- ช่วงปีนี้เป็นปีที่รู้ซึ้งในความจำเป็นของประกันสุขภาพมาก ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนที่เข้ารพ.ไปรอบนึง แล้วก็มีเมย์มาเป็นถี่ๆ ช่วงนี้อีกรอบนึง ตอนแรกที่สมัครไปก็รู้สึกเปลืองเงินนะ แต่พอได้ใช้ก็โอ้โหพระเจ้ามาโปรดสุดๆ

- ทำไมตอนแรกถึงทำให้เมย์? เพราะช่วงต้นปีที่ผ่านรู้ละว่าท้อง แล้วมันมีประกันตัวนึงที่มันมีเงื่อนไขว่า ถ้าเราซื้อให้เมย์วันนี้ แล้วพอมีลูก เราจะสามารถทำประกันสุขภาพให้ลูกได้เลยตั้งแต่วันแรก (ซึ่งต้องเป็นแพคเกจเดียวกันกับตัวแม่) ซึ่งมันจะคุ้มครองตอนลูกอายุ 1 เดือนพอดี ซึ่งประกันอื่นๆ มันไม่ใช่ มันต้องให้ลูกอายุ 15-30 วันก่อนแล้วถึงสมัคร กว่าจะคุ้มครองลูกก็อายุ 45-60 วันไปแล้ว อีนี่ก็โรคจิตไง เป็นพวกวิตกจริต อะ ก็เลยสมัครไป

- ทำไปให้ลูก แต่กลายเป็นว่าเมย์ได้ใช้ก่อนลูกซะยังงั้น อาการที่เมย์เป็นคือรักษาไปจนเกินวงเงิน ทะลักไหลออกมาให้จ่ายต่ออีกเป็นแสน แต่ถ้าไม่มีนี่ก็กระอักเลือด ตอนนี้เราคงต้องขายปอดหนึ่งข้าง ตับหนึ่งข้าง และไตอีกหนึ่งข้างเอามาจ่ายค่ารักษา

- บางคนคงจะงงว่า อ้าว ทำไมไม่ไปรพ.ที่ถูกกว่านี้ หรือไม่ก็รพ.ประกันสังคม คำตอบคือเราฝากท้องที่รพ.พระรามเก้า ซึ่งอาการที่เมย์เป็นหมอเขาบอกว่ามันอาจจะแทรกซ้อนมาจากการมีลูก มันเกี่ยวข้องกับแผนกสูตินรีน่ะ ก็เลยจะต้องผูกพ่วงเอาไว้ และเอาเข้าจริงนะ รพ.ที่เมย์มีประกันสังคมอยู่ (ซึ่งเป็นรพ.เดียวกับที่นอนไปตอนต้นปี) สภาพแวดล้อมมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูน่าเป็นห่วงถ้าไปอยู่ เราเลยยอมลงทุนและตัดสินใจรักษาที่นี่นั่นแหละจ้ะ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวด้วย จะบ่นว่าโอ๊ยแพงอย่างเดียวก็ไม่ได้น่ะเนอะ เลือกเองนี่แหละ ถ้าจ่ายแล้วคนที่เรารักได้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย เราก็เอาอะนะ

- นี่แหละที่เป็นปัจจัยคิดว่า ประกันสุขภาพคือสิ่งที่ควรลงทุนสัสๆ เลย เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นอะไรขึ้นมาเมื่อไหร่ แถมพอเป็นขึ้นมาแล้วก็กลับหลังหันไปทำอะไรอีกไม่ได้อีกต่างหาก

- ประกันสุขภาพของลูกจึงเป็น topic ใหญ่ที่เรากังวลและเลือกเยอะเป็นพิเศษ เพราะมันจำเป็นและแพงเหี้ยๆ

- ก่อนหน้านี้ถามรุ่นพี่ที่มีลูกไปก่อนหน้านี้ ว่าทำประกันอะไรที่ไหน คำตอบที่ได้ก็มักจะดูไม่เป็นรูปธรรมและแอ๊บสแตรคมาก เช่น แล้วแต่คนเลี้ยง, ขึ้นอยู่กับมึงดูแลลูกยังไง หลายคนก็พยายามโชว์เหนือจนน่ารำคาญ ไม่ได้เข้าประเด็นแต่อย่างใด แต่ก็พอจะสรุปได้ว่ามันก็แล้วแต่งบกับความสบายใจส่วนตัว บางคนแค่คิดว่าเลี้ยงนมแม่ก็มีภูมิคุ้มกันมากพอแล้ว ก็ไม่ซื้อประกันเลยก็มี

