เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
MDCASSETTEINDIGOCLOSET
Never Seen Anything Quite Like You
  • Title: Never Seen Anything Quite Like You
    Fandom: Sing Street [Ferdia x Mark]
    Author's note: แต่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกค่ะ ขอบคุณที่หลงเข้ามา
    จริงๆ เคยอัพเรื่องนี้ไว้ใน wordpress แล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้แต่งต่อสักที
    ครั้งนี้แวะเอามาอัพในเว็บนี้ด้วย จะพยายามหยิกตัวเองให้แต่งไปเรื่อยๆ จนจบนะ


    ยังไงก็หวังว่าจะรักคาสเซ็ทเทปนี้เหมือนที่เรารักนะคะ

    ป.ล. มันคือ songfic — Never Seen Anything Quite Like You - The Script ค่ะ
    แอบแปะเพลงไว้ให้แล้ว แนะนำให้เปิดเพลงฟังไปด้วยเพื่อความกลมกล่อมนะคะ ..




    • - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    I think I want you more than want

    And no I need you more than need

    I want to hold you more than hold
    When you stood in front of me


    .

    .


    ละอองฝุ่นเล็กๆ กระจายตัวเป็นวงอยู่กลางแสงแดดอ่อนๆ ที่ทอดต่ำลงมากระทบซีกหน้าขาว

    เฟอร์เดียหลับตาลงพลางสูดหายใจรับอากาศเจือกลิ่นหญ้าจางๆ ยามเช้าที่ทำให้สมองปลอดโปร่ง
    หกโมง เป็นเวลาปกติที่เขาตื่นนอน
    เขาลืมตา หลับทันทีเมื่อแสงจ้าทำให้ตาพร่าไป แล้วลืมอีกครั้ง
    เมื่อคืนดูเหมือนฝนจะตก หญ้าในสนามหน้าบ้านถึงดูเหมือนมีใครมารดน้ำทิ้งไว้
    เขาหลับตาลงอีก ตั้งใจจะสูดกลิ่นไอธรรมชาตินี้ให้เต็มที่ก่อนกลับเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องสะดุ้งลืมตาเมื่อได้ยินเสียงแผ่นยางกระทบก้อนกรวด


    เงาร่างที่เลือนอยู่กลางวงล้อมแสงแดดดูราวกับไม่ได้อยู่บนโลกนี้ แต่มาจากอีกโลกหนึ่ง


    "จะไปกันรึยัง"


    มาร์ค แมคเคนน่ายืนอยู่ตรงหน้าประตูไม้โอ็คหนา
    เท้าในรองเท้าบู๊ทสีดำเคาะลงพื้นหินเป็นจังหวะเบาๆ เมื่อเจ้าคนตัวโตยังยืนนิ่งค้างในท่าเปิดประตู
    คิ้วเรียวขมวดมุ่นพร้อมกับตาที่หยีลงจนเกือบปิด เหมือนกับว่าแสงแดดตอนเช้านั้นสว่างเกินไปสำหรับเขา

    สว่างจ้า ..

    แน่ล่ะ สว่างจ้าจนแสบตาเหมือนกับที่คนในช่องประตูมักทำให้เขารู้สึกเสมอ


    มือล้วงลงในกระเป๋าแจ็กเก็ตตัวหลวมซึ่งสวมทับเสื้อยืดสีขาวเนื้อบางแล้วกำไว้
    มาร์คลู่แขนลงนิดๆ เมื่อลมวูบหนึ่งพัดมาให้รู้สึกเย็นต้องผิว
    เจ้าเด็กนี่จะยืนอยู่อย่างนี้อีกนานไหมนะ ถ้านาน เขาจะยกเลิกทุกอย่างของวันนี้แล้วกลับไปนอนต่อ


    เฟอร์เดียมองเพื่อนรุ่นพี่เบ้หน้าเมื่อแสงแดดเปลี่ยนทิศมาสาดกระทบตา
    อาการเบ้หน้าตามมาด้วยการบิดปากหาวเล็กๆ อย่างเกียจคร้าน
    มาร์คไม่ชอบตื่นเช้า เขารู้ดี เขารู้ดีด้วยว่าคนตรงหน้านี้คงมีสติไม่ถึงครึ่งของปกติด้วยซ้ำ

    เฟอร์เดียกระพริบตา ภาพตรงหน้าดูชัดขึ้นอีกหน่อย


    "ฉันขอเวลาห้านาที"


    อีกฝ่ายผงกหัวหนึ่งหงึกทั้งๆ ที่ตายังปิดอยู่


    เขากัดริมฝีปาก กลืนรอยยิ้มที่ชักจะกว้างขึ้นทุกทีลงไปแล้วพุ่งตัวกลับเข้าบ้าน ขึ้นบันไดเร็วซะจนถุงเท้าถูกเสี้ยนไม้ที่บันไดเกี่ยว เฟอร์เดียผลุนผลันเข้าออกห้องสองสามห้องทั้งที่แปรงสีฟันยังคาปาก
    เปลี่ยนเสื้อนอนตัวเก่าเป็นเสื้อยืด แล้วนี่เขาเอายีนส์ไปถอดทิ้งไว้ที่ไหนนะ

    เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วเขาก็เดินโครมครามผ่านโถงทางเข้าบ้านไปคว้าแจ็กเก็ตยีนส์ที่แขวนอยู่ใกล้ๆ กระจกบานไม่ใหญ่นักข้างตู้เก็บรองเท้า

    ห้องโถงเงียบสงัดว่างเปล่า แต่เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเหมือนมีคนมาตบมือข้างหู


