เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Reveal / ReviewK. W.
Movie Review: Call Me by Your Name (2017)

  • หลบกระแส Star Wars แบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะได้ยินกิตติศัพท์ของหนังเรื่องนี้มานานแล้วว่ามีเสียงชื่นชมอื้ออึงจากเทศกาลหนังตั้งแต่ต้นปีจากผู้กำกับอย่าง Luca Guadagnino ที่มีผลงานสวยงามสุดพลังอย่าง I am Love และ A Bigger Splash ที่ทำให้ใครหลายคนต้องตกหลุมรัก รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย ไม่รอช้าก่อนหนังจะมาฉายก็ตัดสินใจไปถอยนิยายเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษออกมาอ่าน มันมีความสวยงามในการบรรยาย ลุ่มลึกและเร่าร้อน เต็มไปด้วยความปรารถนาที่ซ่อนเร้นพุ่งออกมาทะลุหน้ากระดาษ ก็เลยตัดสินใจไปดูในวันแรกและรอบแรกๆ ที่ฉายเสียเลย จะได้สิ้นข้อสงสัยว่าสมกับการที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งไหม



    พอดูจบ หนังเรื่องนี้ก็เข้าป้ายเป็นที่หนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย เพราะเพียงแค่เป็นพยานเฝ้าดูความรักของคนสองคนนี้ ได้หัวเราะและร้องไห้กับคนสองคนนี้ก็อบอุ่นหัวใจมากแล้ว

    มันคือความรักในหน้าร้อนของชายสองคน คนหนึ่งอยู่ในวัยร้อนรนค้นหารัก อีกคนคือวัยผู้ใหญ่ที่ค้นหาปริศนาความรักที่ซ่อนเร้นหลืบอยู่ภายในใจ ท่ามกลางบรรยายอันสงบงาม เรียบนิ่ง แต่แอบซ่อนแรงปรารถนาและอารมณ์ที่ดำดิ่งเกินจะหยั่งถึง เกิดเป็นความรักอันสวยงาม ตลกขบขัน แต่ก็เศร้าสร้อยและทิ้งร่องรอยคววามทรงจำทั้งที่หวานฉ่ำและขมขื่นเอาไว้ด้วยกัน เมื่อหน้าร้อนไม่อาจคงอยู่ตลอดไป ความรักของคนสองคนก็ไม่อาจอยู่ได้อย่างยืนยงเฉกกัน

    เป็นสัมผัสอันแผ่วเบาเหมือนสายลมอันสดชื่นแต่ก็ทรงพลังราวกับจะซัดเราให้ล้มลงเมื่อเราอ่อนแอ หวานหอมแต่ก็เข้มข้นไปด้วยความร้อนแรงเหมือนเหล้าอันหอมหวาน มันทำให้เรานึกถึงความรักครั้งแรกหรือความรักที่ใครหลายคนแอบซ่อนเอาไว้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่งดงามมากพอที่จดจำไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าจะได้พบเจอกันอีกครั้งหรือไม่ก็ตาม


    ชอบ

    1. บทภาพยนตร์ - เรียบนิ่ง น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ กัวดาญิโน่ คนเขียนบทคือ James Ivory ซึ่งถ้าใครเคยดูหนัง Merchant & Ivory มันก็มาแนวๆ เรียบๆ เงียบๆ แต่มีอะไรกินใจประมาณนี้แหละ (ย้อนไปงานคลาสสิคก็โน่นเลยฮะ A Room with a View, Howard's Ends หรือแม้กระทั่ง The Remains of the Day) แต่ว่ามันมากับความเรโทรในแบบยุค 80 ไดอะล็อกดีงามมากเพราะต้นทางนิยายก็ดีงามมากและจับใจมาก ภาษาของ Andre Aciman คนเขียนเรื่ิองนี้คือดีสุด เป็นการเขียนที่ร้อยเรียงเอา metaphor และการเปรียบเปรยในรูปแบบต่างๆ มาร้อยเรียงด้วยภาษาที่สวยมากจนเราเองก็แปลลำบากมากในหลายบริบท ไดอะล็อคหมัดฮุคของพ่อของเอลิโอในตอนท้ายคือน็อคเราตั้งแต่ตอนอ่านนิยายแล้วก็มาน็อคอีกทีตอนดูหนัง

    "We rip out so much of ourselves to be cured of things faster than we should that we go bankrupt by the age of thirty and have less to offer each time we start with someone new. But to feel nothing so as not to feel anything - what a waste!"

    (กระซิบว่าหนังใจดีกับตัวละครมากกว่านิยายละนะ 555)

    อ่านจบแล้วก็ถึงเจ็บจุกถ้าคุณเป็นคนวัยเข้าสามสิบที่เริ่มจะ feel nothing แล้ว เมื่อความรักที่ผ่านมาในชีวิตทำให้คุณด้านชาเพราะพยายามจะลืมความหลังอันแสนหอมหวานและเจ็บปวด

