Author’s Note : ปรากฏว่าตอนนี้แล้วก็ยังไม่จบแงงงง ก่อนอื่นต้องขออภัยจริงๆนะคะ ที่หายไปนานมากแต่คราวนี้เราเขียนจบละค่ะ จะมาทะยอยลงให้จบน้า น่าจะวันสองวันนี้ แล้วถ้าคุยกับโรงพิมพ์เรียบร้อยก็จะมาเปิดฟอร์มให้สั่งพรีออเดอร์กันอีกทีนะคะ โทนเรื่องเป็นช่วงทิ้งท้าย เลยไม่ค่อยหวือหวาเท่าไหร่ ไม่รู้คนอ่านจะคิดยังไงกันบ้างนะ แต่มีคีย์สำคัญที่เราตั้งใจใส่ไว้ ยังไงไว้มา Talk กันอีกทีตอนจบตอนหน้ากันน้า
Pairing : Thor x Loki
Rate : 18+ Explicit จริงๆตอนนี้ก็ไม่หวือหวาเท่าไหร่แต่ด้วยเป็นคนภาษาตรงๆ แปะ 18+ ไว้ละกันน้า
Warning : LGBT , Boy’s Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok
………………………………………………………………..
………………………………………………………………..
ตั้งแต่พวกเขาอพยพขึ้นยานสเตทส์แมนมา ว่าที่กษัตริย์เล่นไม่ยอมกินไม่ยอมนอนจนวัลคิรี่นึกเป็นห่วง บาดแผลทางกายก็เรื่องนึง แต่บาดแผลทางใจสิใหญ่กว่า เพราะแบบนั้นนางถึงดีใจมากตอนที่ได้รับรายงาน ว่ามียานชื่อคอมมอดอร์ส่งสัญญาณติดต่อมาเพื่อขอเทียบจอด
..มันต้องอย่างงี้สิ! ตายยากได้ใจดีจริง.. ใครกันแน่พวก ‘เดนตาย’..
นางนึกพลางลอบยิ้มขณะเดินไปรอต้อนรับผู้มาถึงตรงท่าเทียบยาน หลังส่งสัญญาณอนุมัติการลงจอด
ร่างสูงโปร่งก้าวยาวๆ มาตามทางลาด เท่าที่กวาดตามองจากภายนอก เจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ดปลอดภัยดีไม่มีส่วนไหนบุบสลาย เห็นแบบนั้นวัลคิรี่ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“ยินดีต้อนรับการกลับมานะ”
วัลคิรี่กล่าวต้อนรับ
บุรุษตรงหน้านางเพียงยกมุมปากยิ้มฝืดๆ ตอบรับอย่างเสียไม่ได้ ดูท่าทางจะยังขุ่นเคืองอยู่หน่อยๆ คงเพราะเข้าใจว่าเขาถูกทิ้งอย่างไม่มีใครสนใจใยดีอีกแล้วรึเปล่า
“เฮ้.. ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ข้าควรยุ่ง แต่เชื่อข้าเถอะ การทิ้งเจ้าไว้ที่
ซาคาร์เป็นการเอาแต่ใจตัวที่สุดแล้วของธอร์ในฐานะพี่ชายเจ้า และการต้องทิ้งเจ้าอีกครั้งที่แอสการ์ดในฐานะว่าที่กษัตริย์ทำเขาใจสลาย..”
โลกิยังคงไม่ตอบอะไร เขาเสมองไปทางอื่นแต่สีหน้าคลายลง
“เจ้าควรได้เห็นสภาพเขา.. ตั้งแต่ขึ้นยานลำนี้มาเขายอมกินไม่ยอมนอน.. และข้าเพิ่งจะกล่อมให้เขานอนได้เมื่อกี๊-- นี้เอง”
แน่นอน.. คำว่า ‘กล่อมให้นอน’ ในความหมายของวัลคิรี่ คือการยัดเจ้าเทพตัวหมีเข้าไปในห้องที่มีเตียง พร้อมจัดเหล้าแรงๆ เซ็ตใหญ่ให้ไปด้วยก็แค่นั้น แต่พอเห็นคิ้วของคู่สนทนานางกระตุกกึกทันทีที่นางพูดคำนั้น วัลคิรี่ก็เหมือนจะฉุกคิดขึ้นได้ แต่ดูจะแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว
“ขอโทษที่ต้องขัดคอเจ้านะวัลคิรี่.. แต่ธอร์เป็นพี่ชายข้า เรื่องของเขา ข้ายังต้องให้เจ้าบอกด้วยเหรอ?”
บุตรแห่งลอเฟย์ตวัดหางตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าเชิดรั้นขึ้นนิดอย่างไม่สบอารมณ์นัก
..ปากก็เรียกพี่ชาย แต่ไอ้อาการที่แสดงออกมา.. มันใช่แค่น้องหวงพี่ซะที่ไหน..