    บ้าจริง เฟอร์เดีย ใจเย็นๆ ไว้


    เขาหันไปตั้งสติกับผนัง พยายามไม่นึกถึงภาพรุ่นพี่ที่ยืนรออยู่บนสนามหญ้าหลังบานประตู
    แต่ยิ่งห้าม .. ภาพนั้นกลับยิ่งกระจ่างชัดอยู่หลังเปลือกตา

    อา .. บางทีคนที่ไม่มีสติจริงๆ เช้านี้อาจเป็นเขาเองก็ได้

    เฟอร์เดียสูดหายใจเข้าลึก สวมหมวกปีกกว้างที่มักสวมประจำเวลาออกไปข้างนอก ฉีกยิ้ม แล้วเดินเร็วๆ ไปเปิดประตู


    "นาน"


    เสียงบ่นแว่วมากระทบก่อนได้ทันเห็นตัว


    "นี่ฉันก็รีบมากแล้วนะ ไม่คิดว่านายจะมาเช้าขนาดนี้"


    "ใครบอกฉันล่ะว่าตื่นเช้า"


    "ใครนะ อ้อ จำได้แล้ว ฉันเอง"


    "ไม่ใช่นายหรอก ไอ้เจ้าคอสโม่ต่างหาก"


    "อ้าวเหรอ ถึงว่าล่ะเช้านี้ฉันยังไม่เห็นมันเลย มันแอบไปอยู่กับนายมาสินะ"


    "บ้าเรอะ"


    เฟอร์เดียหัวเราะเมื่อได้รับคำตอบพร้อมการพ่นลมหายใจออกจมูกอย่างคนไม่สบอารมณ์
    มาร์ค แมคเคนน่าเป็นคนน่ารัก เป็นรุ่นพี่ เป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง แต่บทจะกวนก็กวนเหลือเชื่อ


    อ้อ และวันนี้เราก็มีเดทกัน


    อย่างน้อยก็เป็นเดทในความคิดของเฟอร์เดียน่ะนะ


    .

    .



    ร่างสูงเดินนำหน้า มีเสียงฝีเท้าจากบู๊ทหนังตามหลังเป็นจังหวะ

    มาร์คมองแผ่นหลังที่ดูกว้างกว่าเมื่อครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้
    เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเจ้าลูกหมานี่โตขึ้นไวขนาดไหนในช่วงเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอกัน
    เมื่อเดินผ่านสะพานหินเก่า ได้ยินเสียงคลื่นสาดกระทบฝั่ง สายตาเขาก็เพ่งพินิจมากกว่าที่ตั้งใจ 
    เขามองไล่ผ่านลาดไหล่ เอว วกกลับขึ้นไปหาลอนผมสีบรูเน็ตที่ตอนนี้ยาวเลยบ่าลงไปแล้ว
    ดวงตาสีเขียวปนน้ำตาลนั้นนิ่งอยู่ในภวังค์ระหว่างสำรวจคนตรงหน้า และมารู้ตัวอีกทีเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีเทาเหมือนเมฆตอนครึ้มฝนคู่หนึ่ง

    เจ้าลูกหมาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์หันมาฉีกยิ้มให้
    มาร์คขมวดคิ้วนิดๆ ทั้งๆ ที่ความร้อนทำให้ก้าวเท้าผิดจังหวะ


    "นายอยากไปที่ไหนก่อน"


    "ที่ไหนก็ได้" เขาไม่ได้อยากไปที่ไหนเป็นพิเศษอยู่แล้ว ยิ่งเช้าๆ แบบนี้มาร์คยิ่งคิดอะไรไม่ออก


    "งั้นไปเดินตลาดกันเลยไหม นายกินข้าวเช้ารึยัง"


    มาร์คส่ายหัว แน่ล่ะ เขายังไม่ได้กินอาหารเช้า

    ใครจะไปหาเวลากินได้ทัน
    ในเมื่อเขาต้องรีบออกมาหาเฟอร์เดียตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันได้แตะฟ้าดีด้วยซ้ำ
    เมื่อคืนเขานอนหลับไม่สนิทนัก ดังนั้นเช้านี้แค่ลุกออกจากเตียง อาบน้ำแต่งตัวให้ได้ก่อนแปดโมงเช้าก็ยากสำหรับเขาแล้ว

    แค่นี้เจ้าเด็กบ้าน่าจะรู้ แต่ก็ยังถาม


    "ฉันอยากกินอะไรร้อนๆ ตอนนี้หนาวเป็นบ้า"


    เฟอร์เดียยิ้มเมื่อคนผมดำบ่นพร้อมสะบัดหัว

    อากาศตอนเช้าของหน้าร้อนที่มีลมพัดก็ยังเย็นเกินไปสำหรับมาร์ค แมคเคนน่า
    อาจเพราะตอนนี้พวกเขาเดินอยู่บนสะพานโล่งนี้ด้วยนั่นล่ะ
    ลมถึงพัดมาแรงพอให้คนปากหนักได้บ่นหนาว
    เฟอร์เดียเหลือบมองคนที่ยังไม่หยุดกระชับเสื้อแจ็กเก็ตเข้าหาตัว
    ปอยผมยุ่งตกลงปรกหน้าผากแต่เจ้าของมันไม่มีทีท่าจะสนใจ
    วูบหนึ่งเขาอยากเอื้อมมือไปปัดปอยผมนั้นให้ แต่รู้ดีว่ามาร์คต้องตกใจแน่


    "ไปกินเซ็ตอาหารเช้าของลุงเบนสันกัน ฉันไม่ได้กินมันมาสักพักแล้ว โคตรจะคิดถึงไข่คนสูตรพิเศษของตาลุงนั่นเลย นายว่าไหม?"


