็นออร์แกนิคนี่จึงตกไปเลยสำหรับเรา เพราะความจนนี่แหละ ถ้ารวยก็จะหน้ามืดซื้อ

    - เสื้อผ้าเด็กแพงๆ ที่มียี่ห้อก็ตกแต่งร้านด้วยความท้าทายเหมือนกัน ดูนั่นสิ คาแรคเตอร์กระต่ายที่ดูออกแบบมาอย่างดี มีสกุลรุนชาติ และดูพรีเมี่ยมนั่นถูกจัดอยู่ในโชว์รูมที่ดูแตกต่างจากกระบะลดราคา ...ไงล่ะครับคุณพ่อคุณแม่ผู้มีระดับ พร้อมจะมาหยิบจับดูหรือยัง มาทำให้ชีวิตลูกของคุณพรีเมี่ยมไปกับเราเถอะ อเะ พอกูไปหยิบจับป้ายราคาพลิกขึ้นมาก็ได้แต่หันไปลูบท้องคุยกับลูก อดทนไม่พรีเมี่ยมหน่อยนะลูก เดี๋ยวไม่มีเงินทำประกันสุขภาพ

    - กลับมาที่เรื่องไซส์ ปัญหาของเราก็คือ เราไม่รู้ไซส์ที่ถูกต้องของลูก มันไม่น่าจะหาไซส์ที่พอดีกับตัวเด็กได้ ดังนั้นมันเลยมีไซส์สากลๆ ให้ก็คือ แยกเป็นตามอายุ คือเป็นช่วงเดือน เป็น newborn, 0-3 เดือน, 3-6 เดือน แล้วอีกทีก็เป็น 1 ปีขึ้นไปอะไรยังงี้ หรือบางยี่ห้อก็เป็นตามความยาวของเด็ก (เขาไม่เรียกส่วนสูงเนอะเพราะยังยืนไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีทายาทเป็นนาคียังไงชอบกล)

    - สำหรับตอนนี้ยิ่งว้าวุ่น เพราะไม่รู้ว่าลูกออกมาจะตัวเล็กแค่ไหน เพราะออกก่อนกำหนดน่ะ น้ำหนักไม่ถึง 3,000 ก็อาจจะเล็กกว่าเด็กคนอื่นนิดหน่อย ไม่รู้ว่าต้องไซส์ไหนถึงจะพอดี ทีแรกก็กลุ้มนิดหน่อยว่าลูกจะไม่โตไหม แต่ก็มีเพื่อนจำนวนมากมาบอกว่าตอนเกิดมานั้นกูตัวไม่ถึงสองกิโลกรัม ตอนนี้ตัดภาพมานึกว่าเป็นกุมภกรรณเขมือบโลก ส่วนอีกคนก็คล้ายกัน เกิดมาสองโลนิดหน่อยแต่ตอนนี้เป็นนักกล้ามและสูงเกือบเท่าประตูบ้าน เออ ก็ไม่เลว สบายใจไปเปาะ

    - แต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องเสื้อของลูกอยู่ดี สุดท้ายก็คิดว่าคงจะต้องใส่ไปหลวมๆ ถ้าตัวเล็ก ซึ่งไอ้ไซส์เล็กนี่มันก็ดูเหมือนจะใส่ไม่ได้เลยว่ะ เหมือนเป็นเศษผ้ามากกว่าจะเป็นเสื้อผ้า เมย์บอกว่าใส่ได้ แต่คงจะไม่นาน เพราะเด็กตัวจะขยายใหญ่ไวมากในช่วงเดือนแรกๆ พี่หลายคนก็บอกว่าเป็นเสื้อผ้าช่วงอายุที่เหลืออื้อเลย ประมาณว่าซื้อแล้วทิ้ง นี่เครื่องนุ่งห่มหรือทิชชู่ ก็เลยต้องซื้อไซส์ newborn น้อยหน่อย คือราวๆ 5-6 ตัวไว้ใส่วนให้ครบอาทิตย์ก็พอ

    - ที่จะต้องใส่บ่อยๆ ในช่วง 1-2 เดือนจะก็เป็นช่วงไซส์แรก แต่เอาเข้าจริงกับเด็กบางคน อายุแค่ 2 เดือนพี่เขาก็ล่อไปใส่ของเด็ก 6 เดือนแล้วก็มี นี่ก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ต้องทำให้โล๊ะเสื้อผ้ากันเร็วมาก

    - ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าที่พ่อแม่ซื้อ แต่รวมไปถึงของเพื่อนฝูงที่พากันมาเยี่ยม หลายคนบอกว่าแม่งเหลือกันเป็นกระสอบ บางตัวซื้อหรือได้มายังไม่ทันจะใส่ ตัวเด็กก็ใหญ่จะใส่ไม่ได้แล้ว

    - อย่างที่วันนี้ลงรูปว่าซักเสื้อผ้าลูกเอาไว้รอ (เมย์เอาทุกชิ้นออกมาซักเพื่อเป็นการคลีนนั่นแหละ นี่จะตากให้แห้ง แล้วจะเอาไปซักอีกรอบเพื่อความชัวร์ ) ก็มีเพื่อนๆ มาแซวว่าจะได้ใส่กี่นาน ก็นี่แหละผู้มีประสบการณ์ทั้งนั้น จริงว่ะ จะใส่ได้กี่นาน แต่มันน่ารักอะ ก็ต้องซื้อปะ มันลายสัตว์เลยนะเว้ยย ดูกุ้งล็อบสเตอร์นั่นเด่ะ!

