เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อิ่มไหนหรือจะเท่า Imperial College LondonYanisa Sunthornyotin
ยูนิคอร์นเลิกนับDayเพราะเดือดมาก
  • รู้จักคำว่า procrastinator กันมั้ย

    Procrastinator (n) : someone who postpones work (especially out of laziness or habitual carelessness)  - WordNet (r) 3.0 (2006)

    หากไร้ซึ่งคำนี้ในชีวิตแล้ว ...ก็คงอาจจะไม่ได้เห็นบันทึกในวันนี้แล้วก็เป็นได้ค่ะ

    ผ่านมา1เทอมในImperial ไวราวกับเปิดวาร์ป อาทิตย์หน้าก็จะถึงอาทิตย์สอบปลายภาคแล้ว

    ว่าแต่ทำไมถึงยังนั่งเขียนDiaryอยู่เหรอ? 
    ....เพราะเป็นอย่างเดียวที่เหลืออยู่ที่ไม่ใช่การอ่านหนังสือสอบยังไงล่ะ

    ให้สรุปการเรียนการใช้ชีวิตในลอนดอน1เดือนที่ผ่านมาก็คงเรียกได้ว่า "ไม่โลดโผนโจนทะยานแต่มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะ" ล่ะมั้งคะ 
    รู้สึกเหมือนอาจจะโตขึ้นในทางความคิดนิดหน่อย? รู้จักความสันโดษและจุดสมดุลของจิตใจมากขึ้น 

    ไหนๆก็ไม่ได้อัพเดตชีวิตนานขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ

    ในที่สุดก็ได้มีเพื่อนใหม่เป็นชาวต่างชาติแล้ว แอบกระซิบว่าแรกๆถึงกับพยายามไม่ตัวติดกับสมาคมคนไทยมากเพราะอยากExplore cultureใหม่ๆ //กลัวหาไม่ได้มากเพราะคนจีนในภาคเกิน60% แต่พอได้เพื่อนใหม่เป็นคนที่นี่จริงๆก็สบายใจขึ้น

    ค้นพบว่าแม้จะเติบโตกันคนละซีกโลก แต่ความเนิร์ดนั้นไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ พวกเราค่อนข้างมี Space ของตัวเองแล้วก็แอบintrovertพอสมควร 

    คำถามคือเพราะอะไรที่ทำให้เนิร์ดแสนintrovertมาสุงสิงและเป็นเพื่อนกันได้น่ะเหรอ?
    ก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องการเรียน

    Reinforcement Learning เป็นคอร์สที่ถูกแนะนำโดยPersonal tutorของพวกเรา หรือ Directorของโปรแกรม MSc HBR เรียนร่วมกับนักเรียนจากDept. Computing บอกตามตรงว่าเป็นคอร์สที่โหดหินมากสำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านCodingมาก่อน (แต่อาจจะไม่หินเท่าBioinformaticsที่เคยเรียนที่Dartmouth) เพื่อนที่เรียนสายBioมาเสียน้ำตาไปหลายหยดเหมือนกัน

    แต่สำหรับใครที่เคยมีพื้นฐานcodingมาก่อน ต้องบอกว่าเป็นคอร์สที่มีเนื้อหาน่าสนใจ เล่าเกี่ยวกับความเป็นมาเป็นไปของRLได้ดี มีการBalanceให้ได้ลงมือทำCoursework มีให้เดินtourตามlabต่างๆ แต่ถ้าถามว่าสอนดีมั้ย? ก็คงบอกได้ว่าไม่ได้ดีเกินมาตรฐาน อาจจะต้องมีการค้นคว้าด้วยตนเองเพิ่มเติมเช่นการไปดูคอร์ส RL ของ Deepmind เพื่อทำความเข้าใจในเชิง Math กับ equation มากขึ้น เพราะบางจุดก็ถูกพูดถึงแบบไม่ละเอียดนัก

    ระดับความยาก coursework แรกค่อนข้างเน้นในการแปลงสมการหรือpseudo codeอิงจากPaper ให้เป็นcodeจริง ซึ่งส่วนตัวก็ถือว่าแปลกใหม่กว่าตอนเรียนป.ตรี 
    เวลาให้คะแนนก็จะเน้นการเขียนreport ซึ่งก็ต้องบอกตามตรงว่าใครที่ยังไม่คุ้นชินกับการเขียน Analysis Reportอาจจะเสียเปรียบกว่าเด็กที่นี่เล็กน้อย