วัลคิรี่ทั้งนึกขำ ทั้งหมั่นไส้เจ้าคนปากแข็งตรงหน้า แต่นางทำเพียงไหวไหล่ แล้วหาเรื่องยียวนอีกคนเล่น
“งั้นทางไปห้องพี่ชายเจ้าล่ะ.. ต้องให้ข้าบอกไหม?”
โลกิกัดปาก ก่อนจะบังคับตนเองให้ฝืนปั้นรอยยิ้มตอบรับอย่างเสียไม่ได้ เมื่อโดนย้อนเข้าให้ ขืนทำเชิดหยิ่งใส่ แล้วต้องมาเสียเวลาเดินหาตัวเจ้าพี่ชายทั่วยานมันคงไม่ใช่เรื่องสนุก
วัลคิรี่นึกอยากจะแกล้งเจ้าชายองค์น้อยตรงหน้านางต่ออีกหน่อย แต่พอนึกถึงสภาพเจ้าคนพี่ก็ทำไม่ลง
“ตอนนี้เขาอยู่ในห้องพักกัปตัน.. เจ้าไปดูเองแล้วกัน”
บุตรแห่งลอเฟย์สะบัดหน้าเดินไปทันที ไม่แม้แต่จะกล่าวขอบคุณ ผิดวิสัยเจ้าชายมารยาทงามที่เคยเห็นมา แต่วัลคิรี่ไม่ได้ถือสา นางได้แต่มองตามเทพหนุ่มก้าวยาวๆ ตรงไปทางห้องพักกัปตันและยกยิ้มในใจ
วัลคิรี่เพียงหวังว่าการสูญเสียที่ผ่านมา จะทำให้เจ้าชายทั้งสองแห่ง
แอสการ์ด เปลี่ยนมาซื่อตรงกับหัวใจตนเองได้มากขึ้นก็เท่านั้น เป็นไปได้ก็หวังให้สองพี่น้องได้ปรับความเข้าใจกันดีๆ เสียที
..เอาเข้าจริงไม่มีใครรู้หรอกว่า เวลากว่าห้าพันปีที่ว่าเหลือๆ จะถูกความตายมาลอบขโมยไปเมื่อไหร่..
ในใจนักรบสาวหวนนึกถึงผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมรบ คู่คิด และคนรักที่จากไปของนางอีกครั้ง..
“นั่นเจ้าชายโลกิไม่ใช่รึ?”
เสียงหญิงชรานางหนึ่งเอ่ยทักขึ้น ขัดความคิดวัลคิรี่
“อื้อ! ใช่ ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ”
วัลคิรี่หันกลับมาตอบยิ้มๆ
“น่าแปลกๆ.. พวกท่านไม่ถูกกันหรือ?”
หญิงชรายังคงพึมพำ ดวงตาฝ้าฟางมองตามแผ่นหลังของร่างสูงโปร่งที่เพิ่งเดินจากไปเมื่อครู่
“มีอะไรน่าแปลกเหรอยาย?”
วัลคิรี่เอ่ยถามขึ้น
“อ้อ! คืองี้.. ข้าเคยมีร้านหนังสือเล็กๆ ร้านนึงในเมืองแอสการ์ด ในร้านของข้ามีรูปวาดของนักรบวัลคิรี่ประดับอยู่รูปหนึ่ง สมัยท่านโลกิเล็กๆ ท่านชอบมายืนดูรูปนั้นทีละนานสองนาน.. ท่านเคยชอบและชื่นชมนักรบวัลคิรี่มากๆ เลยนี่นา”
หญิงชรายังคงทำหน้าสงสัย ในขณะที่วัลคิรี่ต้องยกกำปั้นตนขึ้นมาปิดปากกลั้นขำ
“จริงเหรอยาย? เขาอาจจะแค่สนใจเพราะไม่เคยเห็นกองทัพวัลคิรี่ของจริงรึเปล่า?”
“ไม่นะ.. ข้าได้ยินเต็มสองหูเลย สมัยนั้นหูข้ายังดี ยังได้ยินชัดเจนกว่าตอนนี้เยอะ ข้าจำได้ ท่านโลกิเหมือนจะเคยอ่านเกี่ยวกับตำนานของนักรบวัลคิรี่มาบ้างแล้ว เลยเล่าให้เจ้าชายธอร์ผู้เป็นเชษฐาฟังเสียใหญ่โตเป็นคุ้งเป็นแคว”
พูดไปหญิงชราก็ยิ้มไป เมื่อนึกถึงภาพในความทรงจำตอนนั้น
--- ℑ ---
“เทพนักรบวัลคิรี่มีชุดเกราะสีขาว พวกนางแข็งแกร่งมาก”
“แข็งแกร่งกว่าข้ารึเปล่า?”