- เราความรู้เรื่องนี้น้อย ประกันอะไรไม่เคยจะสนใจมาก่อน ใครโทรมาขายก็บอกให้เขาโทรมาตอนสี่ทุ่ม แกล้งสายหลุดบ้างต่างๆ นี่ก็กลายเป็นกรรมตามสนองไป คือต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่

- ซึ่งก็เป็นการเริ่มที่ความรู้สึกส่วนตัวและปัจจัยที่ตัวเองมี ถ้าตรงไหนไม่ถูกต้องก็มาช่วยกันแก้หน่อยแล้วกัน จะได้เข้าใจง่ายขึ้น

- ประกันสุขภาพแบบที่เราคิดและเข้าใจง่ายๆ ไปเองคือ ประกันชีวิต+สุขภาพแบบมีออมเงินไปด้วย คือขายพ่วงมาแบบ 50% 50% ส่วนอีกแบบก็คือประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย แบบนี้จะไม่มีออม จ่ายทิ้งเป็นรายปี

- แบบแรกเป็นแบบที่เพื่อนเราหลายคนเลือกทำ ซึ่งไอ้การออมเนี่ยมันก็ส่งผลหลายอย่าง เช่น เอาไปหักภาษีปลายปีต่างๆ วางแผนการเงินในอนาคต เผื่อลูกโตมาอายุ 15 ปีแล้วจะมีเงินก้อนใช้ พวกนี้จะต้องจ่ายไปเรื่อยๆ ทุกปีเป็นสิบปี (หรือจริงๆ อาจมีน้อยปีกว่านั้น) คล้ายๆ กับประกันอุบัติเหตุ ซึ่งไอ้อย่างนี้มันจะครอบคลุมการรักษาในงบประมาณที่ไม่มากเท่าอีกแบบ แต่ค่าใช้จ่ายในการซื้อประกันก็ถูกกว่า

- ส่วนแบบเหมาจ่ายซึ่งไม่มีการออม จ่ายก้อนเดียวอยู่ได้ปีนึง มีงบประมาณแบบโอ้โหไอ้บ้าประชดกันใช่มั้ย ครอบคลุมทุกอย่างเป็นเงินตั้งแต่ล้าน ห้าล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน มองดูการคุ้มครองก็รู้สึกตลกนิดหน่อยว่าใครจะรักษากันเป็นร้อยล้านวะ แต่ก็อย่าประมาทเชียว...เราว่าอาจจะมี

- เราสนใจแบบหลัง ซึ่งเป็นแบบที่พ่อแม่ในเน็ตชอบเอามาอวดกัน คือไปนอนรพ.ทีค่าใช้จ่ายออกมาเป็นแสนแต่สุดท้ายจ่ายแค่ 200 บาท อย่างเพื่อนเราเองมีลูกสองคน ป่วยพร้อมกันสองคน โดนกันไปคนละสองแสน จ่ายไป 400 บาท เป็นต้น

- ในฐานะที่เป็นพวกวิตกจริต และคิดว่าเมื่อเด็กออกมาแล้วเขาสื่อสารกับเราไม่ได้ ได้แต่อ้อแอ้และร้องไห้ จะปล่อยให้ธรรมชาติสั่งสอนหรือให้เงียบไปเอง รอให้ภูมิต้านทานในตัวเติบโตและซ่อมแซมตัวเอง ป่านนั้นกูอกแตกตายพอดี ถ้าป่วยไข้หรือเป็นอะไรนิดหน่อยเราเองคงไม่สบายใจแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็เลยไม่สนใจแบบอื่นเลยนอกจากประกันสุขภาพแบบเหมา

- ทีนี้มันติดปัญหาคือมันแพง แพงมาก แพงยังกะปล้นกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ค่าเบี้ย​(ก็คือราคานั่นแหละ)มันยังอยู่ในหลัก 2-3 หมื่นบาทต่อปี คุ้มครอง 10 ล้านบาท แต่มันฮิตจัด รวมถึงบริษัทจะเจ๊งแล้วเพราะพ่อแม่พาลูกไปเคลม(ทำไมฟังดูเป็นเด็กแว้น)เยอะมากกก เขาก็เลยต้องขึ้นราคาหน่อย และขึ้นไม่ธรรมดา แม่งขึ้นมาเกือบเท่านึง ซึ่งก็คือสตาร์ทที่เกือบ 7 หมื่นบาท และไปจบที่แสนบาท!