    - เพราะความโตไวของเด็ก บางคนก็เลยไม่ใส่ใจที่จะเลือกลายอะไรของเสื้อผ้า เสียเวลา เอาเป็นว่าผ้าไม่แย่มากและไม่ใช่ลายที่มีปัญหาต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา ก็ถือว่าโอเค อย่างที่โบ๊เบ๊ก็มีขายเป็นกระสอบๆ คือเอาเงินไปให้เขาหลักพันบาท บอกเพศและโทนสีที่ชอบไป อ่อน เข้ม เขาก็จะจัดมาให้เลย มึงใส่ไปเลยจ้าครึ่งปีโดยที่ไม่ต้องไปร้านค้าเสื้อผ้าไหนอีก

    - เด็กแรกเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะต้องใช้ผ้าเยอะมาก ไม่ใช่แค่เสื้อ ที่ส่วนใหญ่มักใส่กันเป็นบอดี้สูท คือเป็นเสื้อกับกางเกงในตัวเดียวกันไปเลย ก็ยังต้องมีหมวกอีก เพราะร่างกายยังปรับอุณหภูมิได้ไม่ค่อยดี เดี๋ยวหนาวเกินไปไข้หวัดจะกิน ถุงเท้าก็เหมือนกัน สำคัญเลยเพราะความเย็นนี่แหละ ส่วนถุงมือก็ขาดไม่ได้ เพราะเดี๋ยวเล็บจะไปเกี่ยวหน้าเกี่ยวตา รวมถึงถ้ามีคนอื่นมาจับมือเล่นแล้วเด็กเอามือเข้าปากก็อาจจะนำพาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายไปอีก นี่ยังไม่รวมผ้ารองบ่า ผ้าอ้อม ผ้าคลุมเตียง ผ้ารองนอน ผ้านู่นนี่อีกสารพัด

    - ด้วยความบอบบางนี้นี่เองที่พ่อแม่อย่างเรามักจะตกอยู่ในความวิตก เดี๋ยวได้ข่าวว่าลูกคนนั้นแพ้นั่นแพ้นี่ อาหารก็เรื่องนึง ผงซักฟอกก็เรื่องนึง ถามกลับไปว่าอ้าว เด็กก็ต้องใช้น้ำยาซักผ้าแบบของเด็กอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พวกพี่ๆ เขาก็บอกว่าเฮ้ยแบงค์ มันไม่ใช่เว้ย มันเกี่ยวกับเครื่องซักผ้าของมึงอะ เคยซักแต่ของผู้ใหญ่มาตลอดใช่มั้ย น้ำยงน้ำยามันก็ตกค้างอยู่ในเครื่องไง มันก็ไหลมากับน้ำแล้วเข้าสู่เสื้อผ้าของลูกมึง ก็อาจจะส่งผลกระทบก็ได้ อ่าว แล้วต้องทำไง? มึงก็ซื้อเครื่องซักผ้าใหม่สิวะ!

    - ไอ้บ้า ใครจะไปมีเครื่องซักผ้าหลายๆ เครื่องในบ้านเดียว ปัญญาอ่อนสิ้นดี ไปเปิดเน็ตดู เออ มีจริงด้วยว่ะ เขาแยกเครื่องไปเลยระหว่างผ้าผู้ใหญ่กับผ้าเด็ก แต่เป็นเครื่องที่ไม่แพงมากน่ะ 7-8 พันบาท นี่ก็เกือบบ้าจี้ไปถ้าไม่มีเพื่อนอีกคนมาบอกว่า เรียกช่างมาล้างเครื่องซักผ้าก็ได้มึง

    - เคยเห็นจากอินเทอร์เน็ตเหมือนกันว่าเครื่องซักผ้าเนี่ย ล้างทีนึงคือต้องล้างใหญ่ เพราะคราบสกปรกสะสมมันจะเกาะอยู่ในที่ที่เราไม่สามารถเอาไขควงไปงัดออกมาล้างเองได้ นี่ก็เลยได้ล้างเลย เป็นช่างจากโฮมโปร ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราวๆ พันบาท แกะล้างแทบจะทุกชิ้นส่วน

    - บางคนไม่ซื้อใหม่ เครื่องเก่าไม่ล้าง แต่ก็ยังกลัว เขาก็จะหนีไปซักด้วยมือกันไปเลย