เจ้าชายองค์พี่ถามขัดขึ้น ในขณะที่องค์น้องทำหน้าหน่าย
“ก็ต้องแข็งแกร่งกว่าสิ พวกนางเป็นนักรบที่ถูกฝึกมาเพื่อเป็นกำลังทัพอันยิ่งใหญ่ของราชบัลลังก์แอสการ์ด ไม่มีภารกิจไหนเลยที่พวกนางทำไม่สำเร็จ”
“ข้าก็ฝึกหนักมากนะ เจ้าก็เห็น ข้าหมายถึง ถ้าเจ้าออกมาดูบ้างเวลาข้าฝึก ไม่ขลุกอยู่แต่ในห้องหนังสือล่ะก็”
“แต่ท่านพี่ไม่มีเปกาซัส! พวกนางออกรบบนหลังเปกาซัส ทำศึกได้ทั้งบนบกและบนฟ้า!”
“กลับไปข้าจะขอให้ท่านพ่อหาเปกาซัสให้สักตัว..”
ธอร์ว่าแล้วก็กอดอกพยักหน้าหงึกหงักเห็นดีเห็นงามกับตัวเอง ในขณะที่เจ้าชายองค์น้องส่ายหน้าอย่างระอาใส่พี่ชาย
“ข้าว่าเรากลับกันดีกว่า..”
ว่าแล้วโลกิก็ตัดบทเดินหนี เพราะอีกคนดูจะไม่อินกับเรื่องที่เขาพยายามเล่าสักเท่าไหร่
“เฮ้! โลกิ! เดี๋ยวสิ รอข้าก่อน! โตขึ้นข้าจะเป็นวัลคิรี่ จะพาเจ้าขี่เปกาซัสออกศึกด้วยกันไง”
“นี่ท่านพี่ไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยใช่ไหม.. ท่านเป็นวัลคิรี่ไม่ได้!! ‘พวกนาง’ เป็นนักรบหญิง!!!”
--- ℑ ---
ดวงตาสีนิลเหลือบมองไปทางห้องพักกัปตัน ที่ตั้งแต่เจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ดหายไปทางนั้น ก็ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตใดๆ กลับออกมาเป็นเวลาพักใหญ่แล้ว
..คงไม่ได้.. เปิดศึกแทงกันตายอยู่ในนั้นหรอกนะ..
นั่นคือสิ่งที่วัลคิรี่คิด
..หรือว่าข้าควรโฉบไปดูสักหน่อย?..
พอคิดจะเดินไปดูเท่านั้นแหละ แอสการ์เดี้ยนนายนึงก็เดินเข้ามาหารือเรื่องแบบแปลนการแก้ไขเก้าอี้กัปตันในห้องควบคุมใหญ่ ซึ่งไฮม์ดัล วัลคิรี่ และคนอื่นๆ อีกหลายคนช่วยกันออกแบบ เพื่อรอเซอไพรซ์กษัตริย์องค์ใหม่แห่งแอสการ์ดพอดี..
ตามมาด้วยแอสการ์เดี้ยนอีกนายที่เข้ามารายงานเรื่องปริมาณน้ำและอาหาร รวมทั้งจำนวนสิ่งของจำเป็นต่างๆ ที่พวกเขาสำรวจมา ตามที่ธอร์ได้ขอไปก่อนหน้านี้
กว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จ นึกขึ้นได้อีกที เวลาก็ผ่านไปนานเท่าใดแล้วไม่รู้ เจ้าชายทั้งสองรึก็ยังคงหายจ้อย นักรบสาวตัดสินใจจะเดินไปดู พอดีกับที่มือของใครคนหนึ่งวางลงบนบ่านาง
“ไฮม์ดัล?!”
ผู้เฝ้าไบฟรอสต์ยิ้มจางๆ ให้นาง ก่อนลดมือลง
“ใกล้ๆ นี้มีดาวเล็กๆ ดวงนึง ที่เราพอจะจอดพักเพื่อเติมเสบียงและน้ำเพิ่มได้ พวกเราในตอนนี้ควรห่วงเรื่องเสบียงกับน้ำดื่ม.. เจ้าคิดว่าไง?”
ดวงตาสีทองทอดมองนาง เขากระแอมนิดๆ ให้คอโล่ง คล้ายยังมีบาง อย่างที่อยากพูด
“ที่ข้ามาถามเจ้าเพราะไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของเจ้าชายทั้งสอง.. พวกเขาเพิ่งจะมีโอกาส.. ได้พัก..”
วัลคิรี่และเทพผู้เฝ้าประตูต่างมองหน้ากัน และเหมือนต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจในสิ่งที่ไม่ต้องพูดออกมา วัลคิรี่หลุดยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้า
“ข้าเห็นด้วย..”
“จริงสิ.. ฮัล์ค..”
“หื้ม? เขาทำไมรึ?”