    "อือหึ... เช้านี้นายพูดมากชะมัด"


    "เดินไปเถอะน่า เอ็ม"


    ดวงตาสีเทาเสมองไปทางตัวบ้านก่ออิฐสีฉูดฉาดระหว่างพูดกลั้วหัวเราะ
    แสงที่เป็นประกายหม่นลงไปแล้ว
    เมื่อเขาหันกลับมายังร่างเล็กที่ออกเดินนำไปร้านประจำก็พบว่าผมสีดำยังตกปรกตา และความปรารถนาที่จะเอื้อมคว้ายังคงอยู่
    ความปรารถนานั้นพุ่งขึ้นในอกรวดเร็วจนเขาต้องรีบซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อยีนส์ กำหมัดแน่นจนเล็บจิกผิว


    ดี อย่างน้อยความเจ็บก็เตือนสติให้ระวัง


    .

    .

    .


    หลังกินมื้อเช้าเสร็จพวกเขามุ่งหน้าไปยังตลาดนัดใจกลางเมือง


    ที่นั่นมีทุกอย่างที่ทุกคนในเมืองมองหา แถมยังมีชีวิตชีวาซะจนเป็นเอกลักษณ์
    ทั้งสองคนเดินเลียบถนนไปเงียบๆ จนกระทั่งพบบางสิ่งสะดุดตาบนทางเท้าไม่ไกล

    เท้าสองคู่หยุดอยู่หน้าแผงพลาสติกติดป้ายขายซีดีเก่า
    มาร์คตาเป็นประกายเหมือนเด็กได้ของเล่น ส่วนเฟอร์เดียมองประกายตานั้นเหมือนลูกหมามองเครื่องบิน


    "แวะดูกันหน่อยเป็นไง"


    คนตัวใหญ่กว่าเอ่ยชวน และแน่นอนมาร์คไม่ปฎิเสธ
    เขาเดินตรงไปหากระบะแรกทางขวามือ ยืนดูอย่างสนใจ
    ผ่านไปสักสองสามนาทีก็เอ่ยปากคุยกับเจ้าของร้านบ้างสองสามคำ

    เฟอร์เดียหยิบซีดีปกเลอะขึ้นมาดูทั้งๆ ที่ใจลอย
    พลิกหน้าพลิกหลังไปมา ทำท่าราวกับกำลังพิจารณาหน้าปกเป็นด่างดวงอย่างสนใจนักหนา 
    เขาจมอยู่กับความคิดฟุ้งซ่าน จนกระทั่งคนที่ยืนอยู่หน้ากระบะซีดีไกลๆ เมื่อกี้มายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้


    "เห้ย นายไปเจอมันที่ไหน"


    "... มันอยู่ในกระบะนี่ .."


    "ขอฉันดูหน่อยซิ"


    คนตื่นเต้นคว้าทั้งแผ่นซีดีทั้งมือคนถือแล้วพลิกดูปกหลังอย่างตั้งใจ


    "อ้อ แผ่นนี้ฉันมีแล้ว .."


    "อ้าวเหรอ .. ฉันยังไม่เคยฟังของวงนี้เลย"


    "เพลงดี นายจะซื้อไหมล่ะ?"


    "ฉันยืมของนายก็ได้มั้ง ยกเว้นว่านายจะขี้เหนียว"


    "ฉันไม่ทำตัวเป็นเด็กน้อยหวงของอย่างนายหรอกเฟิร์ด"


    "หือ .."


    "... จ่ายค่าเช่าฉันต่อวันก็แล้วกัน .. ฉันคิดไม่แพง"


    "โอเคเอ็ม ฉันยอมรับละ .. นายมันโคตรจะเด็กน้อยเลยล่ะ"


    "นี่นายว่าฉันเหรอ?"


    "ก็ใช่สิ"


    "เฟอร์เดีย วอลช์-พีโล!"


    "ว่าไงครับ มาร์ค แมคเคนน่า"


    เราประสานสายตากันอย่างไม่ลดละอยู่เกือบนาที
    เฟอร์เดียนึกแปลกใจที่วันนี้มาร์คต่อปากต่อคำด้วยมากกว่าทุกครั้ง
    เขาเปิดหัวเราะ และได้รับเสียงหัวเราะกลับคืนจากเจ้าของชื่อ ..
    หลังเสียงหัวเราะคือรอยยิ้ม เฟอร์เดียนิ่งมอง .. เพื่อนรุ่นพี่ยิ้มสวยจนเขาเผลอมองตาม
    มาร์คใช้กำปั้นต่อยเข้าที่แขนเขาเบาๆ เมื่อเห็นเขานิ่งไป
    เขาหยอกกลับ และถูกมือเล็กคว้ากำปั้นไว้กลางอากาศ


    ผิวสัมผัสผิวอีกครั้ง เฟอร์เดียชะงัก


    เมื่อมือทั้งคู่เป็นอิสระ เขาซุกมันไว้ในกระเป๋าเสื้อยีนส์ตามเดิม รู้สึกถึงเส้นเลือดที่เต้นตุบอยู่ตรงข้อมือ
    นายไม่ระวัง เฟอร์เดีย  เขาจิกมือแรงพอๆ กับครั้งแรกบนสะพาน


    เมื่อเฟอร์เดียเงียบไปมาร์คก็เลิกสนใจคนตัวสูงข้างๆ เขาหันไปหากระบะซีดีเก่าอย่างสนอกสนใจ
    นี่ล่ะจะเป็นอีกอย่างที่คุ้มค่ากับการยอมตื่นแต่เช้าของเขาในวันนี้
    ซีดีแผ่นที่น่าสนใจอยู่เยื้องไปทางซ้าย มาร์คโน้มตัวเข้าไปอีกนิดเพื่อหยิบซีดีปกสีดำที่ซ่อนอยู่ในแถวสุดท้ายของกล่องกระดาษยับๆ บนกระบะนั่น