    - ส่วนน้ำยาซักผ้านี่ก็อีกเรื่อง เราไม่มีความรู้หรอก เมย์เป็นฝ่ายหาข้อมูลมาก่อนทั้งนั้น เรามีหน้าที่แค่ขับรถไปซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วช่วยหยิบ ตอนไปเจอราคาก็เหยดเข้ ทำไมมันแพงขนาดนี้วะ ผงซักฟอกผู้ใหญ่นี่ถุงจะร้อยนิดๆ ใช้ได้เป็นเดือน ของเด็กนี่เป็นน้ำยา แถมขวดกระจิ๊ดเดียวปาเข้าไปหลายร้อย (ยี่ห้อพิพเพอร์) ดมกลิ่นดูก็ไม่ได้จัดว่าหอม มองไปชั้นวางข้างๆ ก็เจอยี่ห้ออื่นที่ราคาถูกกว่าเกือบเท่านึง แต่หน้าตาดูภูธรมาก เอาวะ ถ้าสะอาดก็เอา เสื้อผ้าไม่พรีเมี่ยม เอาน้ำยาซักผ้าพรีเมี่ยมก็ได้

    - เข้าไปดูในเว็บ แม่งจั่วหัวตัวเบอเร่อว่า "เรื่องราวของ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด เริ่มต้นในวันที่มิสเตอร์ปีเตอร์ เวียนแมน ค้นพบว่าเขาแพ้สารบางอย่างที่อยู่ในน้ำยาปรับผ้านุ่ม เมื่อพบว่าปิโตรเคมี (สารเคมีที่ทำมาจากน้ำมันดิบ) ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้านสามารถกระตุ้นภูมิแพ้ได้" อืม สร้างดีมานด์กันเข้าไป

    - เราเป็นพวกชอบเฟอร์นิเจอร์ คือไม่ได้ชอบเฟอร์หรูๆ แต่ชอบเวลามีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในบ้าน ซึ่งการมาของลูกนั้นได้นำพาราวตากผ้าขนาดใหญ่มาแก่บ้านของเราด้วย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นครอบครัวขยาย ซึ่งนี่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าราวตากผ้าอะลูมิเนียมหน้าตาเหมือนเอาท่อเหล็กมาต่อๆ และเอาท่อพลาสติกมาเป็นมุมนี่มันหลายตังค์ เราซื้อแถวบ้านย่านทุ่งครุนี่ราวละ 2,500 อะมึง เฮียแม่งไม่ลดให้เลย

    - รวมถึงราวแขวนผ้าที่ปกติเอาไว้ตากกางเกงใน นี่ก็ต้องซื้อเพิ่มแบบรัวๆ เอามาตากของชิ้นเล็กๆ เพิ่ม ซึ่งดูๆ แล้วก็แปลกตาพอสมควรในบ้านของเรา นี่เป็นรูปธรรมแรกๆ ที่เรารู้สึกว่ามันใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ เป็นตัวเป็นตนจริงๆ ด้วย ที่คิดยังงี้เพราะรู้สึกว่าก่อนหน้านี้มันเหมือนเป็นแค่ความฝัน ถึงจะอยู่ในท้องแต่ก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้านี่หว่า

    - โดยรวมๆ เรื่องเสื้อผ้า เท่าที่เห็น การเลือกของพวกนี้ให้ลูกเป็นการสนองนี้ดของพ่อแม่เสียส่วนมาก บางคนชอบ starwars ก็ซื้อลายสตอรมทรูเปอร์มาทั้งเซ็ต ดาร์ธเวเดอร์อีกแปดตัว บางคนชอบ adidas ก็สรรหามาให้ลูกทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าลูกจะอินไหม โตมาแล้วอาจจะเกลียดอนาคินสกายวอล์กเกอร์ หรือมาเหยียดหนังให้เราฟังดื้อๆ เลยก็ได้ โห ป๊า ใครจะไปเชื่อวะ หลับตายิงดาวระเบิด ปัญญาอ่อน ฯลฯ แต่นั่นแหละ เอาไปเอามาก็คล้ายๆ กับเป็นการแต่งตัวตุ๊กตา น่ารักไปอีกแบบ

    - ตอนนี้เวลาเห็นเสื้อผ้าลูก ก็สนุกดีที่จะคิดว่า โตขึ้นมาเขาจะชอบสีอะไร ชอบคาแรคเตอร์ไหนเป็นพิเศษ จะชอบสัตว์ไหมหรือจะเกลียดพวกมัน ถ้ามาขอซื้อเสื้อเบนเทนเราจะโอเคไหม หรือจะเอาเพาเวอร์พัพเกิร์ล เสื้อผ้าที่ชอบใส่ตอนประถมล่ะ โตไปจะแต่งตัวแนวไหน นี่เป็นสิ่งที่เขาจะฉีกจากเราไปเรื่อยๆ ตอนนี้ย้อนกลับไปก็อยากไปถามแม่กับพ่อเหมือนกันว่า ตอนที่เรากำลังจะเกิด เขาเลือกเสื้อผ้าให้เรายังไงหนอ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in