เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
It has everything to do with the rain.pearandfreesia
Chapter VII- My Beautiful Laundrette


  • Johnny: I couldn’t leave him. Not now. Don’t ask me to. You ever touched him?




    My Beautiful Laundrette เป็นหนังในปี 1985 ที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน BFI Top 100 British Films of the 20th Century ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเด็กหนุ่มชาวปากีสถานที่ชื่อว่า โอมาร์ ซึ่งอพยพตามครอบครัวมาอาศัยอยู่ในลอนดอน วันดีคืนดีเขาก็ได้พบกับเพื่อนวัยเด็กอย่าง จอห์นนี่’ อีกครั้ง และโอมาร์ก็ไม่ลังเลที่จะชวนเพื่อนที่ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆให้มาเริ่มต้นอนาคตร้านซักรีดด้วยกัน จากจุดเริ่มต้นของหนังเราคงไม่ทันคิดอะไรจนกระทั่งสองตัวละครหลักจู่โจมจูบกันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


    เรามีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้จากงาน Cinema Diverse ประจำปี 2019 ต้องขอบคุณทั้งคนเลือกหนังและทีมงานที่หาหนังเก่าสามสิบสี่ปีมาฉายได้สำเร็จ แว่วจากคุณคนเลือกหนังมาว่า ณ ขณะที่ดูตอนนี้ ทางผู้กำกับก็ได้นำหนังเรื่องนี้กลับมาทำเป็นละครเวทีจัดแสดงอยู่ที่อังกฤษเช่นเดียวกัน นับว่ายังคงสื่อสาระสำคัญได้อย่างร่วมสมัย

     

    ถามว่าอะไรที่ดึงดูดใจให้เราเลือกไปดู My Beautiful Laundrette ทั้งที่ความรู้เรื่องการเมืองต่ำมากและตัวหนังก็บอกชัดว่าจะผสานแนวความคิดซ้ายจัดและขวาจัดมาขับเคลื่อนทุกตัวละคร ก็คงเป็นชื่อนักแสดงหนึ่งเดียวที่เราคุ้นตาเหลือเกิน

     

    แดเนียล เดย์-ลูอิส (Daniel Day-Lewisในบทจอห์นนี่ 

     

    เรารู้จักแดเนียลครั้งแรกจากบทความที่ยาวเอาเรื่องซึ่งเขียนรีวิวหนังเรื่อง Phantom Thread ของพี่ จำได้ว่าตอนอ่านครั้งแรกเรายังไม่มีโอกาสได้ดูหนังชิงรางวัลเรื่องนี้ แต่เพราะตกหลุมรักสำนวนของคนข้างหลังแป้นพิมพ์ถึงไล่อ่านไปเรื่อยๆ พี่พูดถึงแดเนียลเอาไว้ได้ดีมาก มีรายละเอียดในแบบฉบับที่คนไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลยอย่างเรายังสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ แถมพอได้ดูหนังที่เขาเล่นก็ต้องยอมรับว่าผู้ชายสูงอายุคนนี้มีเสน่ห์และทักษะที่เหนือชั้นน่ายกย่อง

     

    เราเลยไม่พลาดโอกาสที่จะได้สัมผัสกับนักแสดงมากฝีมือคนนี้ในวัยย้อนกลับไปสามสิบกว่าปี อยากรู้ว่าเขาจะเป็นยังไง ทั้งหน้าตาและการแสดง และเพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งเรื่องที่เชื่อมโยงเราไว้กับพี่ เมื่อไม่มีพี่อยู่ตรงนี้แล้วเราก็ทำได้แค่นี้จริงๆ

     

    เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า... เรากลายมาเป็นคนชอบดูหนัง ชอบวิเคราะห์ ชอบเขียนเล่า เพราะอิทธิพลจากพี่หรือเปล่า แต่ก็ได้คำตอบว่ามันไม่ใช่หรอก เราเป็นตัวเราอย่างนี้มานานมากแล้ว แต่พอมีพี่ที่ชอบเหมือนกันแล้วได้ทำอะไรด้วยกันมันแค่มีความสุขกว่า (I have been me long before I met you. But I like me even better when I was with you.) ก็แค่คิดว่าถ้ายังอยู่ด้วยกัน ได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน คงมีคนให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีคนถ่ายทอดความรู้ให้ มีคนกุมมือแล้วก็อาจจะดึงมือเราไปจูบตอนฉากท้ายๆ และคงทำให้หนังที่จบได้อุ่นหัวใจอยู่แล้วมีความทรงจำที่หวานยิ่งขึ้น