    "ฉันอยากได้แผ่นนี้มาตั้งนานแล้ว" มาร์คหันไปโบกแผ่นซีดีใส่หน้าเจ้าลูกหมาตัวโต


    "อือฮึ น่าสนใจ"


    ตอบรับในคอเหมือนตั้งใจฟังทุกคำพูดของคนข้างตัว แต่ความสนใจอยู่ที่อื่น

    กลิ่นบุหรี่จางๆ ผสมบางอย่างที่เฟอร์เดียคิดว่าน่าจะเป็นแชมพูลอยมาแตะจมูก
    เป็นกลิ่นที่เขาได้กลิ่นทุกครั้งเวลาคนตัวเล็กกว่าเข้ามาใกล้
    มาร์คมักมีกลิ่นบุหรี่ในขณะที่เฟอร์เดียมีกลิ่นกาแฟ


    แต่บุหรี่ของมาร์คเจือความหวาน เขามีกลิ่นอย่างนั้นเสมอ


    "เฟิร์ด ขยับหน่อย ขวางทางจริง"


    "โทษที"


    "ไม่ใช่ตรงนั้น นายไปยืนอีกฝั่งสิวะ"


    กลิ่นยังไม่จาง
    ความหวานทำให้นึกถึงวันแรกที่เขาพบคนคนนี้


    เฟอร์เดียจำภาพเพื่อนร่วมชั้นวิ่งพรวดพราดเข้ามาบอกข่าวงานพรอมของรุ่นพี่ปีสุดท้ายได้ติดตา
    งานใหญ่ รุ่นพี่และศิษย์เก่าดังๆ มากันเพียบ บัตรเชิญร่อนทั่วโรงเรียนจนแม้แต่รุ่นน้องอย่างเขายังได้รับเชิญไปร่วมงาน .. เหมือนงานปาร์ตี้มากกว่างานพรอม เฟอร์เดียคิด
    คนในห้องตื่นเต้นกันใหญ่ โดยเฉพาะกับข่าวลือที่ว่าจะมีวงดนตรีจากศิษย์เก่าฝีมือดีเข้ามาเล่นปิดท้ายงาน
    แน่ล่ะเฟอร์เดียไม่สนใจ ถ้าเป็นวงสมัครเล่นที่ไม่ได้เก่งไปกว่าเขา
    แต่เพื่อนๆ ยืนยันว่าวงนี้มีสไตล์ และทุกคนควรไปดูให้รู้ว่ามันดีจริงอย่างใครเขาว่าหรือเปล่า


    คืนวันงานพรอมเบนยืมรถกระบะของพ่อมาจนได้
    ซีตรองสีขาวเงาวับพาพวกเขาถึงโรงเรียนทันเวลาก่อนวงสุดท้ายขึ้นร้องเพลง
    เสียงดนตรีที่แว่วออกมาจากโรงยิมทำให้เฟอร์เดียคิดในใจ ว่าบางทีเขาอาจด่วนตัดสินวงรุ่นพี่นี้เกินไป
    คอร์ดกีต้าร์เจ๋งใช้ได้ และเสียงนักร้องก็แจ๋วพอตัว


    เขาได้พบนักร้องนำคนนั้นหลังงานเลิก
    คอนเสิร์ตเล็กๆ ในงานประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทุกคนพูดถึงแต่วงสุดท้ายที่เล่นดีจนน่าประทับใจ ทำให้ลืมพั๊นซ์จืดๆ กับแซนวิชโรลเย็นชืดที่ถูกกองทิ้งไว้ไปได้บ้าง
    เฟอร์เดียยืนอยู่กับกลุ่มเพื่อนตรงประตูหลังเวที หลีกหนีการปะทะกับฝูงชนที่เมามายแสงสีและเพลงดิสโก้
    วงเพิ่งเก็บของเสร็จและเดินออกมายังรถตู้ที่จอดใกล้ๆ ซีตรองคันเก่าในลานจอดรถแออัด
    แว้บแรกที่เห็นสมาชิกวงเดินออกมาเขาไม่ได้ใส่ใจ จนนักร้องนำเดินตามออกมาเป็นคนสุดท้ายพร้อมกีต้าร์สีฟ้าสดใสและปิ๊กกีต้าร์ในปาก


    ผมดำ ปากแดง
    ผิวเนียนเหมือนผิวเฟอร์เดีย แต่ซีดกว่ามาก


    หลังงานพรอมพวกเขาไปเที่ยวกันต่อ .. ปรากฎว่าเอียนเป็นเพื่อนสนิทของนักร้องนำวงสุดท้ายที่ชื่อออกเสียงสักอย่างคล้ายเดอะเกิร์ลท็อคอะไรนั่น

    และอย่างที่รู้ๆ กัน เฟอร์เดียซี้กับเอียน


    ดังนั้นทุกคนจึงรวมตัวกันไปยังร้านของรุ่นพี่คนหนึ่งที่คล้ายกับเป็นที่ประจำของเหล่านักเรียนโรงเรียนเขา ร้านเป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งสไตล์รัสติกเน้นโทนสีเทาน้ำตาล ไฟในร้านสลัวตามแบบร้านนั่งดื่มทั่วไป
    แน่ล่ะเขายังอายุไม่ถึงยี่สิบ ไม่มีสิทธิแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆ ทั้งสิ้นตามกฎหมายกำหนด
    และเพราะเหตุผลนั่น ตำแหน่งคนผสมเครื่องดื่มจึงตกเป็นของเขา
    (ส่วนเจ้าเบนนั่นไม่นับ เพราะหมอนั่นมันไม่แคร์)
    ขณะที่มือเขาง่วนอยู่กับการผสมเครื่องดื่ม เฟอร์เดียแปลกใจที่พบว่าสายตาของเขามักหยุดลงที่รุ่นพี่ผิวขาวคนนั้น .. บ่อยกว่าที่ควร ..

