เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
It has everything to do with the rain.pearandfreesia
CHAPTER VI - Phantom Thread

  • Reynolds: I feel like I have been looking for you for a very long time.

    Alma: You found me. Whatever you do, do it carefully.




    Phantom Thread เป็นหนังชิงรางวัลที่เราพลาดการดูในโรงไปอย่างน่าเสียดาย จะโทษใครก็ยากแม้กระทั่งตัวเองเพราะมองย้อนกลับไปอย่างที่ทำบ่อยช่วงนี้ ก็พบว่าต้นปี 2018 ล้วนเต็มไปด้วยหนังชั้นดีที่ประดังกันเข้ามาจนต้องขีดฆ่าออกจากลิสต์อย่างจำยอมไปหลายชื่อเรื่อง


    จนสุดท้ายกว่าจะได้ดู ก็เพราะอยากเข้าใจใครบางคนที่บอกเรามาว่าเขาอินกับเรื่องนี้อยู่พอตัว หนังบอกเล่าเรื่องราวของเรย์โนลด์ช่างตัดชุดเจ้าของ House of Woodcock กับหญิงสาวแถบชนบทอย่างอัลม่า ความต่างและการฟาดฟันทางความคิดเอ่อล้นจนคนดูแทบกระอัก เราดูจบครั้งแรกแล้วก็ได้แต่ตั้งคำถามว่าความรักจำเป็นต้องอาศัยอำนาจควบคุมมากมายอย่างที่หนังนำเสนอจริงๆหรือ


    เรย์โนลด์เจออัลม่าในร้านอาหารและเขาตกหลุมรักเสน่ห์อันเป็นธรรมชาติของเธอ ก่อนที่เขาจะทนไม่ไหวกับความธรรมชาติเกินไปของเธอที่โต๊ะอาหารเช้า และระเบิดลงใส่กับความต้องการตามธรรมชาติของเธอเมื่อเธอเซอร์ไพรส์มื้ออาหารเย็นให้กับเขา

     

    อัลม่าก็คืออัลม่า เธอคือเธอตามธรรมชาติตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง เพียงแต่เรย์โนลด์ถูกใจเพียงบางอย่างของเธอและดันไปคาดหวังที่จะควบคุมธรรมชาติอื่นของเธอที่เขาไม่ชอบ จึงกลายเป็นเขาที่พาเธอเข้ามาในบ้านเพราะถูกใจและเขาที่ทำราวกับเธอไม่มีตัวตนเมื่อเธออยู่เหนือการควบคุมของเขา

     

    เราเป็นเราตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ อัลม่าสามารถจดจำรายละเอียดอาหารตามที่เรย์โนลด์สั่งได้ในวันแรก เราก็ยังสามารถพูดในสิ่งที่พี่คิดอยู่ในหัวได้อย่างวันแรก และอัลม่าที่ทาขนมปังเสียงดังหรือพยายามจะดูแลเรย์โนลด์ด้วยการเอาชาไปเสิร์ฟและทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดใจกับการมีตัวตนอยู่ของเธอ ก็คงไม่ต่างจากคำพูดบางครั้งของเราเกี่ยวกับขนมหวานหรือวิธีการเล่าเรื่องข้ามบ้างของเราที่พี่มักจะไม่พอใจจนต้องหนีไปอยู่บ่อยๆ


    แต่เพราะคนอย่างเรย์โนลด์และพี่ ศิลปินที่ทุกอย่างตรงหน้าล้วนต้องถูกควบคุมโดยตนเอง เมื่อมีอะไรที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนคิดว่ามันควรจะเป็น ก็มักจะปักใจผลักไสสิ่งนั้นออกไปจากชีวิตโดยไม่สนใจอะไรอื่นเพิ่มเติม

     

    : I cannot begin my day with confrontation. I simply don't have time for confrontation.

    ช่างคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูกพอได้มาฟังเอาตอนนี้ ยกยิ้มมุมปากอย่างเศร้าสร้อยให้กับสีหน้าของโจแอนนาที่คงไม่ต่างจากเรายามถูกบอกว่าดึงบทสนทนาและการทะเลาะให้มันยืดเยื้อ ทุกวันนี้ก็ยังคงพยายามทำให้มันสั้นที่สุด แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอกกล่าวหรือพยายามไปกับเราที่จะตีปัญหาและหาทางแก้ไข มันก็ยากที่จะจบความไม่เข้าใจได้ด้วยความเข้าใจ หรือยิ่งถ้าอีกฝ่ายตอบปัญหาด้วยปัญหามันยิ่งไปกันใหญ่ การที่เรย์โนลด์ไม่ยอมจะพูดคุยอะไรเลยนั้นถือเป็นการปิดกั้นโจแอนนาอย่างถึงที่สุด เธอไม่มีทางรู้ว่าเขาหายเข้าไปคิดอะไรในความเงียบนั้น สิ่งที่เขาคิดมันจริงหรือเท็จแค่ไหน เธอได้รับรู้สุดท้ายแค่เธอต้องออกจากบ้านไปโดยไม่ได้อธิบายหรือพูดคุยแก้ปัญหากับเรย์โนลด์อย่างที่คนสองคนที่หากต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันไว้พึงกระทำ

     

    : Let me drive for you.