นักรบสาวเปลี่ยนมาเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“เขาถามข้าเรื่องมิดการ์ด.. พอข้าบอกเขาว่าที่นั่นย่างเข้ากลางฤดูหนาวแล้ว เขาก็เอาแต่พูดเรื่อง ‘คริสต์มาส’..”
“คริสต์มาส?”
วัลคิรี่ถามย้ำพลางขมวดคิ้ว เนื่องด้วยนางไม่รู้จักเจ้าสิ่งที่ว่า
“ข้าว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลว ถ้าจะจัดการอะไรเล็กๆ ให้ทุกคนพอได้ผ่อนคลายบ้าง”
ไฮม์ดัลเปลี่ยนให้สิ่งแปลกใหม่ไม่คุ้นหูนั้นฟังดูเป็นรูปธรรมอันเข้าใจได้สำหรับวัลคิรี่ ก่อนจะหารือกันเรื่องการเตรียมการในรายละเอียด
--- ℑ ---
ปลายนิ้วสวยไล้ลูบไปตามแนวผมสั้นสีทองของบุรุษร่างใหญ่ ซึ่งนอนทอดกายอยู่เคียงข้าง เสียงลมหายใจแผ่วเบาแต่สม่ำเสมอ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของร่างแกร่งเบื้องหน้ากำลังหลับลึกแค่ไหน ร่องรอยแห่งความอ่อนล้าซึ่งเคยหลบซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก ‘รอยยิ้มทึ่มๆ’ ปรากฏให้เห็นเด่นชัด ยามว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่ยังเผลอไผลจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทรารมย์
‘ส่วนที่เจ้าเกลียดที่สุดในตัวพี่ชายบุญธรรมเจ้า?’
‘ผมยาวสีทองนั่น.. ไม่รู้สิ.. ผมทองตาฟ้า เหมือนเจ้าชายที่หลุดมาจากนิทานก่อนนอน’
..เจ้าชายที่ไหน.. นี่มันเจ้าหญิงนิทราชัดๆ..
บุตรแห่งลอเฟย์นึกอยากเปลี่ยนคำตอบเดิมของตัวเขาเองขึ้นมาเลย หลังจากนอนฟังเสียงอันสุขสงบนี้มาได้พักใหญ่ ขณะที่อีกฝ่ายยังดูไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่นแต่อย่างใด
ใบหน้ายามหลับใหลประดุจตายของพี่ชาย เย้ายวนให้โลกินึกอยากทดลองจุมพิตคลายเวทให้เจ้าหญิงนิทราดูสักทีแต่ก็ไม่ได้ทำ อาจเพราะเขาหวนนึกถึงคำบอกเล่าของวัลคิรี่ตอนเจอกันตรงท่าเทียบยานก่อนหน้านี้
..ก็สมควร..
บุตรแห่งลอเฟย์นึกเหน็บเชษฐาตนในใจ
..ใครใช้ให้คนไม่กินไม่นอนมาหลายวัน ลุกขึ้นมาโหมกิจกรรมบนเตียงหนักหน่วงซะขนาดนั้นกันเล่า!..
พอนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา โลกิก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ในใจยังคงสับสน ไม่รู้ว่าเขาควรต้องทำหน้ายังไง ทำตัวยังไงดี ยามที่อีกคนตื่นขึ้นมา..
ขณะที่ใจลอย ดวงตาสีเขียวสวยเลื่อนไปจับบนแพขนตาของคนที่ยังคงพริ้มหลับ ดวงตาสีฟ้าจัดซึ่งเขาชอบมองเป็นพิเศษ ข้างหนึ่งยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้เปลือกตาอันปิดสนิทของพี่ชาย ในขณะที่อีกข้าง.. กลับถูกปิดไว้ด้วยผ้าปิดตาสีดำสนิทแทน.. เห็นเข้าเมื่อใดเขาก็อดใจหายเสียทุกครั้งไม่ได้..
--- ℑ ---
“เวทรักษา?”