    คิดว่าตัวหลักสูตรของเขาน่าจะปูพื้นฐานเด็กเรื่อง วิธีการคิด การเขียนวิเคราะห์ผลลัพท์มาอย่างละเอียดและตรงจุดกว่าเรา แม้จะเขียน Code ได้แต่ถ้าเก็บรายละเอียดการวิเคราะห์มุมมองต่างๆได้ไม่ครบ ก็มีสิทธิ์ได้คะแนนน้อยกว่าเด็กที่ไม่เคยเขียนcodeด้วยซ้ำ // อย่างเราไงคะ55555 แต่ก็ดีใจที่เราได้มีส่วนช่วยให้เพื่อนในภาคที่ไม่ถนัดเขียนCodeฝ่าฝันมันไปได้ เราจะต้องเป็นครูที่ดีแน่ๆเขาเลยได้คะแนนเยอะกว่าเราอีก TvT แต่หลังจากผ่านcourseworkแรกไปได้ ชิ้นที่สองก็ได้คะแนนเยอะขึ้นแล้วค่ะ คราวนี้พยายามเก็บรายละเอียดเยอะขึ้น จะได้ไม่พลาดเยอะเท่าคร่าวที่แล้ว

    สมกับที่เป็นยูระดับโลกจริงๆ Academicจัดๆ 
    แค่คิดว่าหลักสูตรนี้จะบีบให้เราพัฒนาไปในทิศทางไหนก็อดขนลุกไม่ได้ ฮึบ!

    แม้จะเป็นTop university แต่ถ้าให้กล่าวถึงเรื่องคุณภาพการสอนของอาจารย์ก็คงบอกได้ว่าไม่ได้แบบ...ว้าว วู้ว สอนดีจังเลย อะไรแบบนี้อย่างใครหลายคนคิดไว้ (ปล. เท่าที่ส่วนตัวเจอมา) แต่สิ่งที่ทำให้มหาลัยโดดเด่น น่าจะเป็น resource ของการวิจัยที่ค่อนข้างมีครบ (และร่ำรวย TvT) ทำให้สามารถดึงศักยภาพของนักวิจัยและสนับสนุนการทำการทดลองได้ดีเยี่ยม บวกกับความDiverseของคนที่นี่ที่มีมาจากทั่วทุกมุมโลกซะมากกว่า

    หลายวิชาของที่นี่คาดหวังว่าเราน่าจะมีความรู้พื้นฐานมาก่อนในระดับหนึ่งเพื่อที่จะทำได้ดีมากๆในวิชานั้นๆ เช่น  
    - Robotics: "คุณไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อนหรอกนะ แต่ถ้าจะให้ดีคุณควรต้องรู้เรื่่อง Robot Kinematics/ Dynamics และพอมีประสบการณ์Hand-onsมาบ้าง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์scenarioในโจทย์ได้"
     (คลาสแรกเด็กเข้า 120คน คลาสสุดท้ายเด็กเข้า 20คน) 
    - System Physiology: "คุณไม่ต้องหาอ่านเพิ่มหรอกนะ แต่ถ้าจะให้ดี คุณควรต้องจำความรู้สรีระวิทยาม.ปลายได้บ้าง อ้อ ออกนอกเหนือจากที่สอนเหรอ? แหะๆ แต่curveก็ดูdistributeดีนี่" 
     (เด็กจบเครื่องกล ไฟฟ้า ได้แต่เงยหน้ามองเด็ก Bioengineer ด้านบนอย่างซาบซึ้ง) 
    - RL: "...ไม่มีพื้นฐานคอมเหรอ? อ้าวเหรอ? แย่จังเลยนะ...." (จบการสนทนา)
    (เด็กจบ Bioeng ค่อยๆเฟดตัวหายไปอย่างแนบเนียน เหลือผู้รอดชีวิต60%ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กภาคคอม)

    ดูจากCombinationวิชาเหล่านี้และระดับความคาดหวังที่อาจารย์มีต่อตัวเด็ก คนที่จบด้วยDistinctionนี่ต้องเป็นปีศาจแบบไหนกันนะ