    แต่มันก็อาจเป็นแค่ความสนใจ เขาชอบความนิ่งนั่น มันก็เท่านั้นเอง


    เมื่อแก้วส่งวนไปถึงครบทุกคน และการสังสรรค์ดำเนินไปได้สักระยะ
    ทุกคนเริ่มแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการก่อนเสียงเพลงเก่าจากยุค 80 จะดังกลบเสียงพูดคุย
    มือกลองผมทองแนะนำตัวกับเขาว่าชื่อแจ็ก หนุ่มแว่นไรอันเล่นตำแหน่งกีต้าร์ในวง ส่วนมือเบสผมหยิกปรกตาบอกให้เรียกเขาว่าโจนาธาน
    เฟอร์เดียพยักหน้ารับทุกคน แต่หูฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จิตใจวนเวียนอยู่กับเนื้อเพลงที่แว่วเข้าหูมากกว่าเสียงหัวเราะครึกโครมรอบตัว
    เขาไม่ได้สนใจฟังรายละเอียดของบทสนทนามากนักจนกระทั่งเงยหน้าสบตากับร่างเล็กที่จมลงไปในโซฟาในท่ามือสองข้างกำแก้วไว้


    "ฉันมาร์ค"


    สั้นๆ และมีเพียงเท่านั้นจากปากอิ่มแดงที่หายกลับเข้าไปอยู่หลังแก้วเหล้า
    ชื่อเพราะ นั่นคือสิ่งแรกที่เขาคิด


    บทสนทนาดำเนินต่อไปอีกหลายชั่วโมง เฟอร์เดียสังเกตได้ว่ามาร์คไม่ค่อยเข้าร่วมวงสนทนามากนัก รุ่นพี่ผมดำมักนั่งมองเพื่อนๆ เฮฮากันซะเป็นส่วนใหญ่ ยิงมุขบ้างประปรายแต่ส่วนมากก็นั่งเงียบเฉย
    บางครั้งมาร์คดูเหม่อมากซะจนเหมือนหลุดออกไปอีกจักรวาลหนึ่งด้วยซ้ำไป จะมีก็แต่รอยวูบไหวในดวงตาสีประหลาดที่ทำให้รู้ว่าบางครั้งเขากลับมา
    นายช่างสังเกตตั้งแต่เมื่อไหร่ เฟอร์เดีย  เฟอร์เดียละสายตาจากลายบนเสื้อเชิ้ตของคนที่นั่งตรงข้ามเขาหลังจากเพิ่งรู้ตัวว่านั่งจ้องมันมาห้านาทีเต็มแล้ว
    และนายเผลอมองอีกครั้ง  อะไรของนายวะเนี่ย เฟอร์เดีย วอลช์-พีโล นายไม่เคยเป็นอย่างนี้


    สองชั่วโมงผ่านไปอีก ไวเหมือนผีเสื้อบินหนีและหยิบเวลาติดปีกไปด้วย


    มาร์คขอตัวออกไปสูบบุหรี่

    เขามองตาม
    แล้วอยู่ๆ เท้าก็ก้าวไป


    เราไม่ได้คุยกันมากนัก แค่ถามไถ่เรื่องทั่วไป อย่างดินฟ้าอากาศ
    แต่มันก็ทำให้เฟอร์เดียได้รู้ว่ามาร์คสูบ Absolute Ruby และไม่ชอบที่เสียงดังๆ


    "ฉันไม่ชอบที่คนเยอะๆ .. เวลาโดนจ้องมามันทำให้อึดอัด ส่วนเสียงดังก็แค่หนวกหู"


    เสียงยังก้องในความทรงจำ
    กลิ่นบุหรี่หวานก็ยังติดตามเขามาจนถึงตอนนี้


    เมื่อกลับมาถึงโต๊ะทุกคนยังเสียงดัง เอียนเริ่มเมา และไอ้เบนดูจะเริ่มนั่งไม่ค่อยตรงที่
    การพูดคุยเปลี่ยนไปเป็นเรื่องสาวๆ ในงานพรอมที่เพิ่งจบไป
    มาร์คเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ของเขาเงียบๆ ส่วนเฟอร์เดียเดินเข้าไปผสมโรงด้วย
    ผ่านไปหลายนาทีพอมีจังหวะเขาก็ปล่อยมุข และนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในวงได้ครื้นเครง
    เฟอร์เดียเผลอปล่อยสายตาตัวเองให้กลับไปยังอีกฟากของโต๊ะอีกครั้ง เพื่อที่จะพบกับรุ่นพี่ผมดำพร้อมรอยยิ้มขำบนริมฝีปากบาง


    ทันใดนั้นก็เหมือนมีเสียง 'ปัง' ดังขึ้นในหัว


    เพราะรอยยิ้มนั้นรอยยิ้มเดียว

    แค่รอยยิ้มเดียวที่ทำให้โลกหยุดหมุนไป


    เฟอร์เดียนั่งตัวแข็งทื่อ หูอื้อและมึนงง ทุกสิ่งรอบตัวชะงักงันแต่บางอย่างกลับกระจ่างชัดจนน่าตกใจ
    เขาปล่อยให้ความรู้สึกคืบคลานขึ้นมา ไม่รู้สาเหตุที่ละสายตาจากเจ้าของรอยยิ้มนั้นไม่ได้
    ความสับสนปะทะเข้ามาด้วย เขากระพริบตา หายใจไม่ถนัดคล้ายมีมือลึกลับยื่นมาปิดทางหายใจไว้
    เสียงปังสะท้อนอยู่ในหัวของเฟอร์เดีย ไล่ความคิดทุกอย่างแตกกระเจิง


    เขานั่งอยู่ตรงนั้น มองรอยยิ้มแสบตาอย่างมึนงงและตะลึงลาน
    หัวใจเต้นรัวจนเฟอร์เดียเจ็บอก เขายกมือลูบหน้าตัวเอง มือสั่น

    ตาคมเหลือบมองคนบนโซฟาสีน้ำตาลอีกครั้ง หน้าขาวกลับไปนิ่งแล้ว แต่รอยยิ้มยังติดตา


    ความรู้สึกนี้คืออะไร เฟอร์เดีย นายอึกอักเหมือนคนโง่

    ใช่ เหมือนคนโง่ที่ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงเมื่อผีเสื้อบินในท้อง
    เหมือนเด็กชายที่เพิ่งเคยเห็นหิมะแรกในต้นฤดูหนาว


    .

