เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จ-สระใอ-ใจWorakhun Boon
ตอนที่ 2 ความกังวล
  • เสียงนํ้าในลำธารไหลประสานกับเสียงนกหลากหลายชนิดร้องในตอนเช้าวันเสาร์ช่างเป็นเสียงจากธรรมชาติที่ไพเราะและหาฟังได้ยากในเมืองหลวง สุดสัปดาห์นี้เป็นช่วงวันหยุดยาวทำให้ผมหนีความวุ่นวายมาอยู่บ้านพักตากอาหาศหลังนี้ นั่งบนศาลาริมตลิ่งอ่านหนังสือเล่มที่ซื้อไว้นานแล้วตั้งแต่งานสัปดาห์หนังสือเมื่อปีก่อน พร้อมกับกล้องดูนกคู่ใจ แม้บรรยากาศจะดูเพลิดเพลิน แต่ในใจกลับเฝ้าครุ่นคิดถึงปัญหาจากงานที่ติดตามมาด้วยแบบไม่ได้ตั้งใจ เหมือนกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เจ้าความคิดนี้นอกจากเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญแล้ว ยังชวนเพื่อนคือความกังวลมาด้วย ทันใดนั้นก็มีเจ้านกจาบคาตัวหนึ่งเข้ามาเกาะตรงกิ่งไผ่ฝั่งตรงข้าม พอสายตาเหลือบไปเห็นเข้า ใจก็ถูกความอยากเข้าครอบงำ อยากรู้ว่าเป็นนกจาบคาชนิดไหน เป็นชนิดที่เราเคยเจอมาแล้วรึเปล่า หรือถ้าเกิดเป็นนกจาบคาเคราน้ำเงินก็ดีเลย เพราะยังไม่เคยเห็นเลย แต่เอ๊ะ! เจ้าความคิดกับความกังวลเมื่อกี้มันหายไปไหนแล้วนะ เหลือแต่ความอยากเห็นที่นั่งแหละอยู่ในใจ ผมไม่ได้ให้ความสนใจกับความคิดและความกังวลที่หายไปเท่าไรนัก เพราะมันก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง เพียงแค่สงสัยเล็กน้อยว่ามันหายไปเพราะอะไรจะได้นำไปใช้เวลาที่อยากจะเลิกใช้ความคิด

    ระหว่างที่สงสัยว่าความกังวลหายไปไหนโดยไม่ร่ำไม่ลาอยู่นั้น มือก็หยิบกล้องส่องนกขึ้นมาดู พอปรับโฟกัสกล้องส่องนก เล็งกล้องจนชัดก็พบว่ามันคือเจ้านกจาบคาเล็กซึ่งเห็นเป็นประจำ ความผิดหวังก็เข้ามาเคาะประตูใจ เป็นผู้มาเยือนอีกรายหนึ่งที่ไม่ได้เชิญมา ไล่เจ้าความอยากออกไปแบบไม่ได้ตั้งตัว

    "คุณจักรคะ พี่หนุ่มแวะมาหาค่ะ" เสียงพี่นวลบอกขณะเอากาแฟร้อนมาเสิร์ฟ ผมสะดุ้งจนความผิดหวังกระเด็นหล่นไปไหนไม่รู้

    "อ้าว! สวัสดีครับพี่หนุ่ม รู้ได้ไงว่าผมมาครับ รับกาแฟสักแก้วนะครับ" ผมหันไปยกนิ้วบอกนวลเป็นสัญญานให้ชงกาแฟมาอีกแก้วนึง

    "ผมได้ยินเสียงรถของจักรแล่นเข้ามาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ๆ แล้ว"

    พี่หนุ่มเป็นเพื่อนบ้านที่ปลูกบ้านอยู่ข้าง ๆ กัน เมื่อก่อนพี่หนุ่มเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง ตอนนี้เกษียณแล้ว ลูกชายก็เรียนจบแล้วพี่หนุ่มกับภรรยาจึงย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นการถาวร เวลามาที่นี่ผมชอบนั่งคุยกับพี่หนุ่มเพราะพี่หนุ่มมีมุมมองที่น่าสนใจหลายเรื่อง

    "หายไปตั้งหลายเดือนเลยนะ" พี่หนุ่มถาม

    "ช่วงนี้งานมันเครียดน่ะครับ เลยต้องมาพักผ่อนชาร์จแบ็ตเตอรี่บ้างครับ"

