เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จ-สระใอ-ใจWorakhun Boon
ตอนที่ 6 รายงานผล กับการบ้านเพิ่มเติม
  • เช้าวันนี้ผมตื่นแต่เช้า นั่งดื่มกาแฟรอพี่หนุ่ม เพราะคิดว่าพี่หนุ่มคงมานั่งกินกาแฟด้วยกัน แล้วก็ไม่ผิดหวังที่ไม่นานนักพี่หนุ่มก็แวะมาหา

    "สวัสดีจักร ตื่นแต่เช้าเลยนะ วันนี้มาขอดื่มกาแฟด้วยคนนะ"

    "สวัสดีครับพี่หนุ่ม ยินดีครับ ผมนั่งดื่มกาแฟคนเดียวมันเหงาครับ มีพี่จักรมานั่งด้วยสนุกกว่า แถมได้ความรู้เพิ่มด้วยครับ"

    "นวลครับ ขอกาแฟให้พี่หนุ่มแก้วนึงครับ" ผมตะโกนบอกนวลที่อยู่ไม่ไกลนัก

    "เมื่อวานฝึกยังไงบ้าง เล่าให้ฟังหนอยสิ" พี่หนุ่มถามขึ้นมา

    "ผมตั้งใจจะทำความรู้สึกตัวให้มาก ๆ แต่ปรากฏว่าทำได้แค่ตอนอาบน้ำเท่านั้นเองครับ ตอนกำลังหยิบสบู่ก็รู้สึกตัวว่ากำลังหยิบสบู่ รู้สึกเวลาที่น้ำจากฝักบัวไหลมากระทบตัวเอง รู้สึกตอนที่ถูสบู่ ส่วนเวลาที่เหลือทั้งตลอดบ่ายจนเข้านอน ขาดสติตลอดครับ" ผมรายงานผลการฝึกให้พี่หนุ่มฟังถึงตอนมีสติและไม่ลืมที่จะเล่าถึงตอนที่ไม่มีสติช่วงระหว่างดูหนัง ดูบอล และสวดมนต์ด้วย

    "เก่งนะเนี่ย วันแรกทำได้ขนาดนี้ กว่าผมจะรู้สึกตัวเป็นใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เลยนะ" พี่หนุ่มกล่าวชมจนผมแทบจะตัวลอย แม้ว่าจะไม่ได้เห็นด้วยนักว่าตัวเองทำได้ดี

    "ผมอยากให้พี่หนุ่มช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้หน่อยว่าถ้ามีสติแล้วจะช่วยอะไรบ้าง เมื่อวานนี้พี่หนุ่มบอกว่า ถ้าเราเห็นความคิด แล้วดูความคิดอยู่ห่าง ๆ ไม่ไปวุ่นวายกับมัน ดูมันเหมือนกับนั่งดูวิวริมแม่น้ำ" ผมพยายามรื้อความทรงจำเมื่อวานว่าพี่หนุ่มพูดว่าอะไรบ้าง

    "จากนั้นมันจะเป็นยังไงต่อครับ ผมฟังแล้วมันน่าจะดูดี แต่บอกตรง ๆ ครับว่ายังไม่เข้าใจครับว่าฝึกสติได้แล้วจะดียังไงอีก"

    นวลยกกาแฟมาเสิร์ฟให้พี่หนุ่มพร้อมกับขนมปังปิ้ง เนย และแยมส้ม
    พี่หนุ่มหยิบมีดมาทาเนยบนขนมปังปิ้ง พร้อมกับจิบกาแฟก่อนพูดขึ้นว่า

    "สติทำให้ใจเป็นปกติ ใจที่เป็นปกติจะรับรู้สภาวะทุกอย่างตามความจริงได้ สมมุติว่าจักรจะกำลังโกรธผมอยู่ แล้วผมพยายามจะอธิบายให้จักรเข้าใจ คิดว่าจักรจะพยายามฟังให้เข้าใจมั้ย"