- บอกก็ได้ว่าคือกรุงไทยแอคซ่า ไม่รู้จะปิดบังอะไรทำไม

- แทรกเล็กน้อย ที่จริงก็น่าโมโหเหมือนกันว่าพวกที่กลัวไม่คุ้ม เอะอะๆ ก็แอดมิดแล้วนอนห้องหรูๆ เคลมหนักๆ รพ.ก็เรียกเก็บกับประกันไปสิ จนตอนนี้มันแพงหูฉี่นี่มันก็คล้ายๆ กับที่ไปบอกว่าคนจนทำระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าเจ๊งเพราะเอะอะก็ไปเอายาฟรีพอสมควร (เข้าใจว่ามันมีข้อแตกต่าง ฉันจ่ายไปแพงก็ควรจะต้องมีสิทธิ ฯลฯ อันนั้นก็แล้วแต่มุมจะมอง แค่อดคิดไม่ได้เท่านั้นล่ะ)

- ช่วงนี้เรากับเมย์ก็เลยได้มองหาประกันเจ้าอื่นๆ เอาไว้ด้วย เผื่อจะมีที่ที่ถูกกว่าหรือทางเลือก เพราะยังไงมันก็ต้องมีอยู่แล้ว เรื่องอะไรใครจะปล่อยให้เจ้าอื่นถูกพูดถึงและปรับราคาเป็นเจ้าตลาดอยู่อย่างเดียว

- ซึ่งก็จริงๆ มันก็มีเจ้าอื่นอยู่บ้างนะไอ้ประกันแบบเหมาจ่ายเนี่ย มีทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่เลย และแต่ละที่ก็มีจุดเด่นไม่เหมือนกัน บางอันคุ้มมากแต่เงื่อนไขเยอะ บางอันคุ้มน้อยหน่อยแต่ก็มีเงื่อนไขจิ๊ดเดียว

- วันนี้นัดคุยกับตัวแทนคนนึง ขายของอีกเจ้านึงคือ LMG ที่ก็ดูคุ้มครองเยอะเหมือนกัน คือหลัก 5 ล้าน 20 ล้านอะไรยังงี้ ค่าเบี้ยก็ไล่เลี่ยกันคือราว 6 หมื่นอัพ แต่นี่คือมีทั้งคุ้มครองแม่และลูก คือลูกราวๆ 3 หมื่น ส่วนแม่ก็อีก 3 หมื่นอะไรยังงั้น แต่จะแยกซื้อไม่ได้นะ ต้องซื้อทั้งคู่พร้อมกัน เออ ก็เป็นเงื่อนไขที่ประหลาดดี (อีอันนี้มันดีอย่างนึงตรงที่ OPD คือการรักษาแบบที่ไปหาหมอแล้วกลับบ้าน ไม่ได้นอนแอดมิด มันรวมอยู่ใน 5 ล้านนั่นเลย ก็คือจะ OPD กี่ครั้งก็ได้ ต่างจากที่อื่นที่กำหนดเป็นจำนวนเงิน เช่น 1.2 หมื่น 1.5 หมื่น 5 หมื่น แสนนึง หรือไม่ก็เป็น ไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง และกำหนดจำนวนครั้งต่อปี เป็นต้น)

- ก็ดูเหมือนจะคุ้ม แต่เท่าที่ดูแล้วมันก็คงจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด คือเอาเงื่อนไขนู้นออกเอานี้เข้า ซึ่งเดี๋ยวมันก็จะมีการปรับราคาอะไรอีกนั่นแหละ เป็นเรื่องกลไกและการตลาดสุดๆ ดังแล้วก็ยังงี้แหละแบรนด์พวกนี้ ชิ

- ซึ่งจริงๆ ก็น่าจะมีเจ้าอื่นๆ อีก แต่ยังไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ ในพันทิปก็ไม่เห็นมีมาโฆษณาอะไรกัน หรือมีแล้วโดนลบไปแล้วก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ เดี๋ยวพุธหน้าจะเอาพวกใบรายละเอียดไปให้รพ.ที่ตั้งใจจะเอาลูกไปหาประจำดูว่ามันเคลมได้ไหมกับประกันที่เริ่มสนใจ คงต้องแมนนวลกันไปยังงี้