    เป็นอีกฉากที่เราเห็นเงาสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนจนอยากจะเป็นอัลม่าที่ค่อยบรรจงลูบกลุ่มผมนั้นเบาๆ เพราะคนอย่างเรย์โนลด์และพี่สร้างกำแพงสูงด้วยเหตุผลที่เราไม่อาจเข้าถึง ทำทุกอย่างด้วยตัวเองและคิดว่าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองจนถึงจุดที่สภาพจิตใจเริ่มประท้วง คนข้างนอกแม้อยากช่วยแค่ไหนก็ยากที่จะก้าวเข้าไปช่วยเพราะมักจะโดนกันออกมาเสมอ แม้กระทั่งคำปลอบโยนที่หวังจะให้กำลังใจก็มีหลายครั้งที่พี่ไม่เปิดรับมันเข้าไปให้ช่วยเยียวยา คำถามอย่าง 'เป็นยังไงบ้าง' ด้วยความห่วงใยหากถามไปยังเรย์โนลด์ไม่ถูกจังหวะแล้วก็ไม่ต่างจากเดินไปชนกำแพงและผงะล้มลงไปเอง อัลม่าอธิบายวิถีชีวิตของเรย์โนลด์ที่ทำให้เขารู้สึกไปเองว่าตนโดดเดี่ยวและต้องสาปภายใน 'กฎเกณฑ์ กำแพงและประตู ที่เขาสร้างขึ้นเอง (Your rules. Your walls. Your doors.)’ ก็หากคุณมีสิ่งเหล่านี้อยู่รอบตัวเต็มไปหมดเลย ใครเลยจะเข้าถึงได้ถ้าไม่ใช้ความพยายามในการพังมันเข้าไปจนเจ็บตัวเต็มไปหมดอย่างเช่นที่อัลม่าทำ


    แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าศิลปินมีความผิดที่ปิดกั้นและบงการ เพราะนั่นคือตัวเขาอย่างที่เขาเป็น คุณไม่อาจเลือกจะรักเพียงผลงานชุดราตรีที่สวยหรูแต่ปฏิเสธที่จะดำรงชีวิตอยู่ในความอึดอัดหากแต่โกลาหลในระหว่างตัดเย็บได้ ดังนั้นหากได้เผลอรักศิลปินเข้าให้ ก็ทำได้แค่อดทนเท่านั้น.




    : If it's my life that you're describing, it's entirely up to you whether you choose to share it or not. 

    ประโยคแสนสุภาพที่คมกริบยิ่งกว่ามีดผ่าตัดเมื่ออัลม่าเหยียบล้ำเส้นเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่เธอได้กลับมาจึงเป็นการขับไล่ที่แม้จะนุ่มนวลแต่ก็ไม่ไยดี เราพยายามทำความเข้าใจทั้งเรย์โนลด์เองที่ก็พูดไม่ผิดว่ามันเป็นการตัดสินใจของอัลม่าที่จะทนอยู่หรือจะไป และพยายามเข้าใจอัลม่าที่เธอทนเพราะความรักซึ่งไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าทน คลับคล้ายจะเป็นการพยายามปรับตัวหาทางอยู่กับศิลปินผู้ผูกเส้นด้ายรัดรอบหัวใจเธอเสียมากกว่า นั่นจึงนำมาซึ่งการหาทางให้เรย์โนลด์อ่อนแอลงและเปิดรับเธอเข้าไปในโลกของเขาอีกครั้ง สำหรับเราและอัลม่าการนั่งอยู่ตรงนั้นและรับคำพูดประโยคนี้มา คือความตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะอยู่ในชีวิตที่ยุ่งเหยิงราวกับเส้นด้ายเย็บซ่อนใต้เสื้อผ้าชุดสวยนี้ และไม่ว่าอีกฝ่ายจะออกปากไล่เช่นไรคำตอบก็คงยากที่จะเปลี่ยนไปจากเดิม


    : I can't work. I can't concentrate. I have no confidence. She doesn't fit in this house. Her arrival has cast a very long shadow.