    "ผมว่างานมันไม่ได้เครียดหรอก งานมันหนัก แต่ใจต่างหากล่ะที่มันเครียดใช่ไหม"
    "แล้วทำไมถึงเครียดล่ะ" พี่หนุ่มถามต่อ

    "มีปัญหาที่หาทางออกไม่ได้ครับพี่หนุ่ม"

    "ไม่มีปัญหาไหนที่ไม่มีทางออกหรอกจักร ทุกปัญหามีทางออกทั้งนั้น เพียงแต่ทางออกนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ หรืออยากได้ต่างหาก"

    "เออ! ก็จริงนะ" ผมคิดในใจ
    "ที่นี่มันเงียบสงบดีครับ มาทีไรก็รู้สึกสบายใจ"

    "แล้วพอสบายใจก็กลับไปทำงานเหมือนเดิม" พี่หนุ่มพูดเหมือนกับจะทำให้ประโยคบอกเล่ากลายเป็นประโยคคำถาม

    ผมจึงตอบกลับไป "ใช่ครับ"

    "แต่มันไม่ได้แก้ปัญหาไม่ใช่เหรอ เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนคุณนี่แหละ แต่ช่วงประมาณสิบปีสุดท้ายก่อนเกษียณผมเริ่มเห็นว่ามันเป็นเหมือนวัฏจักร วนไปไม่จบไม่สิ้น ตอนทำงานผมจะลาพักร้อนปีละ 10 วันไปปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้ความสงบ ได้พักผ่อนจิตใจ แต่พอกลับมาทำงานมันก็วุ่นวายเหมือนเดิม ความสงบ 10 วัน กับความวุ่นวาย 355 วันมันจะสู้กันได้ยังไง พอผมเริ่มคิดอย่างนั้นก็เลยฝึกที่จะลดความวุ่นวายใจในเวลาทำงานลง"

    ผมตั้งใจฟังอย่างสนใจ พี่หนุ่มเห็นผมเงียบแต่ยังฟังอยู่ ก็เล่าต่อว่า

    "ลองค้นหาดูว่าความวุ่นวายใจมาจากไหนบ้าง ส่วนใหญ่ก็มาจากปัญหาทั้งเรื่องลูกน้อง เรื่องลูกค้า เรื่องทะเลาะกันในบริษัท แล้วเราก็พยายามแก้ปัญหาให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการ พอมันไม่เป็นอย่างนั้นก็เครียด ใจก็วุ่นวาย"

    "ใช่เลยครับพี่ แล้วพี่แก้ปัญหาเหล่านั้นยังไงล่ะครับ"

    "บางครั้งผมก็แก้ปัญหาโดยการไม่แก้ปัญหา แต่ใช้การยอมรับมัน เมื่อยอมรับปัญหา ยอมรับสภาพ ปัญหานั้นก็ไม่กลายเป็นปัญหาอีกต่อไป เพียงแต่ทางออกของปัญหามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคาดหวังไว้ พอเรายอมรับได้ความกังวลทั้งหมดก็หายไป"

    นวลเอากาแฟมาเสิร์ฟพิดี "อเมริกาโน่ร้อนเหมือนเดิมนะคะ หนูยังไม้ได้ใส่น้ำตาล คุณหนุ่มเติมเองนะคะ กระปุกน้ำตาลอยู่บนโต๊ะค่ะ"

    "ขอบใจจ้านวล" พี่หนุ่มกล่าวขอบคุณ

    "แล้วจะดีเหรอครับพี่ แก้โดยไม่แก้เนี่ย" ผมกลับเข้าเรื่อง

    "เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหานะจักร ไม่ใช่เรายอมแพ้มันตั้งแต่ยังไม่หาหนทาง แต่เราก็พยายามให้ถึงที่สุด แล้วก็ยอมรับผลมันเท่านั้น เราก็จะคลายความกังวลลงได้เพราะความกังวลส่วนใหญ่เกิดจากความกลัว..กลัวอะไร กลัวจะเสียชื่อเสียง กลัวเสียเงิน กลัวเสียเวลา กลัวเสียของรัก กลัวเสียหน้าที่การงาน กลัวตาย ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ตัวตนของเราทั้งนั้น"

    "ก็จริงนะครับ ถ้าเรายอมรับมัน อย่างที่มันเป็น เราก็จะไม่กังวล"

    "พอเรายอมรับ ใจเราก็จะสงบ อาจจะไม่ได้สงบเหมือนกับการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ หรือการไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมแต่ก็ไม่วุ่นวาย"