    .


    เหมือนเด็กอายุ 16 ที่เพิ่งเคยตกหลุมรักเป็นครั้งแรก



    "เฟิร์ด นายจะซื้ออะไรรึเปล่า"


    "อา .. ไม่ล่ะ ฉันยังไม่อยากได้แผ่นไหนเลย"


    "งั้นฉันไปจ่ายเงินก่อน รออยู่นี่นะ"


    เฟอร์เดียพยักหน้า มองร่างเล็กเดินอย่างอารมณ์ดีไปจ่ายเงินค่าซีดีที่ยืนไล่หามาเกือบครึ่งชั่วโมง

    คืนวันพรอมนั่นเขาจำได้ว่าตัวเองกลับถึงบ้านด้วยสภาพเหมือนคนเมาทั้งที่ไม่ได้แตะเหล้าสักหยด
    และเมื่อตื่นขึ้นในเช้าอีกวัน ก็พบว่าตัวเองลบกลิ่นบุหรี่ปนกลิ่นแชมพู รวมทั้งรอยยิ้มนั้นจากใจไม่ได้เลย


    .

    .


    ถ้าจะให้พูดแล้ว เราไม่ค่อยได้พบกันตามลำพังบ่อยนัก
    ส่วนใหญ่จะได้มาเห็นหน้ากันเมื่อกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่นัดรวมตัวที่ร้านเดิม ... ซึ่งก็ค่อนข้างบ่อยทีเดียว ..
    อัตราความบ่อยของการนัดพบทำให้อัตราความสนิทสนมเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แม้จะยังไม่มากพอให้พูดคุยกันได้โดยที่เฟอร์เดียไม่เคอะเขินหรือตื่นเต้นมือไม้สั่นในช่วงแรกๆ

    จะไม่สั่นได้ยังไงล่ะ ถ้าลองได้โดนมาร์ค แมคเคนน่าจ้องหน้าดูสักครั้ง คุณจะรู้


    เมื่ออยู่ด้วยกันมากเข้า เฟอร์เดียก็เริ่มรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คนตัวเล็กจะง่วง เหม่อ หรือร่วมวงสนทนาอย่างกระตือรือร้น
    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อยู่ดีๆ รุ่นพี่คนนี้ก็ยิงมุขใต้สะดือขึ้นมากลางปล้อง
    หน้านิ่งมองเฉย เล่นเอาทุกคนอึ้งก่อนปล่อยก๊ากเหมือนโดนกดปุ่มระเบิดก๊าสหัวเราะ


    "มาร์คมันกวนตีน"


    เอียนบอกเขากลั้วหัวเราะเมื่อเฟอร์เดียมองร่างเล็กตอนปล่อยมุขตาค้าง


    "... พูดน้อยอย่างนั้นน่ะนะ .."


    "ก็เออสิ แค่ไม่ค่อยมีคนรู้เพราะมันจะไม่พูดมากถ้าไม่สนิทด้วย"


    "งั้นฉันก็ทึกทักเอาได้ว่าตอนนี้เราสนิทกันมากขึ้นแล้ว .. ?"


    "แหง ยิ่งถ้าสนิทกับมันกว่านี้นะ อ้อนเป็นกระต่าย"


    นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ใครต่อใครมักชอบอยู่รายล้อมกายมาร์ค แมคเคนน่า
    เสน่ห์ความลึกลับดึงดูดให้ผู้คนสนใจ เมื่อรู้จักก็พบความน่ารักเป็นส่วนผสม
    แม้หน้าสวยนิ่งและเปิดปากได้นับคำ

    อ้อนเป็นกระต่าย .. เฟอร์เดียก็อยากเห็นเหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไง


    มีบ้างที่พวกเขาบังเอิญเจอกันในร้านหนังสือไม่ไกลจากโรงเรียนของเฟอร์เดีย
    และอีกสี่ห้าครั้งที่บังเอิญเจอกันในร้านกาแฟ หรือร้านขายเครื่องดนตรี
    ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง .. ความบังเอิญนั้นทำให้เขาได้รู้อีกอย่างว่ามาร์คเรียนด้านดนตรี
    แถมยังเป็นนักดนตรีที่เก่งสมคำพูดลือที่ใครๆ เขากระพือกัน
    ความจริงข้อนี้ตอกย้ำชัดตอนที่รุ่นพี่ลีดกีต้าร์ให้ฟังในบ่ายวันหนึ่ง เมื่อพวกเขาบังเอิญเจอกันอีกครั้งในร้านขายเครื่องดนตรีร้านเดิม

    เสียงกีต้าร์เพราะ ..
    แต่ไม่มีอะไรน่าหลงใหลเท่าภาพหนุ่มผมดำก้มหน้าเหนือกีต้าร์ตัวโปร่งกลางแดดจ้าของบ่ายวันอาทิตย์

    นายอาการหนัก เฟอร์เดีย วอลช์ พีโล
    เขาแทบทุบตัวเองเมื่อรู้ว่าสายตาที่จ้องร่างเล็กไปต้องบอกทุกอย่างแน่
    ดีที่มาร์คไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยตลอดการแสดงเล็กๆ นั่น
    หน้าขาวๆ ก้มง่วนอยู่กับกีต้าร์ในมือ สายตาจดจ่ออยู่กับคอร์ดและทำนองที่กำลังบรรจงเล่น

    นายรอดตัวไป เฟอร์เดีย ..