    เจ็บปวดเกินไป... เมื่อการรักใครสักคนในแบบของเรากลายไปเป็นเงามืดในชีวิตเขาจนทุกอย่างของเขาพังลง เพียงการมีตัวตนเลือดเนื้ออย่างเงียบเชียบก็ทำให้เขาขุ่นมัวจนทนไม่ได้ อัลม่าแค่ยืนอยู่ไกลออกไปในมุมหลบของสายตา รอคอยอย่างมีความหวัง แต่สมองของเรย์โนลด์กลับปั่นป่วน เล่นกล และประมวนผลเพียงลำพัง จนนำมาซึ่งประโยคเจ็บแสบยืดยาวถึงหญิงสาวที่เขากล่าวหาว่ามีจริตรบกวนใจ โดยหลงลืมไปว่าจริตนั้นคือสิ่งที่เขาเคยหลงใหลเมื่อครั้งหนึ่งและยังหลงใหลอยู่ หลงลืมไปว่าหญิงสาวที่เขากล่าวถึงคือคนที่มองทะลุเข้าไปถึงข้างในของเขา คือคนที่ชื่นชมทั้งด้านสวยงามและด้านน่ากลัวของเขา คือคนที่บูชาผลงานตัดเย็บของเขาจนดึงเขาออกมาทำอะไรที่ตัวเขาไม่มีวันจะกล้าทำทั้งที่หวงแหนผลงานตัวเองหนักหนา คำกล่าวว่าเธอไม่เหมาะกับบ้านหลังนั้นถูกพิสูจน์ในท้ายที่สุดว่ามีเพียงเธอเท่านั้นที่เหมาะสมพอจะดูแลบ้านของเขา (And I take care of your dresses. Keeping them from dust, ghosts and time.)


    เพราะเชื่อว่าความรักคือคำสาป เรย์โนลด์จึงไม่ยอมให้ความรู้สึกของตนถูกเปลี่ยนไปเป็นความรัก ยิ่งเมื่อสิ่งที่มีชื่อเรียกนี้เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตประจำวันของเขาที่เคยสงบเงียบเหมือนทะเลสาปน้ำนิ่งกลายไปเป็นมหาสมุทรที่สวยงามในบางวันและเต็มไปด้วยคลื่นลมในบางที เรย์โนลด์ยิ่งปฏิเสธที่จะยอมรับว่าตนรู้สึกเช่นไร ปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคำสาปที่ทุกคนล้วนต้องสาปนี้

    ...ทำให้คนอย่างอัลม่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เขายอมฟังความต้องการของหัวใจและรับรู้ถึงตัวตนของเธอ

    ...ทำให้คนอย่างเราต้องตัดสินใจวางเดิมพันบนความเจ็บปวด เรียกร้องให้พี่ยอมรับว่ารักและยังต้องการเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง หรือต้องการให้เราเป็นเพียงวิญญาณอยู่ในโลกอันเงียบเชียบกันแน่

     

    อัลม่านั้นราวกับสัมผัสได้ตั้งแต่ต้นว่าภายใต้ความอ่อนโยนของเรย์โนลด์เมื่อแรกเจอ แท้จริงซ่อนเข็มปลายแหลมเอาไว้หลายเล่มเป็นทั้งเกราะป้องกันตัวและอาวุธโจมตี เธอสัมผัสได้เบาบางว่าความสัมพันธ์นี้อาจไม่ราบรื่นหรือปกติอย่างเช่นความสัมพันธ์ของคนทั่วไป เธอจึงเอ่ยปากกล่าวประโยคเปิดของบทนี้ เป็นทั้งการร้องขอ เว้าวอน และตักเตือน ชายหนุ่มที่ดึงมือเธอไปเกาะกุมเอาไว้ให้รอบคอบและคิดถึงเธอในทุกการเคลื่อนไหวนับจากนี้ เพราะเรย์โนลด์เจอเธอแล้ว เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป

     

    สุดท้ายที่อยากกล่าว หากเราเองต้องสาปให้ความรักคือการที่ทุกคนจากลา และหากพี่ต้องสาปให้ความรักคือการยืนอยู่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยว ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเราลองหยุดความเคลื่อนไหวมาฟังเสียงหัวใจที่แม้จะอ่อนแอแต่จริงแท้ที่สุดดูจะดีไหม (You need to settle down a little.สวมเสื้อผ้าที่เลือกสรรแล้วอย่างประณีต เย็บความลับที่ราวกับความปรารถนาสูงสุดซ่อนลงไปในตะเข็บริบขอบของหัวใจ 'ขออย่าให้เจ็บปวดเพราะความรักอีกเลย (Never Cursed)'



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in