    "คงจะไม่ฟังครับ เพราะผมกำลังโกรธอยู่"

    "เราจะรับรู้หรือเข้าใจอะไร ใจต้องเป็นปกติ เพราะใจที่โกรธเป็นใจที่รุ่มร้อน ไม่ใช่ใจที่ไม่เป็นปกติ"

    "แล้วเราต้องเข้าใจอะไรครับ ไอ้ความจริงที่พี่พูดถึงนี่มันหมายถึงอะไรครับ"

    "ดีแล้วที่จักรสนใจ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป คงต้องคุยกันยาวหน่อย เดี๋ยวเช้านี้ผมจะไปกราบพระอาจารย์ที่วัด เอาไว้เย็นนี้แวะมากินข้าวด้วยกันที่บ้านผมเราจะได้มานั่งคุยกันต่อนะครับ" พี่หนุ่มแนะนำ

    พี่หนุ่มยกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแก้วก่อนจะพูดต่อว่า "แต่วันนี้ผมมีการบ้านให้จักรทำต่อจากเมื่อวานดูก่อน เย็นนี้จะพอได้คุยกันจะได้เข้าใจมากขึ้น"
    พี่หนุ่มหยุดสักครู่ก่อนพูดต่อว่า

    "ความรู้สึกตัวที่จักรมีเมื่อวานขณะอาบน้ำนั้น เป็นความรู้สึกที่ร่างกาย เป็นการสัมผัสโดยตรงกับร่างกาย แต่มีความรู้สึกตัวอีกอย่างหนึ่งคือรู้สึกถึงอาการของใจ เช่นตอนอาบน้ำแล้วน้ำเย็นมากระทบตัวแล้วรู้สึกว่าชอบใจ ความชอบใจนี่เป็นอาการของใจ หรือความตื่นเต้นตอนดูบอล หรือความหงุดหงิดตอนบอลแพ้ ความตื่นเต้นหรือความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นก็เป็นอาการของใจเหมือนกัน อาการของใจเรานี้เราก็จะสามารถใช้สติไปรู้ได้เช่นกัน วันนี้ลองสังเกตเพิ่มเติมดูว่าเราจะมีสติไปรู้สึกอาการของกาย และอาการของใจได้มากน้อยแค่ไหน"

    หลังจากที่พี่หนุ่มกลับไปโดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงประโยชน์ของการมีสติ ผมก็ออกอาการผิดหวังเล็กน้อยเพราะตั้งใจว่าเช้านี้จะถามพี่หนุ่มให้รู้เรื่อง แต่อาการผิดหวังก็อยู่ในหัวได้ไม่นานเมื่อความคิดเกิดขึ้น

    "ไอ้อาการทางใจที่พี่หนุ่มว่าเราก็เห็นมันเป็นประจำอยู่แล้วนี่นา ทั้งชอบใจ ไม่ชอบใจ ตื่นเต้น หงุดหงิด" ความคิดพูดขึ้นมาในหัว จากนั้นก็ตามมาด้วย "เอ! ความอยากรู้เรื่องประโยชน์ของสติเนี่ยมันก็เป็นอาการทางใจอย่างหนึ่งนี่"

    "กลางวันนี้ขับรถเข้าไปหาอะไรกินในตัวเมืองดีกว่า จะได้ซื้อกับข้าวไปกินที่บ้านพี่หนุ่มด้วย" ผมคิดขึ้นซ้อนทับความคิดเดิม

    วันนี้รถในเมืองเยอะกว่าปกติคงเป็นเพราะว่าเป็นวันหยุดยาวทำให้คนกรุงเทพฯ อย่างผมแวะมาพักผ่อนกัน

    ผมตั้งใจขับรถเข้าตัวเมืองอย่างมีสติ รู้สึกถึงมือที่จับพวงมาลัย แอร์เย็น ๆ ที่เป่าโดนกาย ความรู้สึกสบายที่เกิดขึ้น