    2. ผู้กำกับ - พล็อตเรื่อง 18+ แบบนี้ถ้าไปอยู่ในมือคนอื่นอาจกลายเป็นหนังดาดๆ เรื่อยไปจนเป็นพล็อตหนังโป๊ไปเลย แต่กัวดาญีโน่เล่าเรื่องแบบ restraint มากๆ ถ้าอ่านนิยายเอลิโอที่เป็นคนเล่าคือถ้าทำออกไม่ดีนี่เอลิโอดูเป็นตุ๊ดมโนเลยนะฮะ ไปเรื่อยเลย ดูหมกมุ่นกับโอลิเวอร์จนถึงขนาดอยากฆ่าเขาเก็บไว้เป็นของตัวเองคนเดียว (วัยฮอร์โมนจริงๆ) แต่ทุกอย่างที่ล้นเกินไปกัวดาญิโน่ทอนลงหมด มันเลยดูเหมือนมี tension อยู่ตลอดเวลา จะระเบิดๆ ก็ไม่ระเบิด พอระเบิดแล้วก็เหมือนยังระเบิดไม่หมด 

    เราชอบตรงความที่มันไม่บอกอะไรตรงๆ ความ subtle ที่จะต้องตีความเยอะๆ เหมือนกับงานคลาสสิคที่พ่อของเอลิโอ เอลิโอ และโอลิเวอร์ต่างก็คุ้นเคยกันดีตามประสาแวดวงวิชาการ นอกจากนี้การไม่เล่าอะไรตรงๆ แล้วเน้นการกระทำพร้อมกับบทสนทนาอันน้อยนิดมันยิ่งทำให้การเฝ้าดูความรักของคนสองคนมันยิ่งขับเน้นถึงพลังมากขึ้นไปอีก แม้กระทั่งฉากที่แสดงความรักมันก็น้อยแสนน้อยแต่มันก็สามารถทำให้จินตนาการของเราล่องลอยไปได้ไกลแสนไกล (ฉาก "You know what things" คือความสวยงามแบบน้อยๆ แต่ได้มากโดยแท้) 

    และที่สำคัญคือใช้ฉากอิตาลีได้คุ้มค่ามาก สงบงามและชวนฝันสมกับเป็นเรื่องรักจริงๆ

    3. Timothee Chalamet และ Armie Hammer (+Micheal Stuhlbarg) - จะต้องพูดอะไรอีก คนแรกให้การแสดงที่ทรงพลังในบทวัยรุ่นที่เพิ่งจะเรียนรู้ความรักทั้งในด้านสวยงามและความเจ็บปวด เป็นวัยรุ่นเลือดร้อนที่โหยหาความรักและแรงปรารถนาแต่จะเล่นให้ล้นจนดูเป็นเกย์ร่านก็ไม่ได้เพราะมันจะออกทะเลไปไกล ซีนสุดท้ายที่อยู่หน้าเตาผิงพร้อมกับขึ้นเครดิตจบ เป็นซีนที่ทรงพลังมาก ไม่มีบทพูดเลยจนกระทั่งจบฉาก แต่สีหน้า แววตา ท่าทาง ภาษากาย มันบ่งบอกและสรุปความสัมพันธ์ของเอลิโอและโอลิเวอร์ทุกอย่างไว้หมดแล้ว เมื่อบวกกับเพลงสุดท้ายในตอนจบ โอ๊ย ร้องไห้ไปอีกกกกก ส่วนคนหลังที่มาในบทโอลิเวอร์ นอกจากหุ่นที่ใช้ได้แล้ว (นี่ชอบมาตั้งแต่ The Social Networks แล้วไง 555) ก็ยังมีเคมีที่เข้ากับน้องทิโมธีมากๆ อาจจะไม่ได้เด่นเด้งมากเมื่อเทียบกับบทเอลิโอของน้อง แต่เมื่อคนสองคนนี้รักกัน เราเชื่อว่าเขาตกหลุมรักกันจริงๆ ส่วนคนที่เพิ่มมา มาน้อย แต่ฉากเดียวที่ปล่อยของ ปล่อยของสุดพลังจริงๆ ขอให้ไปชม

    4. เพลงประกอบ - ดีทุกเพลง สวยงามทุกเพลง มันคือความโหยหายุค 80 แบบที่เราเคยคิดฝัน เพลงป๊อปซินธ์กระป๋องๆ ที่ดูเหมือนจะ cheap และเสพง่ายกลับเป็นความงดงามของความทรงจำ อย่างเพลง Love My Way ของ Psychedellic Furs ที่อยู่ในฉากเต้นก็เป็นเพลงที่ชอบมากๆ ไปแล้วแม้ว่าจะเกิดไม่ทันก็ตาม 



    แถมยังมีเพลงประกอบสองเพลงหลักจาก Sufjan Stevens ที่เนื้อเพลงสวยงามกินใจก็ทำให้เราต้องเช็ดน้ำตาเงียบๆ ฮะ 

    โดยเฉพาะเพลง Vision of Gideon มันคือความรันทดแต่งดงามจนหยดสุดท้ายจริงๆ



    5. Italy! - ฉากสวยงาม ดูแล้วอยากไปเลย คือมันสวยจริงๆ สวยแบบแทบลืมหายใจ ดูแล้วอยากไป Crema ไปเดินชิวๆ ท่ามกลางแสงแดดในหน้าร้อนแบบนั้นบ้าง

    ให้ไปเลยที่ 9.5/10

    ไปดูเถอะ ใครก็ดูได้ อาจไปดูยากสักนิดเพราะมีแค่ House ก็ยังอยากให้ลองไปดู

    (แต่ความตลกคือ หนังที่เราชอบปีที่แล้วอย่าง Nocturnal Animals และปีนี้อย่าง Call Me by Your Name มี Armie Hammer แสดงด้วยทั้งคู่ 555)


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in