เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จ-สระใอ-ใจWorakhun Boon
ตอนที่ 7 หลักสำคัญ
  • หลังจากกินอาหารเย็นอิ่มกันแล้ว พี่หนุ่มชวนนั่งจิบชากันในสวนหลังบ้านพี่หนุ่ม ผมเริ่มด้วยการส่งการบ้านว่าวันนี้ได้เห็นอาการทางกาย และอาการทางใจอะไรบ้าง

    พี่หนุ่มลองให้ผมทบทวนว่าผมเห็นประโยชน์อะไรบ้างจากการที่ผมมีสติมาตั้งแต่เช้า

    "ตอนที่ถูกขับรถปาดหน้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงต้องไปขับปาดกลับแน่ ๆ ครับ ผมเคยขับออกนอกเส้นทางที่จะไปเพื่อไปขับปาดกลับมาแล้ว" ผมตอบ

    "แล้วเมื่อเราทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีสติ จะช่วยให้เราจดจำเหตุการณ์ หรือเรื่องราวได้ดีขึ้นด้วยนะ" พี่หนุ่มเสริมขึ้น

    "จริงครับ ตอนเล่าทบทวนให้พี่หนุ่มฟังว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ผมยังแปลกใจตัวเองอยู่เลยว่าสามารถเล่าเหตุการณ์ได้อย่างละเอียดเพราะปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยจดจำเหตุการณ์อะไรเท่าไหร่"

    "ถ้างั้นพี่จะเริ่มเล่าให้ฟังถึงหลักสำคัญของความจำเป็นที่ต้องมีสติ เมื่อจักรจับหลักถูกก็จะไม่ต้องสงสัยอีกว่าทำอะไรอยู่ ทำไปทำไม แล้วต้องทำอะไรต่อ" พี่หนุ่มเริ่มเข้าเรื่องในหัวข้อที่เราจะสนทนากันคืนนี้

    "คนเราเกิดมามีทั้งสุขและทุกข์ จนบางครั้งเราเผลอคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา โดยมากเรามีความอดทนต่อทุกข์ได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราพิจารณาแยกแยะจะเห็นว่าความทุกข์แบ่งเป็นความทุกข์ทางกายกับความทุกข์ทางใจ" พี่หนุ่มสาธยาย ในขณะที่ผมพยักหน้าหงึกหงึกเห็นด้วยกับพี่หนุ่ม

    "ความทุกข์ทางกายเช่นความเจ็บป่วย ความแก่ชรา เหล่านี้เป็นความจริงที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ยกเว้นว่าตายตั้งแต่ยังเด็ก แม้แต่ความตายก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ เวลาเราไปงานศพของญาติของคนอื่น เราก็ปลอบเค้าว่าอย่าศร้าโศกไปเลย แต่เราก็อดหวังไม่ได้ว่าให้คนที่เรารักไม่ตายก่อนหน้าเรา แต่พอคนที่เรารักตายไป ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าทุกคนต้องตาย เรากลับเสียใจ โศกเศร้าจนเกิดความทุกข์ทางใจ"

    "แม้ว่าความทุกข์ทางกายจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เจ้าความทุกข์ทางใจนี่เราไม่จำเป็นต้องไปทุกข์กับมันได้นะ ที่เราทุกข์ใจเพราะสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นตามที่เราอยากให้เป็น ใจเราจึงทุกข์ เช่นเวลาป่วยแล้วอยากให้หายป่วย พอมันไม่หายก็ทุกข์ ไม่ยอมรับความเป็นจริงที่ว่าสิ่งต่าง ๆ บนโลกต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่แน่นอน ร่างกายก็เช่นเดียวกัน ดังเช่นที่คนสมัยก่อนว่าเอาไว้ว่า 'ความแน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน' สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของมัน เราอาจจะไม่ทันได้เห็นว่าเหตุมันมีอยู่ แต่เราเห็นผลที่เกิดขึ้น ก็เลยชอบคิดเอาเองว่ามันต้องเป็นแบบที่เราอยากให้เป็น ความจริงแล้วมันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างที่จักรดูถ่ายทอดสดฟุตบอลเมื่อวานแล้วอยากให้ทีมชาติไทยชนะ แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยาก แล้วเราก็หงุดหงิด แต่ถ้าเรายอมรับว่าเราควบคุมผลการแข่งขันไม่ได้ มันก็เป็นเช่นนั้น เราก็ไม่หงุดหงิด อะไรเกิดขึ้นเราก็ไม่ได้ยึดมั่นว่าเป็นของเรา ถ้าเป็นของเรา เราต้องสั่งได้ให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่เราต้องการ แม้กระทั่งความสุขที่เกิดขึ้น เราก็สั่งให้มันอยู่กับเราตลอดไปไม่ได้" พี่หนุ่มร่ายยาว ส่วนผมตั้งใจฟังอย่างสนใจ