    "เฮ้ย!" ผมอุทานขึ้น "ขับรถดี ๆ หน่อยสิวะ อยากลองดูไหมว่าใครขับเก่งกว่ากัน" ผมอารมณ์เสียที่เจอรถคันหน้าปาดเข้ามาในเลนอย่างกระชั้นชิดจนต้องเบรคตัวโก่ง "คนอื่นเค้าต่อคิวกัน มักง่ายอย่างนี้ต้องเจอดี" ผมตัดสินใจแทรกออกทางซ้ายมือกะว่าจะไปปาดคืน ก่อนที่จะหักรถออกก็คิดขึ้นได้ว่านี่เรากำลังโกรธอยู่นี่ ความโกรธเป็นอาการทางใจนี่นา จึงเปลี่ยนใจไม่หักรถออกเพื่อปาดกลับรถคันหน้า "ถ้าทำให้เราไปไม่พ้นไฟเขียวนี้นะน่าดู" อารมณ์โกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกเมื่อมองไปเห็นรถคันข้างหน้า แม้ว่าไม่ได้รีบไปไหน แต่รู้สึกว่าโดนหยามที่ถูกคันหน้าปาดเข้ามา ผมขับเลี้ยวขวาตามคันหน้าจนพ้นไฟเขียวมา สักพักก็ถึงตลาดที่จะมาหาอะไรกิน บังเอิญมาจอดรถใกล้กันกับรถคันที่ปาดเข้ามาพอดี

    "ขอลงไปดูหน้าหน่อยนะ" ผมล็อครถแล้วเดินไปแถว ๆ รถคันนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปหาเรื่องอะไร หญิงสาวหน้าตาดี ผมยาวตรงดำขลับเดินลงมาจากรถ พอเห็นผมเดินลงมาจากรถ ก็ยกมือไหว้

    "ขอโทษนะคะ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ไม่ชำนาญเส้นทาง พอ google map บอกให้เลี้ยวขวา ก็พยายามรีบชิดขวาแต่ไม่มีรถคันไหนให้เข้าเลย ถ้าหลุดตรงไปคงจะอีกไกลกว่าจะได้กลับรถ"

    "ไม่เป็นไรครับ วันหลังเปืดไฟเลี้ยวหน่อยสิครับ ปกติใครเปิดไฟกระพริบขอเข้าผมก็จะให้เข้า แต่เมื่อกี้กระชั้นชิดมากแล้วก็ไม่ทันคิดว่าคุณจะเบียดเข้ามา" ความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อกี้หายไปเมื่อได้รับคำขอโทษ

    "ค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ"

    เสร็จแล้วต่างคนก็ต่างไปทำธุระของตัวเอง ผมไปนั่งกินบะหมี่หมูแดงเจ้าโปรด วันนี้ลองใช้ตะเกียบด้วยมือซ้ายดู รู้สึกต้องตั้งใจมีสติในการใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ตลอด เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่กินบะหมี่อย่างช้า ๆ ได้รู้สึกถึงรสชาติในทุก ๆ คำ จนต้องยอมรับกับตัวเองว่าเมื่อก่อนเราจะรู้สึกถึงความอร่อยแค่คำแรก ๆ เท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีสติที่จะรับรสอร่อยในทุก ๆ คำ ที่ผ่านมาพอจะหมดชามก็มัวไปคิดว่าจะสั่งอะไรเป็นชามต่อไป บางครั้งต้องคอยกังวลว่าจะต้องรีบสั่งเพิ่มไหมเพราะคนเริ่มเข้าร้านเยอะ หรือบางทีก็นับคนเข้าร้านพร้อมคำนวณเสร็จสรรพว่าเจ้าของร้านทำรายได้เท่าไหร่ต่อวันทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร พอกินเสร็จก็เดินไปตลาดซื้อกับข้าวร้านประจำไปฝากพี่หนุ่มเย็นนี้
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in