     



    ช่วงสนทนาหลังหนังจบมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกระหว่างตัวเอกอย่างโอมาร์กับจอห์นนี่ หนังไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ชัดเจน ในทางกลับกันหนังเกลี่ยทุกประเด็นด้วยน้ำหนักที่เท่ากัน ปล่อยปลายเปิดเอาไว้ให้คนดูค้นหาคำตอบให้กับคำถามที่แต่ละคนเลือกจะตั้งขึ้นมา ผู้ชมคนนั้นถามคลับคล้ายคลับคลาว่า ทำไมจอห์นนี่ถึงเลือกทำงานร้านซักรีดกับโอมาร์ ทั้งที่มีอุปสรรคขัดขวางหลายอย่าง?’ และเราได้ตอบคำถามนี้ในใจด้วยประโยคเปิดของบทนี้ ซึ่งเป็นบทพูดที่จอห์นนี่พูดกับทาเนียซึ่งมาชวนให้เขาหนีไปจากเมืองด้วยกัน

     

    ยังอยู่ด้วยเพราะทิ้งไปไม่ได้ ทิ้งไปไม่ได้ก็เพราะว่าห่วงมาก

     

    หวานแบบห้วนๆ ก็เข้ากับคนดิบๆแบบจอห์นนี่ได้ลงตัวพอดี เป็นตัวละครที่เข้ามาตอกย้ำในความเชื่อที่ว่า ความรักมีพลังมากที่สุดของเราเพราะถ้าไม่รัก จอห์นนี่คงไม่ยอมถูกทำร้ายทั้งจิตใจและร่างกาย ถูกดูถูกเหยียดหยามจากเพื่อนตัวเอง แล้วทำงานให้กับโอมาร์จนสามารถสร้างร้านในฝันได้สำเร็จอย่างที่เห็น

     

    คุณคนเลือกหนังได้บอกอีกในช่วงสนทนาว่า เขาชอบการตัดภาพที่ไม่ได้เนียนลื่นมากของหนังยุค 80 รวมทั้งสีของฟิล์มที่ไม่เหมือนกับในปัจจุบัน นั่นเลยทำให้พิธีกรซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับฟิล์มได้อธิบายว่ามันเกิดจากสารเคมีทำปฏิกิริยา และถึงแม้ว่าจะมีความพยายามทำดิจิตัลเลียนแบบสีฟิล์มมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้เหมือนได้เลยซะทีเดียว

     

    เราติดกับกับคำพูดช่วงนี้เข้าอย่างจัง จนตกผลึกออกมาเป็นประโยคในหัวที่ตัวเราเองค่อนข้างชอบ จะขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน ปฏิกิริยาตามธรรมชาติ ไม่อาจเกิดได้ด้วยความตั้งใจ’ (เรื่อง ว่าด้วยสารเคมีบนแผ่นฟิล์ม)

     

    หนังทิ้งหลายประเด็นไว้ให้เก็บไปคิด ความสัมพันธ์ของสองตัวละครก็เช่นกัน แรงปะทะครั้งสุดท้ายที่จอห์นนี่ต้องเผชิญทำให้เขาเอ่ยปากจะหนีไป แต่ก็โดนโอมาร์ดักทางเอาไว้ว่าเขาหนีมาแล้วตลอดชีวิต และขอให้ครั้งนี้อย่าหนีไปไหน โอมาร์ขอให้จอห์นนี่อยู่ด้วยกัน เป็นการเปิดอกคุยในเวลาที่เหมือนจะไม่เหมาะสมแต่เรากลับมองว่า ถ้าไม่มั่นใจในตัวอีกฝ่ายจริงหรือไม่รู้จักตัวอีกฝ่ายดีคงไม่กล้าพูดแบบนั้น นับเป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่งในความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อนหนังจะจบลง

     

    สุดท้าย เรายิ้มให้กับความเปราะบาง ไม่แน่นอน แต่สวยงาม ของความสัมพันธ์ของพวกเขา

     

    ดูหนังเมื่อไหร่ ก็คิดถึงพี่อยู่ดี.




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in