    "การเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันควรจะเป็นตามธรรมชาติของมัน เปรียบเสมือนการนั่งอยู่บนตลิ่งมองไปที่แม่น้ำ เห็นดอกบัวสวย ๆ ลอยน้ำมาเราก็ไม่กระโจนลงน้ำไปคว้าเอามาเป็นของเรา เพราะถ้ากระโจนลงน้ำเราก็เปียก ตอนเราว่ายไปเอาดอกบัว ถ้าหมาเน่าลอยมาเราก็ต้องดิ้นรนว่ายหนี กลิ่นก็เหม็น ในน้ำอาจมีตัวเงินตัวทองมาทำร้ายเราได้ แต่ถ้าอยู่บนฝั่ง ดอกบัวลอยน้ำมาเราก็มองอย่างชื่นชม หมาเน่าลอยมาเราก็นั่งดูมันอยู่ห่าง ๆ เรื่องเหล่านี้เราได้ยินได้ฟัง หรือได้อ่านมาเยอะแล้ว แต่มันเข้าไม่ถึงใจเพราะเราไม่ได้ใช้ใจที่ตั้งมั่นเป็นปกติพิจารณามัน ใจที่ตั้งมั่นก็คือใจที่มีสมาธิ อย่างเวลาเราอ่านหนังสือไป ดูทีวีไป ฟังเพลงที่ชอบไป เราจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หรือถ้าพอรู้เรื่องแต่ก็จะจดจำรายละเอียดได้ไม่ครบ การเฝ้าดูอาการของกายและใจก็เหมือนกัน ถ้าเรามีใจที่ตั้งมั่น เราจะเห็นความเป็นปกติของมันว่าสถาวะมันมีการเปลี่ยนแปลง มีความไม่แน่นอน สั่งการมันไม่ได้" พี่หนุ่มหยุดจิบชา พร้อมกับเทเพิ่มให้ผมเมื่อเห็นว่าถ้วยชาผมพร่องลงไป

    "ใจที่ตั้งมั่นคือใจที่ไม่กระสับกระส่ายไปตามอาการที่เกิดขึ้น จึงต้องอาศัย 'สติ' เป็นตัวระลึกรู้เมื่อใจไปหลงอาการ เช่นพอใจไปเกิดโกรธ สติก็เข้าไประลึกรู้ ถ้าสติมีกำลังมากกว่า ใจก็จะไม่เข้าไปเสริมปรุงแต่งให้อาการโกรธมากขึ้น สักพักอาการโกรธก็จะหายไปเพราะเหตุมันหายไป อย่างเวลาเราโกรธโดยมากเราจะเห็นใครสักคน พอคิดถึงหน้าเค้าขึ้นมาเราก็จะโกรธ แล้วใจเราก็จะปรุงแต่งว่าถ้าเราทำอย่างนั้นอย่างนี้กับเค้าแล้วเราจะสะใจ อย่างนี้เรียกว่าเราไปสุมไฟให้ความโกรธก่อตัวมีกำลังมากขึ้น แต่ถ้าเรามีสติระลึกรู้ทัน ความโกรธก็จะลดน้อยลงจนดับไปเอง เราก็จะเห็นสภาวะการเปลี่ยนแปลง การเกิดดับของความโกรธ เข้าใจว่าเมื่อโกรธก็หายโกรธ ไม่มีใครที่โกรธตลอดเวลาหรอก"

    ระหว่างที่พี่หนุ่มอธิบายผมก็พาลไปคิดถึงผู้หญิงคนที่ขับรถปาดหน้าผม ไม่ได้โกรธเธอ คิดว่าไม่รู้ว่าเธอจะไปขับหลงทางที่ไหนอีก เอ! อย่างนี้เรียกปรุงแต่งอยู่รึเปล่าเนี่ย ผมทิ้งความคิดกลับมาสู่ปัจจุบันทีากำลังนั่งฟังพี่หนุ่มอยู่

    "อย่างนี่สตินี่ก็เป็นพื้นฐานของทุกเรื่องเลยนะสิครับ" ผมเอ่ยขึ้น

    "ใช่แล้ว แต่ด้วยความที่เราใช้ชีวิตแบบไม่มีสติมาตลอด เราจึงต้องฝึกมีสติในชีวิตประจำวันให้ได้ เพราะความจริงว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นดับไปไม่แน่นอน มันเป็นของมันเช่นนี้สั่งการไม่ได้นั้น มีอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรรามีสติให้มาก มีใจที่ตั้งมั่น เราก็จะเห็นความจริงเหล่านี้ได้มากจนใจมันยอมรับ"

    คืนนี้เราคุยกันจนดึก ผมร่ำลาพี่หนุ่มเพราะวันรุ่งขึ้นจะกลับกรุงเทพฯ แต่เช้าเพื่อเลี่ยงรถติดตอนขับรถกลับ

    พอจะเข้าถึงกรุงเทพฯ ก็คิดไปถึงเรื่องโครงการที่มีปัญหาว่าจะแก้ไขอย่างไรดี พอใจไปเห็นว่ากำลังคิดอยู่ ก็มีความคิดขึ้นมาแทรกว่า "ก็คิดมาหลายวันแล้วก็ยังคิดไม่ออก เราก็ยังไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม ไม่ได้ติดต่อใคร มันจะมีทางออกใหม่ ๆ ได้อย่างไร จะคิดก็คิดไป" ผมนั่งดูใจมันคิดแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ความกังวลมันไม่เข้ามาร่วมกับความคิดเหมือนวันก่อน ความจริงแล้วผมมีทางออกไว้แล้ว เป็นทางออกที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ก็ถือว่าเป็นทางออกของปัญหานี้ 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in