ราชินีฟริกก้าแสดงสีพระพักตร์ประหลาดใจ เมื่อเห็นปกตำราเวทในมือบุตรชายคนเล็กของนาง โลกิช้อนตาขึ้นมองสบพระมารดา ก่อนหลุบตากลับลงไปมองหนังสือ เหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด ในการที่เขาจะสนใจอ่านตำราเวทสักเล่ม
“ใช่ท่านแม่ ข้ากำลังศึกษาเวทสายนี้อยู่”
“แม่คิดว่าเจ้าสนใจแต่เวทที่ช่วยให้เจ้าได้เล่นสนุกซุกซนเสียอีก”
ผู้เป็นแม่เอ่ยแซวกลั้วขำ ขณะที่เจ้าชายองค์รองได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
“ข้าเห็นด้วยว่าเวทรักษามันน่าเบื่อ.. แต่เมื่อเทียบกับการทนดูบุตรชายคนโตของท่านงอแงเป็นเด็กๆ เวลาได้รับบาดเจ็บกลับมา ข้ากลับรู้สึกว่าเวทสายนี้น่าสนุกขึ้นมาเลยเชียวล่ะ”
พระนางฟริกก้าลอบยิ้ม นางรู้จักบุตรคนโตของนางดี เวลาได้แผลหรือบาดเจ็บ ธอร์มักจะปากหนักชอบปิดบังไว้ไม่ให้ใครรู้เสมอ เขาไม่ชอบถูกส่งตัวไปหานักเวทเพื่อรักษา และนั่นคือที่มาที่โลกิมองว่าเชษฐาของเขาช่าง ‘งอแง’ นัก
“โลกิ.. แม่รู้ว่าเจ้าห่วงพี่ชาย แต่มีสิ่งที่เจ้าต้องรู้หากคิดจะใช้เวทรักษา..”
ผู้เป็นมารดาลูบผมบุตรชายคนเล็กของนางอย่างอ่อนโยน
“เวทรักษาแตกแขนงมาจากเวทควบคุมเวลา.. มันเป็นการดึงเอาอนาคตอันใกล้ให้กลายมาเป็นปัจจุบัน อาการบาดเจ็บใดที่ไม่มีวันหายได้ในอนาคต ย่อมไม่สามารถรักษาด้วยเวทสายนี้ได้เช่นกัน.. และแน่นอนว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับห้วงเวลาย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ใช้เวทนั้นๆ ไม่มากก็น้อย”
ราชินีฟริกก้าทอดตามองบุตรของนางอย่างห่วงใย
“แม่อยากให้เจ้าจำไว้ว่า.. ทุกสิ่งที่ได้มามีราคาของมันเสมอ.. ถ้าคิดจะใช้ จงใช้มันอย่างระมัดระวังและเท่าที่จำเป็น.. ลูกรัก”
โลกิได้ฟังก็นิ่งไปครู่นึง รับปากมารดาแล้วก็อดถามออกมาไม่ได้
“..ธอร์รู้เรื่องนี้รึเปล่า?”
..หรือว่าที่ไม่ชอบให้ใครรักษา คงไม่ใช่ด้วยเหตุผลโง่ๆ นี่หรอกใช่ไหม..
โลกิมองสบตามารดา และได้คำตอบกลับมาแค่รอยยิ้มจางๆ
--- ℑ ---
ในที่สุดดวงตาสีฟ้าก็เปิดขึ้นมามองโลกรอบข้างอีกครั้งอย่างงัวเงีย พอหันไปเห็นผู้เป็นอนุชานั่งห่อตัวลวกๆ ด้วยผ้าห่มอยู่บนเตียงข้างกายเขา ธอร์ก็คลี่ยิ้มให้
“เจ้าตื่นนานแล้วเหรอ..”
!!!
พอคิดจะยกมือขึ้นเล่นปอยผมของอนุชา เทพแห่งสายฟ้าถึงได้รู้ว่าข้อมือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดด้วยเชือก ขึงพรืดติดไว้กับโครงเสาหัวเตียงเหนือศีรษะ อีกคนคงฉวยโอกาสในระหว่างที่เขาหลับเป็นตาย
ดวงตาสีเขียวสวยเงยขึ้นมองมาทางเขา แต่ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไร
“โลกิ!.. นี่เจ้าทำอะไร! เจ้ามัดข้าทำไม?!”
บุตรแห่งโอดินขมวดคิ้ว เขาลองกระชากข้อมือตนกะระดับความแน่นของเชือกที่มัดไปพลางโวยวายไปพลาง แต่แล้วกลับถูกฝ่ายอนุชาเอ็ดเอา
“ชี่ยยย.. หนวกหูน่าท่านพี่ ท่านอยู่เงียบๆ บ้างไม่เป็นรึไง”
อนุชาตัวดีของเขาขมวดคิ้วมุ่น ทำเหมือนกำลังใช้สมาธิ.. มือข้างหนึ่งของโลกิวางทาบกดอยู่บนแผ่นอกเขา ขณะที่มืออีกข้างหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาโบกชูตรงหน้า ให้เขาได้เห็นมันชัดๆ..
..บางสิ่งที่ดูคุ้นเคย.. บางสิ่งที่ทำเอาเขาชะงัก..
..รีโมทเครื่องคุมประพฤติของซาคาร์..
“โลกิ! เจ้า!!”