    จากที่เคยได้พูดคุยกับรุ่นพี่ลูกครึ่งอิตาลี่ที่กำลังทำPhDอยู่และจบDistinctionจากโปรแกรมนี้ เราก็ได้รับรู้ในที่สุดว่า ปีศาจที่เหนือกว่าปีศาจ ก็คือปีศาจที่เหมือนมนุษย์ธรรมดา 

    เด็กที่นี่เป็นแบบนั้นกันเกือบหมดเลยค่ะ เป็นปีศาจที่เหมือนมนุษย์ธรรมดา บางคนหัวไวมาก พูดจารู้เรื่อง ดูมีชีวิตไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเก็บตัวเรียนอย่างเดียว (แบบที่ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งเข้าทีม1เป็นตัวแทนแข่งเทนนิสมหาลัยได้) แต่ละคนก็จะมีความ Perfectionistของตัวเองในระดับหนึ่ง

    นึกถึงแล้วก็ขนลุก แต่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ได้กดดัน เหมือนได้เรียนอยู่กับคนประเภทเดียวกันค่ะ 

    เกรดของที่นี่ไม่ได้ตัดcurve แต่ตัดที่70%ถึงจะได้distinction ดังนั้นการแข่งขันก็จะไม่หนักเท่าตอนเรียนที่ไทย เหมือนช่วยกันเรียนมากกว่า (ตอนเรียนที่ไทยนี่เครียดมาก เจอแต่พวกซุ่มอ่านหนังสือ//me ร้องไห้ทุกเทอม) แต่ข้อสอบและweightก็โหดมากจริงๆเพราะหลายวิชาสอบ80-100%

    ตอนที่อยู่ที่นี่ก็ได้มีเวลาตกผลึกหลายๆอย่างเกี่ยวกับระบบAcademicพอสมควร
    พอมาต่อโทก็ตั้งใจว่าจะใจดีกับตัวเองมากขึ้นหน่อย หลังจากไหนๆก็succeedในการต่อTop Uแล้ว ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังDistinctionเพราะไม่น่าจะต่อPhDจนกว่าจะหาเรื่องที่สนใจมากๆจริงๆได้ (ซึ่งด้วยCharacterเราแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีรึเปล่า เป็นพวกอินอะไรได้ไม่นาน บวกกับที่อาชีพในฝันไม่ใช่นักวิจัย เราจะต้องแลกอะไรไปกับเวลา4ปีนั้นในเมื่ออาจจะมีหนทางอื่นที่เหมาะกับเรามากกว่า) 

    เอาเป็นว่า ขอแค่เรียนจบก็พอแล้วค่ะ แหะ

    การเลือกโปรเจคจบ!!!! อันนี้ก็คิดหนักอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกันว่าควรจะที่จะเลือกอันไหน ระหว่างอันที่เราพอจะทำได้แต่มีคนทำเยอะแล้ว กับอันที่เรายังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก ดูเข้าถึงยากแต่น่าจะpotentialสูงมากในอนาคต

    สุดท้ายก็เลือกอันหลังไปค่ะ TvT //หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วววว
    มองว่ามหาลัยน่าจะเป็นที่ที่ถึงเราFailก็น่าจะตกแบบไม่เจ็บตัวมาก ก็เลยเสี่ยงเลือกอันที่อยู่นอกcomfort zoneไปบ้างเผื่อจะได้Returnกลับมาสูง (มั้ง?) เลือกแบบใช้Gut feelingกับความบ้าระห่ำของตัวเองล้วนๆ เพราะหัวข้อ Neurogenome ก็เป็นหัวข้อที่เราตั้งใจจะมาต่อยอดอยู่แล้วถึงได้เลือกมาเรียนสาขานี้ 

    ก็คือใช้gut feelingตั้งแต่สมัยสมัครเข้ามาเรียนป.โทแต่ต้นแล้วนั้นเอง yey!

    นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ก็จะมีการทำงานพิเศษเล็กน้อย 
    เราเลือกไปทำที่ร้านอาหารไทยใกล้ม.เพื่อเอาข้าวฟรี เอ้ย เอาประสบการณ์ 
    ได้ฝึกสมาธิ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและMultitaskingเยอะพอสมควรเลยค่ะ แปลกใหม่ดี 

    เอาล่ะ ต้องกลับไปขยันอ่านหนังสือต่อแล้ว
    ขอตัวก่อนนะค้าบ
















เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in