เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Reveal / ReviewK. W.
Movie Review: LA LA LAND (2017)
  • Spoiler Alert! 

    เป็นกระแสมาตั้งแต่ Venice Film Festival พร้อมกระแสอื้ออึงและการคว้ารางวัลนำหญิง (Volpi Cup) ของ Emma Stone จนกระแสลามมาถึงงานเทศกาลภาพยนตร์อย่าง Toronto จนเราสงสัยว่าหนังมิวสิคัลเรื่องนี้จะเป็นยังไง

    พอได้รู้ว่าเป็น Original Musical Movie ก็ถึงกับอยากดูเพราะนานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังเพลงที่ไม่ได้มาจาก Jukebox Musical จับฉ่ายเพลงฮิตอย่าง Moulin Rouge! หรือ Mamma Mia หรือมาจาก Original theatre production อย่าง Chicago หรือ Les Miserables งานนี้ Damien Chazelle ถือได้ว่าเล่นท่ายากเพราะคิดอ่านจะทำหนังที่ไม่ค่อยมีใครทำกันแล้วยิ่งพอดูเครดิตงานเก่าที่สร้างชื่ออย่าง Whiplash ที่เพิ่งจะได้มีโอกาสดูไปก็เลยทำให้รู้สึกว่าอยากดูมากขึ้นไปอีก

    ประกอบกับสองพระนางอย่าง Ryan Gosling และ Emma Stone ที่เคมีแผ่กระจายออกมาสร้างสีสันให้คนดูก็เลยคิดว่างานนี้รอบเดียวคงไม่พอแน่ๆเพราะมิวสิคัลในโรงเรื่องที่ชอบมากๆ อย่าง Les Miserables ก็ฟาดไปสองรอบในโรงสองรอบ HBO แถมยังดูบนเครื่องผ่านๆ ตอนไปญี่ปุ่นอีกรอบ La La Land ที่ตัดเทรลเลอร์ออกมาก็มีเพลงที่น่าฟังมากอยู่เหมือนกันก็เลยคิดว่าคงมาในชะตากรรมเดียวกันแน่ๆ...

    อยากดูจัดจนอดใจไม่ไหวต้องไปดูรอบ Sneak Preview และพอมีรีวิวว่าไปดู IMAX แล้วดี ก็เลยจัดไปรอบสองที่ IMAX Paragon ครับ

    รอบแรก (ไปเก็บเอาพล็อตและเพลง) รอบสอง (ไปเอาฟีล+ร้องเพลงตาม 555)

    ชอบ

    1. เพลงดีนะ  ค่อนข้างติดหูเลย (แอบเสียดายตรงที่เพลงน้อยไปหน่อย ช่วง Summer เลยดูอืดๆไปนิดหน่อย) ตอนแรกชอบ Audition (และก็ร้องไห้ให้กับเพลงนี้สองรอบ) แต่พอออกมาจากโรงก็กลับชอบ Another day of Sun และ Someone in the Crowd เพลงมันน่ารักและเพราะมาก ฟัง OST ทีไรก็รู้สึกอยากเดินไปเต้นไปทำ jazz hands ไป 555 รวมไปถึงเพลงป๊อปที่แทรกมาอย่าง Take on Me และ I Ran อันนี้ขำมาก ชอบมาก มันทำให้เราหวนระลึกความหอมหวานแห่งยุค 80 ได้ดีมากๆ เป็นอีกกระแสการกลับมาของ retro ที่ทรงพลังมากทีเดียว

    2. สไตล์ของหนังที่เคารพหนังยุคสตูดิโอและก็มีสีสันจัดจ้านสมกับยุค Technicolor พร้อมกับReferences มากมายยุ่บยั่บเต็มไปหมด คนที่ดูหนังมากๆ ก็ยิ่งน่าจะชื่นชอบองค์ประกอบต่างๆที่ขโมยมาใช้ในเรื่องได้อย่างกลมกลืนแต่ถ้าไม่รู้อะไรก็น่าจะเพลิดเพลินไปกับสีสันจัดจ้านและสดใสของหนัง ไตเติ้ลช่วง Another Day of Sun สวยมาก นึกถึงหนังเก่าๆ การซูมเข้าซูมออก และการขึ้น The End มันทำให้เรานึกถึงหนังยุคก่อนได้ดีเลย

    3. ธีมเรื่องที่ว่าด้วยความฝันและการไขว่คว้าความฝันและความเป็นจริงในวันที่คนสองคนเดินทางตามหาความฝัน พวกเขาจะต้องแลกความฝันมาด้วยอะไรบ้างและความฝันที่ดูจะเหมือนฝันลมๆ แล้งๆ นั้นจะมีวันเป็นจริงหรือไม่และราคาของความฝันจะต้องจ่ายเป็นอะไร ความสวยงามในช่วง Winter แรกที่เป็นการหยอกล้อSpring ที่ความรักค่อยๆ ผลิบาน และ Summer ที่ความรักหอมหวานเทียบไม่ได้เลยกับชุดความจริงอันแสนเจ็บปวดในช่วงFall และ Winter ในอีก 5 ปีต่อมา เราชอบช่วง Spring ที่มันสวยงามหอมหวาน ซุกซนและสนุกสนาน แล้วก็ลากไปที่ Fall ที่ความฝันของมีอาและเซบถูกความจริงเข้าครอบงำเมื่อมันไม่เคยจะสวยงามในโลกที่ต้องหมุนไปด้วยเงินและความมั่นคงในชีวิตคุณจะมีความกล้าขนาดไหนที่จะทำตามความฝันแม้ว่าจะดูบ้าบอเลื่อนลอยหรือคุณจะยินยอมละทิ้งฝันชั่วคราว เดินอ้อมสักนิดโดยหวังว่าเมื่อคุณมั่นคงมากกว่านี้คุณอาจจะได้ทำตามฝันในที่สุด

    หรือคุณอาจจะถูกความมั่นคงพันธนาการเอาไว้จนคุณต้องละทิ้งความฝันไป...