เทพเจ้าสายฟ้าคำรามฮึดฮัดลอดไรฟัน แม้ไม่สามารถก้มมองเห็น แต่เขารับรู้ได้ ถึงเจ้าเครื่องปล่อยกระแสไฟฟ้าอันจิ๋ว ซึ่งติดอยู่ตรงด้านข้างลำคอของเขาในตอนนี้ และพิษสงของมันยังคงตราตรึงในความทรงจำ
โลกิหัวเราะเบาๆ เมื่อได้กลับมาเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าอีกครั้ง
“โอ้.. ท่านพี่ยังจำสิ่งนี้ได้สินะ.. แล้วจำได้ไหม ว่าท่านทอดทิ้งข้าไว้บนดาวซาคาร์ในสภาพใด.. คงไม่คิดว่าข้าจะยอมจบเรื่องง่ายๆ โดยไม่เอาคืนหรอกใช่ไหม?”
ธอร์ส่ายหน้าช้าๆ อย่างผิดหวัง อย่างไรเสียอนุชาของเขา ก็ยังคงเป็นเทพจอมเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เพราะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเขาเลยเลือกจะปิดปากเงียบ ยอมปล่อยตัวไหลไปตามแผนการของน้องชาย ให้อีกฝ่ายได้เอาคืนเขาบ้างเป็นการไถ่โทษ
แต่แล้วเจ้าตัวดีดันปีนขึ้นมานั่งคร่อมเอวเขา และใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือรีโมทลูบเฟ้นแผ่นอกเขาจนร้อน แถมไม่ทันไรธอร์ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อปลายนิ้วอนุชาเขี่ยสะกิดปุ่มอกเขาเล่นอย่างหยอกเย้า
แม้จะยังมีผ้าห่มพันร่างกายเปลือยเปล่านั้นไว้ แต่เล่นถึงเนื้อถึงตัวกันในสภาพนี้ รู้บ้างไหมว่าเขาต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหน
..ไอ้เจ้าน้องบ้า!!..
--- ℑ ---
เทพจอมเจ้าเล่ห์ลอบยิ้มบาง เมื่อเห็นเชษฐาปิดปากเงียบ และเอาแต่ส่ายหน้าช้าๆ อย่างผิดหวังในตัวเขา
โลกิฉวยจังหวะที่ธอร์เมินหันหน้าหนีไปทางอื่น ปรายตามองบาดแผลบนอกเชษฐาอีกครั้ง กะคร่าวๆ จากสายตาดูแล้ว เขาน่าจะต้องการเวลาอีกแค่นิดหน่อยบาดแผลนี้ของพี่ชายก็จะหายสนิท ดีที่เขารอบคอบจัดการร่ายเวทมัดพี่ชายไว้เสียตั้งแต่ยังหลับ ขืนปล่อยให้ตื่นขึ้นมาก่อน ถ้าเชษฐารู้เข้า ก็จะมางอแงง้องแง้งไม่ยอมให้เขารักษาอีก
บุตรแห่งลอเฟย์ขยับตัวขึ้นนั่งคร่อมเอวธอร์ จงใจเบี่ยงความสนใจอีกคนไปโฟกัสที่จุดอื่น มือข้างที่ไม่ได้ถือรีโมทลูบเฟ้นกล้ามอกพี่ชาย พลางร่ายเวทรักษาต่อให้เงียบๆ กระทั่งเสร็จเรียบร้อย เขากลับนึกซุกซน ไล้ปลายนิ้วเรียววนเขี่ยปุ่มอกอีกคนเล่นหยอกเย้า
“ท่านทิ้งข้าให้ทรมานกับเจ้าเครื่องนี่.. ปล่อยให้ข้าถูกพวกทหารชั้นเลวของซาคาร์รุมรังแก.. รู้ไหมกว่าจะเจอพวกกร็อก ข้าต้องเจอกับอะไรบ้าง”
แน่ล่ะว่ามันเป็นแค่เรื่องปั้นแต่งเพื่อยั่วแหย่เจ้าพี่ชายหัวร้อน และเป็นการเอาคืนอีกคนไปในตัว
..เขาไม่เคยถอดใจในการรอคอย.. แล้วทีเชษฐาเล่ากลับถอดใจง่ายดายทอดทิ้งเขาไว้ที่ซาคาร์ ยกเขาให้แกรนด์มาสเตอร์.. หน้าที่ ‘ทำให้เขามีความสุข’ คิดจะโยนให้ใครก็โยนรึไง.. ทั้งที่ไม่เคยมาถามไถ่เขาสักคำ..
พอคิดย้อนไปแล้วก็นึกอยากจะเอาคืนขึ้นมาบ้างนิดหน่อยจริงๆ
แต่พอได้เห็นแววตาเจ็บปวดและตกใจของเชษฐา ตอนหันกลับมามองเขา เทพแห่งคำลวงพลันรู้ตัวว่าเขาเผลอเล่นแรงเกินไปเสียแล้ว
“จริงรึเปล่า!?..”