    "ผมถามจริง ๆ นะว่า" พี่หนุ่มพูดต่อ "มานั่งริมน้ำจิบกาแฟแบบนี้ ใจสงบหรือเปล่า หรือว่าสงบแต่บรรยากาศภายนอกแต่ใจไม่สงบด้วยเพราะยังคิดเรื่องงานอยู่"

    "โอ้โห! พี่อ่านใจคนอื่นได้ด้วยหรือครับ"

    "ไม่ต้องอ่านใจเป็นหรอก ก็หน้าตาคิ้วขมวดเป็นโบว์ขนาดนั้น ใครเห็นก็เดาได้"

    "มันอดคิดเรื่องงานไม่ได้ครับ" ผมตอบแบบรู้สึกหมดหวัง อุตส่าห์หนีมาพักผ่อนแล้วความกังวลเรื่องงานยังตามมาด้วย ไม่รู้ว่ามันแอบขึ้นรถมาด้วยตอนไหน

    "ความคิดมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ ไปมาไม่บอกกล่าว" พี่หนุ่มตอบเหมือนอ่านใจผมได้อีกแล้ว "เราไปห้ามใจให้ไม่คิดไม่ได้หรอก ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ใจเราคิด แต่เรามักจะเผลอกระโจนเข้าไปช่วยใจมันคิดมากขึ้นต่างหาก เราเข้าไปแต่งเติมเรื่องที่คิดให้มันซับซ้อน ถ้าความคิดเกิดแล้วเราระลึกรู้ทัน ก็ให้พิจารณาว่าเราควรคิดแก้ปัญหาเวลานี้หรือไม่ ปัญหานี้แก้ได้ไหม ถ้าจำเป็นต้องคิดก็คิด แต่คิดแบบยอมรับปัญหา ยอมรับสภาพ ปัญหานั้นก็ไม่กลายเป็นปัญหา ถ้ายังคิดไม่ออกก็พักไว้ก่อน ยังไม่คิด แต่ไม่หนี บอกมันรอเดี๋ยว ขอพักก่อน พอใจเริ่มนิ่งแล้ว เอาปัญหานั้นกลับมาคิดใหม่ ทำจนปัญหานั้นลุล่วงไปจากใจ"

    พี่หนุ่มหยุดดื่มกาแฟสักพักแล้วพูดต่อว่า

    "แต่ถ้าเราพิจารณาแล้วว่ามันยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิด เราก็ดูความคิดที่เกิดขึ้นอยู่ห่าง ๆ ถ้าเราเฝ้าดูความคิดเฉย ๆ ไม่ไปวุ่นวายกับมัน ไม่กระโจนไปแต่งเติม มันก็ไม่วุ่นวาย ดูมันเหมือนกับที่เรานั่งดูวิวริมแม่น้ำอย่างนี้แหละ"

    "ฟังดูง่ายนะครับ"

    "ใช่มันไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายนะ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่เคยฝึก ต้องอาศัยความพยายาม ความตั้งใจ ไม่ย่อท้อ ที่เล่ามานี้ผมใช้เวลาฝึกกว่า 5 ปีเลยนะ" พี่หนุ่มขยายความ

    "ต้องฝึกด้วยเหรอครับ นึกว่าฟังแล้วลองทำตามได้เลย"

    "ก็แล้วแต่คนบางคนฟังแล้วทำตามได้เลย บางคนคุ้นเคยที่จะวุ่นวายกับความคิด พอความคิดเกิดก็เข้าไปคลุกด้วยเป็นอัตโนมัติมาตลอดชีวิตก็ต้องฝึกเยอะหน่อย"

    "ที่ว่าต้องฝึกเนี่ย ฝึกอะไรครับ"

    "ฝึกมี 'สติ' ครับ"
    "ไว้ตอนเที่ยงไปกินข้าวบ้านผมสิ เราจะได้คุยกันต่อ ผมต้องกลับไปกินข้าวเช้าก่อน เดี๋ยวอุ้มจะรอ" พี่หนุ่มหมายถึงภรรยา
    ที่รอกินอาหารเช้าที่บ้าน

    "ได้ครับ ตอนเที่ยงผมเดินไปหาครับ สวัสดีครับพี่หนุ่ม แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ" ผมกล่าวลาด้วยความตื่นเต้นจะได้เรียนรู้สิ่งดีดีจากพี่หนุ่มเพิ่มเติมตอนกลางวันนี้

    "แล้วเจอกัน" พี่หนุ่มกล่าวก่อนเดินจากไป
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in