- ประกันพวกนี้ส่วนใหญ่จะแพงมากตอนที่ลูกยังเล็กอยู่ บางที่จะปรับเบี้ยถูกลงมาตอน 6 ขวบ แต่บางที่ก็ 5 ขวบ

- สรุปได้ว่าอีค่าประกันลูกเนี่ยมันจะอยู่ที่ราคา 2-7 หมื่นบาท จะยอมจ่ายเท่าไหร่ก็แล้วแต่สไตล์คนเลี้ยงและการชั่งตวงความคุ้มค่าของแต่ละบุคคล ซึ่งแม่งก็แทบจะแพงเท่ากับค่าคลอดเลยนะ

- ซึ่งไอ้เรื่องพวกนี้มันก็แล้วแต่คน บางคนขอคลอดถูกๆ หน่อยแล้วไปลงทุนกับประกัน บางก็อาจสลับกัน คงไม่มีอะไรผิดถูกหรอก แต่สำหรับเราซึ่งจะนอยด์แดกมากถ้าใครในครอบครัวเข้าตาอับจนหนทางและจิตจะตกจนทำอะไรไม่ได้ถ้ารู้สึกไม่มั่นคง ตัวเราเองเป็นยังไม่เท่าไหร่ อยู่ตรงไหนก็อยู่ไปเถอะ แต่กับครอบครัวก็ all in ไปเถอะ ไว้ค่อยหาใหม่

- ลืมเล่าไป สาเหตุนึงที่ทำให้เลิกคิดเยอะกับการทำประกันแบบเหมาไปแล้วก็คือเข้ารพ.ครั้งล่าสุด หมอบอกว่าท่อที่ใส่ให้เมย์มันมีเชื้อรา ถ้าไม่ฆ่าเชื้อราก่อนแล้วไปผ่าตัดออกอาจทำให้เชื้อมันติดในกระแสเลือดได้ หมอบอกว่ามันมียาที่ใช้ได้อยู่ 2 ตัว ตัวแรก จะทำให้เมย์อาจมีอาการไข้ หนาวสั่น ซึ่งสำหรับเรามันน่ากลัวมาก มันดูทรมานสุดๆ เลยเท่าที่เคยเห็นมาสองครั้ง ส่วนอีกตัวนึงเอฟเฟคพวกนี้จะน้อยจนแทบไม่มีอาการเลย ตัวแรกราคา 1,100 บาท ส่วนอีกตัว 17,000 บาท และทั้งคู่ต้องใช้ทั้งหมด 6 โดส...

- เราคิด ตอนนั้นน้ำตาจะไหล ทำไมต้องมาเลือกอะไรแบบนี้ด้วย ถ้ามีเงินพอเราก็ต้องเลือกตัวที่ไม่ทำให้เขาทรมานอยู่แล้วสิ แต่นี่สุดท้ายเราต้องเลือกตัวแรกที่ถูกกว่าไป เพราะค่ารักษา,ค่ายามันทะลุวงเงินประกันไปเยอะมากแล้ว และมากกว่านี้ก็คงจะหาเงินมาจ่ายไม่ได้ ไหนจะต้องกันเงินไว้เป็นค่าคลอดลูกอีก เป็นวันที่เราไม่มั่นใจในตัวเอง และโกรธตัวเองมาก แต่โชคดีไปที่เมย์ไม่เกิดผลข้างเคียง เฮ

- สำหรับลูก เอาไว้หลังจาก 5 ขวบ แล้วป่วยน้อยหน่อยแล้วค่อยหันไปซื้อแบบออมแทน น่าจะเวิร์กกว่ามั้ง​? ช่วงนี้ก็ประหยัดไปก่อนละกันเนอะ

- นี่ตั้งใจว่าถ้าเพื่อนคนไหนมีลูก จะเป็นคนรวบรวมเงินจากเพื่อนๆ กลุ่มเดียวกันแล้วเอาไปซื้อประกันให้หลานดีกว่า ถึงไม่พอแต่ได้เป็นส่วนหนึ่งก็ยังดี เพราะมันเป็นเงินก้อนที่ยังไงพ่อแม่จะต้องใช้แน่นอน จะได้แบ่งเบากันไป ไม่ต้องไปซื้อแล้วพวกแพมเพิร์ส เพราะส่วนใหญ่จะล้นบ้าน เพราะซื้อมาผิดไซส์ ผิดยี่ห้อ (ที่เด็กบางคนแม่งก็แพ้แพมเพิร์สไม่เหมือนกันอีก) โว้ย!