ธอร์เอ่ยถามขัดขึ้นมาแทบจะทันที เส้นเสียงบีบตัวจนน้ำเสียงแปร่งปร่า แม้เจ้าตัวจะพยายามข่มอารมณ์ไว้ แต่ก็ไม่อาจปกปิดได้มิด
“ท่านพี่.. ข้า..”
โลกิเกือบจะสารภาพ แต่ชั่วแวบนึงก็กลับเปลี่ยนใจ ยิ้มบางให้อีกคนแทนคำตอบ
..มันผิดไหม.. ที่เขาดันเผลอดีใจกับการได้เห็นอีกคนหวงแหนและห่วงใยเขาเช่นนี้..
นาทีนั้นเทพแห่งสายฟ้าพลันกระชากข้อมือซึ่งถูกมัดไว้ให้เป็นอิสระ จนเชือกที่ล่ามข้อมือทั้งสองข้างนั้นไว้ขาดสะบั้น โลกิตกใจจนสะดุ้งโหยง แต่ก่อนที่เขาจะลุกหนีได้ทัน นาทีถัดมาร่างเล็กกว่าก็ถูกคว้าต้นแขน จับรั้งให้หล่นกลับลงไปนอนบนเตียงติดกับพี่ชาย และถูกรวบตัวจมหายไปในอ้อมกอดของอีกฝ่ายแล้ว
ธอร์ โอดินซันซุกใบหน้ากดลงบนบ่าน้องชาย อ้อมกอดของผู้เป็นเชษฐากระชับแน่น และแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน จากที่ตกใจในตอนแรก บุตรแห่งลอเฟย์เริ่มค่อยๆ ได้สติ เขายกมือขึ้นกอดตอบพี่ชาย และลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ คล้ายปลอบ คิ้วของเขาตกลู่แต่กระนั้นก็ยังคงพูดต่อ
“มันแตกต่างกันด้วยหรือ?.. ข้าหมายถึง ข้าคิดว่ามันอยู่ในแผนของท่านพี่อยู่แล้วเสียอีก.. ลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นคนโยนข้าทิ้งไว้บนดาวขยะ.. ใครเป็นคนยกข้าให้แกรนด์มาสเตอร์ดูแล.. มันแตกต่างกันตรงไหน ระหว่างตาเฒ่าเจ้าเล่ห์กับทหารเลว จะคนเดียวหรือหลายคน”
โลกิ ลอเฟย์ซันได้ยินเสียงลมหายใจของอีกคนชะงักขาดห้วง แม้รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของอีกคน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะถามต่อ
โลกิเชื่อว่า ธอร์ระแคะระคายเรื่องของเขากับแกรนด์มาสเตอร์อยู่บ้าง ไหนจะร่องรอยหลักฐานมากมายบนตัวเขาในคืนนั้น.. แต่ยิ่งเชษฐาไม่พูด ไม่ถามถึง เขาก็ยิ่งไม่สบายใจ
ไหนๆ ก็ไหนๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็อยากให้ความรู้สึกค้างคานี้จบลง หากอีกฝ่ายจะนึกรังเกียจเขา หรืออยากแกล้งทำเป็นลืมๆ ไม่ต้องการให้เขาพูดถึงมันอีก เขาก็อยากรู้ อยากได้ยินจากปากอีกคนให้ชัดเจน
“ท่านพี่ก็รู้.. ว่าข้ากับแกรนด์มาสเตอร์.. เราแลกสัมผัสทางกายกันเกินกว่าคำว่า ‘สหาย’..”
พูดได้แค่นั้นโลกิ ลอเฟย์ซันก็หยุด แม้จะตัดสินใจแล้ว แต่เทพแห่งคำลวงก็ไม่อาจเรียบเรียงหาคำพูดถามออกไปได้อย่างที่ใจคิด
ธอร์ค่อยคลายวงแขนออก เขาถอนใบหน้าออกมานิดหนึ่ง เพื่อก้มมองสบตาเจ้าของใบหน้าหวาน แต่มองได้ไม่นานคนในอ้อมกอดก็กลับเป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง
“โลกิ.. เราโตมาด้วยกัน.. เจ้าในวันนี้ก็คือเจ้า เจ้าก่อนหน้านี้ก็ยังคงเป็นเจ้า จะเป็นน้องชายข้าคนเดิม เป็นเจ้าตัวแสบสุดๆ หรือน้องชายเฮงซวย.. สำหรับข้ามันไม่แตกต่าง..”