    บทสนทนาก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ เสมอเมื่อพวกเขาใช้เวลาด้วยกัน
    พูดคุย เงียบ เสียงกีต้าร์ พูดคุย เงียบ วนลูป



    I think you know me more than know
    And you see me more than see
    I could die now more than die
    Every time you look at me



    ผลที่ตามมาจากการพูดคุยคือพวกเขาสนิทกันมากขึ้น มาก
    เป็นจริงอย่างเอียนว่า .. มาร์คพูดมากขึ้นเมื่ออยู่กับคนสนิท

    แต่การได้มาเดินตลาดสองคนกับมาร์ค แมคเคนน่าก็ยังเป็นอะไรที่คล้ายกับความฝัน
    แน่ล่ะ ถ้าก่อนหน้านี้มีใครมาบอกเขาว่าจะได้มาเดินซื้อของกับรุ่นพี่ผมดำหน้าสวย
    เขาคงจะหัวเราะใส่หน้า แล้วบอกว่า ไม่มีทางซะล่ะ
    แต่แล้วอยู่ๆ ทางที่ว่าไม่มีแม่งก็ผุดขึ้นมาให้เจ้าลูกหมาเฉยเลย


    คืนหนึ่งเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเฟอร์เดียบ่นพึมเรื่องกระเป๋าเงินใบเก่าเปื่อยจนขาด
    เขาเสนอให้ทุกคนไปเดินเที่ยวตลาดนัดกัน เพื่อที่เขาจะได้มองหากระเป๋าใบใหม่ไปด้วยในตัว

    แต่แผนล่ม


    เอียนไม่ว่าง เบนติดสอบ ส่วนคอร์เนอร์ไม่สบาย
    เขาหันไปหา เอ่ยปากถาม และคนพูดน้อยไม่ปฎิเสธ


    เรานัดกันวันเสาร์ในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า เพราะเฟอร์เดียไม่มีเรียน และมหาวิทยาลัยของมาร์คหยุด
    เดท  คำเรียกที่แค่นึกถึงก็ทำให้รู้สึกจั๊กจี้แถวต้นคอ แต่เขาชอบมัน


    "เฟอร์เดีย มานี่ ร้านนี้น่าสน"


    มาร์คพยักเพยิดไปยังร้านขายเครื่องหนังแฮนด์เมดที่ตั้งอยู่ระหว่างบู๊ทเสื้อผ้ามือสองกับบู๊ทขายไม้อวบน้ำเรียงราย
    สินค้าดูดีทีเดียว แม้ราคาจะสูงจับใจ


    "สลักชื่อฟรีด้วยนะครับถ้าสนใจ" เจ้าของร้านหนุ่มยิ้มให้อย่างใจดี มาร์คยิ้มตอบ แต่เฟอร์เดียหน้าบึ้ง


    "ไม่เอาร้านนี้" เจ้าลูกหมาเดินไปชิดตัว กระซิบบอกพร้อมมือใหญ่ที่ดึงแขนเสื้อแจ็กเก็ตให้ร่างเล็กเดินตาม


    "ทำไมล่ะ นายยังไม่ทันดู"


    "เออน่า ไม่เอา ไปดูร้านอื่น"


    "มาเหอะเฟิร์ด หนังร้านนี้มันสวย ฉันจะช่วยนายเลือกด้วยไง"


    ประโยคเดียวสยบทุกสิ่ง ไม่มีการต่อกรใดๆ อีกทั้งสิ้นหลุดจากปากเด็กชายตัวสูงกว่า
    เฟอร์เดียยอมเดินตามคนตัวขาวต้อยๆ กลับไปดูกระเป๋าที่ร้านเดิม
    ไม่ได้อยากกลับไปหรอก คนขายขี้ม่อ แต่มาร์คบอกจะช่วยเลือกกระเป๋าให้นี่นา ...


    เมื่อใกล้เที่ยงเฟอร์เดียก็ได้กระเป๋าเงินใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้
    กระเป๋าใบใหม่สลักตัวย่อ 'F '  ไว้ข้างหน้า ส่วนมาร์คได้พวงกุญแจหนังสลักอักษรตัว '' จากร้านเดียวกัน

    ตลอดบ่ายพวกเขาไปเดินเล่นในสวน เฟอร์เดียชอบนอนเอนหลังบนเนินสูง แหงนหน้ามองฟ้า ชอบความรู้สึกตอนหญ้าทิ่มผิวผ่านเสื้อ และชอบการได้หันมามองมาร์คงีบหลับใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างกัน


    สงบสุข ไม่มีอะไรสวยงามกว่านี้


    พระอาทิตย์ทิ้งแสงสีส้มอมชมพูไว้ตรงขอบฟ้า
    เย็นมากแล้ว เฟอร์เดียเขย่าปลุกมาร์คตื่น
    พวกเขาไม่ได้แวะทานอาหารเย็น แต่ตรงกลับบ้านในทันที
    มาร์คบอกรุ่นน้องว่า เขาจะไม่กลับดึก เพราะต้องรีบกลับไปให้อาหารกระต่าย ..


    .. ไงล่ะเฟอร์เดีย นายได้เดท แต่อดดินเนอร์ เพราะนายแพ้กระต่าย


    .

    .
    .


    แม่งเอ๊ย กระต่ายเวร ...