แรกๆ ก็ฟังดูดี แต่ประโยคที่ตามๆ มานี่สิ ทำเอาบุตรแห่งลอเฟย์ขมวดคิ้วร้องเอ๊ะในใจ รู้สึกเหมือนถูกหลอกด่ายังไงชอบกล แต่พอเงยหน้าอ้าปากจะเถียง เชษฐาดันพูดต่อออกมาเสียก่อน
“..ถึงอย่างนั้น.. ตลอดมาไม่เคยมีวันไหนเลยโลกิ ที่ข้าจะหยุดรักเจ้า เพราะทั้งหมดนั่นก็คือเจ้า.. แค่เจ้า.. คนเดียวเท่านั้น ไม่เคยมีใครคนอื่นทดแทนได้”
โลกิหลุบตาหลบดวงตาสีฟ้าจัดที่มองมาที่เขา ในอกร้อนวูบขึ้นมาเช่นเดียวกับใบหน้าจนต้องมุดหลบอีกครั้ง พร้อมยอมสารภาพเสียงอ่อน
“ท่านพี่.. เรื่องทหารพวกนั้น.. ข้าโกหก”
ธอร์ได้ยินก็ระบายลมหายใจออกยาวอย่างโล่งอก
“..ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นอะไร.. ถึงยังไงข้าก็ยังอยากขอโทษเจ้า..”
มือใหญ่ลูบผมด้านหลังน้องชาย และลากมือลงไปถึงแผ่นหลังพร้อมกดจูบลงบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ทำไมถึงไม่ยอมเลิกหลอกข้าเสียที เจ้าน้องตัวแสบ”
“ท่านก็รู้ว่าข้าชอบแกล้งท่าน..”
โลกิลอบยิ้ม
“คราวหลัง.. ถ้าจะหลอกข้าแบบนี้ เจ้าช่วยแทงข้าด้วยมีดแทนได้ไหม..”
ธอร์ โอดินซันหมายความตามที่พูดจริงๆ บาดแผลจากมีดของอนุชา ไม่เคยทำให้เขาเจ็บจนเหมือนตายไปแล้วแบบเมื่อครู่
โลกิถึงกับหลุดขำ เขาเงยหน้าขึ้นยกตัวจูบหอมสันกรามของพี่ชาย แล้วพยักหน้านิดๆ ตอบรับ
“ข้อมือท่าน.. เจ็บรึเปล่า?..”
บุตรแห่งลอเฟย์เอ่ยถาม เมื่อปรายตาเห็นรอยแดงจางๆ บนข้อมืออีกฝ่ายข้างที่ยกขึ้นลูบหัวเขา
“ไม่แล้ว..”
ธอร์ตอบ
“ท่านต้องเลิกทำให้ตัวเองบาดเจ็บเสียที.. เอาแต่ทำอะไรไม่คิดเช่นนี้ ถึงมีเวทรักษา ก็ใช่ว่าข้าจะตามรักษาให้ท่านได้ไหว”
โลกิดุ แต่ไม่เต็มเสียงนัก
“ก็ข้า.. อยากกอดเจ้า..”
เจ้าเทพร่างหมียังคงพยายามเถียงอุบอิบ
“.....”
“.....”
“ท่านพี่..”
“..หื้ม?..”
“..ท่านบอกแค่ ‘อยากกอด’..”
เทพแห่งคำลวงได้แต่ขยับกายยุกยิกในอ้อมกอดอีกฝ่าย เมื่อมือไม้ของพี่ชายเริ่มฟอนเฟ้นไปตามจุดอ่อนไหวของเขา จนร่างกายเริ่มร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกแล้ว
“ข้าบอกเหรอ?.. อา.. น้องชาย.. นั่นมันเรื่องของเมื่อกี๊”
เจ้าพี่ชายยังคงทำไขสือ จนโลกินึกหมั่นไส้ ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ควรได้ชื่อ ‘เทพแห่งคำลวง’ แถมเป็นเทพแห่งคำลวงแบบหน้าด้านๆ เสียด้วย
“ไหนว่าเห็นข้าเป็นมากกว่าน้องชาย?”
คำเรียกแบบเดิมกลับทำให้สับสนอยู่บ้างในความคิดของโลกิ หลังจากที่พวกเขาผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจนถึงตอนนี้
“แน่นอนที่รัก.. เจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของข้า.. รวมทั้ง ‘น้องชาย’..”
ริมฝีปากใต้ไรหนวดยกยิ้มบาง ก่อนเลื่อนเข้ากดประทับจูบตรงซอกคอขาวของอนุชา จากนั้นร่างกายเปลือยเปล่าเรียบลื่นของบุตรแห่งลอเฟย์ก็อาบอิ่มและถูกเติมเต็มด้วยความรักอีกครั้งจากพี่ชาย.. ในทุกๆ ตารางนิ้ว..
..บางทีธอร์ โอดินซัน อาจกำลังตั้งใจตอกย้ำหนักๆ ซ้ำๆ เพื่อให้คนสำคัญที่สุดเพียงคนเดียวของเขาได้มั่นใจ ว่าจะไม่มีวันใดที่เขาปล่อยให้ผู้ได้ชื่อว่าอนุชารู้สึกขาดแคลนความรักได้อีก.. จากนี้และตลอดไป
==TBC.==
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in