    พวกเขาเดินเคียงกันกลับไปตามถนนซึ่งปูด้วยหินแผ่นใหญ่มาหลายชั่วอายุคน
    ฟ้าเริ่มมืดแล้วเมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง ไฟกิ่งถนนสว่างเป็นแถว สะท้อนภาพเงาวูบวาบด้วยแสงสีส้มนวลตา



    Well I’ve seen you in jeans with no make-up on
    And I’ve stood there in awe as your date for the prom
    I’m blessed as a man to have seen you in white



    คืนงานพรอมวันนั้นเขาตกหลุมรักรอยยิ้มของรุ่นพี่หน้านิ่งผมดำ
    และคืนนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขาเดินมาส่งถึงหน้าประตูบ้านของรุ่นพี่คนเดิม ความรู้สึกยังไม่เปลี่ยน
    เขาขยับหัวส่งสัญญาณไปทางประตูว่าถึงบ้านนายแล้ว ถึงเวลาต้องเอ่ยราตรีสวัสดิ์
    มาร์คเพียงยิ้มตอบ ยิ้มที่ตามเขาไปจนถึงในแสงไฟซึ่งทำให้ตาพร่าและความคิดหยุดค้างไป



    But I’ve never seen anything quite like you tonight



    "มองอะไรอยู่ได้"


    "มองกระต่าย"


    "นายมันเพี้ยน วอลช์-พีโล"



    บ้านเรือนมากมายกับถนนสว่างไสวหายไป ทุกสิ่งซึ่งเขารู้จักหายไป
    สิ่งที่คงอยู่มีเพียงเสียงหัวเราะกังวานใสที่ก้องสะท้อนไกลลงไปถึงใจเขา



    No, I’ve never seen anything quite like you



    ท่ามกลางดวงดาวมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา
    เขาเองก็เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดา



    ลมฤดูร้อนพัดมาอีกวูบหนึ่ง พากลิ่นใบไม้แห้งอวลมาด้วยจางๆ
    ใบไม้ร่วงคงใกล้เข้ามาแล้ว เฟอร์เดียมองเจ้าของบ้านที่ยังไม่ยอมเข้าบ้านเสียที
    มาร์คยักคิ้วและทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่เมื่อตาสบกับประกายสีเมฆหม่นตรงหน้าก็เงียบไป

    หมอนี่ทำหน้าเหมือนเด็กหลงทาง ..



    เฟอร์เดียมองร่างเล็กยืนเฉย ผมดำหล่นปรกตาอีกครั้งอย่างที่มันเป็นอยู่ประจำเวลาเจ้าของไม่รู้ตัว
    ก่อนได้ทันคิดอะไรมากกว่า มือใหญ่ก็เอื้อมออกไป หยุดไว้ได้เมื่อห่างแค่ปลายนิ้วสัมผัส
    เฟอร์เดียชะงัก ลดระดับมือลงจากปอยผมสวยคว้าปกเสื้อแจ็กเก็ตสีดำแล้วกระชับให้เข้าหากันแน่นขึ้น
    นายกำลังทำอะไรเฟิร์ด  การยื่นมือเข้าใกล้คนคนนี้เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า


    "พอเริ่มมืดอากาศก็ชักจะเย็นอีกแล้ว เดี๋ยวนายต้องซุกตัวในผ้านวมแน่ เหมือนที่พวกกระต่ายชอบทำ"


    ว่าพลางยกมือทำท่าหูกระต่ายแล้วหัวเราะ หวังว่าคำพูดล้อเล่นจะบังความกลัวในตาเขา
    กลัวว่าเมื่อเขายั้งคิด คนตรงหน้าจะจางหายไปเหมือนควัน


    "งั้น .. ฉันกลับก่อนนะ"


    "ใครรั้งนายไว้ล่ะ"


    คำตอบเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเด็กชายตัวสูง


    "กู้ดไนท์เอ็ม"



    มาร์ค แมคเคนน่ามองเจ้าเด็กที่กำลังหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วกัดริมฝีปาก
    บางสิ่งแล่นผ่านหัวใจเขาตอนคนตรงหน้าเอื้อมมือมาเหมือนจะแตะกันเมื่อครู่
    แล่นผ่านเหมือนทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กัน แต่แน่ล่ะ เขาไม่ปริปากบอก
    มือขาวคว้าหลังเสื้อของรุ่นน้องเมื่อเขาหันหลังทำท่าจะเดินจากไป


    มาร์ค แมคเคนน่า มือไวเท่าใจเสมอ



    เฟอร์เดียหมุนตัวกลับมา สบดวงตาสีเขียวอมน้ำตาลกระจ่างที่ดูเป็นประกายกว่าดาวทุกดวงบนฟ้ารวมกัน



    And your eyes are in your eyes
    And my heart’s in our hearts



    "มีอะไรเหรอ"




    Sometimes words just ain’t enough
    For this love that’s more than love




    เมื่อถามแล้วคนที่ยังจับปลายเสื้อเขาจนยับยู่ก็ยังไม่ตอบจึงได้แต่ยืนค้างอยู่ในท่านั้น
    สักพักมาร์คก็ปล่อยมือ ตบปีกหมวกของคนตัวสูงกว่าที่ทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่เข้าใจ


    "เปล่า กลับไปได้แล้วเจ้าบ้า"



    ว่าแล้วก็เตะปลายรองเท้าบู๊ทเข้าที่หน้าแข้งหนึ่งรอบ แล้วหนีเข้าบ้านปิดประตูใส่หน้าผู้ถูกทำร้ายดังปั้ง




    เฟอร์เดีย วอลช์-พีโล

    เจ้าลูกหมาโง่

    นายมันไม่เคยรู้อะไรเลย



    .

    .




    • - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




    เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย
    หวังว่าจะสนุก และเอ็นดูเดียมาร์คในเรื่องกันนะคะ

    ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ถ้ามีโอกาส


    H.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in