     4. ชอบตอนจบมันอาจจะดูไม่สวยงาม ดูใจร้ายและไม่มีประนีประนอมกับคนดู แต่นี่มันคือความจริงแม้เราจะอยากล่องลอยอยู่ในความฝันอันสวยงามเบาบางแค่ไหน แต่โลกความจริงก็คือการที่คนสองคนอาจจะทำตามความฝันได้แต่รักกันไม่ได้เพราะเส้นทางในชีวิตได้เดินคนละทางกันเสียแล้ว ในช่วง Epilogue คือช่วงแห่งความฝันความสวยงาม เป็นช่วง What If? ที่ทำให้คนดูรู้สึกวูบไหวไปกับความรักและความสัมพันธ์ของเซบกับมีอาที่ too good to be true (ซึ่งมันก็ไม่จริง) ดูประดิษฐ์ ดูเป็นละครจัดๆและดูไม่อิงกับความจริงใดๆ สมกับเป็นโลกคู่ขนานอีกใบที่อะไรๆก็ลงเอยด้วยดีด้วยความรักความผูกพันของคนสองคนที่สามารถเอาชนะได้ทุกอุปสรรค

    แต่ในโลกแห่งความจริง ใครเล่าจะได้ทุกอย่าง...!!!!

    รอยยิ้มของเซบและมีอาในฉากสุดท้ายคือรอยยิ้มของคนสองคนที่แม้จะไม่ได้รักกันในฐานะคนรักแต่การที่คนสองคนได้บรรลุความฝันตามที่ตั้งใจไว้โดยมีกันและกันคอยสนับสนุนและให้กำลังใจไปตลอดทางก็เป็นสิ่งที่คนสองคนสามารถจะทำให้กันได้ในฐานะกัลยาณมิตรที่ยินดีในความสำเร็จของกันและกันมิใช่หรือ...

    5. Emma Stone!!!! ฉากใน Audition (TheFools Who Dream) คือน้อยได้มาก สายตา สีหน้า การถ่ายทอดบทเพลงแน่นอนว่าเพลงนี้ไม่ใช่เพลงโชว์พลังอย่างเพลงเทพๆ อย่าง I Dreamed a Dream หรือ AndI’m Telling you (I’m Not Going) ส่วน Ryan Gosling ก็มีโมเม้นต์ดีๆหลายครั้ง อย่าง City of Stars และ A Lovely Night ที่ได้เคมีของสองพระนางมาเติมเต็มซีนนี้ให้สวยงามมากขึ้นไปอีก

    6. IMAX! ถ้ามีโอกาสก็แนะนำให้ดูเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพลงกระหึ่มจอกว้างมองเห็นภาพเสมือนว่าเรามีส่วนร่วมกับภาพตรงหน้า แต่อาจจะเมื่อยไปนิด 555ถือว่าการมาดู La La Land ในโรง IMAX ก็เป็นการตัดสินใจไม่ผิดเลย

    ไม่ชอบ

    1. เราว่าคนไม่ชอบมิวสิคัลอาจไม่ชอบ เพราะอยู่ดีๆเซบก็จะกระโดดมาเต้นแท็บร้องเพลงแบบไม่มีเหตุผล 555 อยู่ดีๆเพื่อนของมีอาก็สะบัดกระโปรงไปมาแล้วร้องเพลงตรรกะของหนังหลายอย่างไม่สามารถใช้ได้กับมิวสิคัล 555

    2. Part Summer อืดไปนิดจริงๆ เข้าใจได้ว่ามันจะเป็น Part ที่เชื่อมไปFall ซึ่งถือว่าเป็นจุดพีคของหนังก็อย่างว่าเราก็คงไม่อยากมานั่งดูว่าเซบกับมีอารักกันยังไงขนาดไหนส่วนนี้มันเลยเหมือนส่วน Jazz Session มากกว่า Acting Session รอบแรกดูเอาพล็อตมันเลยดูแปลกใหม่ยังไม่เบื่อมากแต่พอดูรอบสอง พาร์ทนี้ค่อนข้างอืดจริงๆ เกือบหลับ ยังดีว่าสะกดตัวเองได้ 555

    3. เพลงร้องจริงๆ มีไม่เยอะ คนชอบมิวสิคัลจ๋าๆอาจจะไม่คิดว่านี่เป็นมิวสิคัล (แน่ล่ะ ไม่ใช่ Sung-through 555) บางคนเลยให้นิยามหนังเรื่องว่าไม่ใช่มิวสิคัล ซึ่งจะมองว่าแบบนั้นก็ได้นะเอาจริงๆ

    เหมาะสำหรับคนมีฝัน ฝันอยู่ เลิกฝัน รักเพลง รักหนังเก่ายุคสตูดิโอชอบเพลงแจ๊ส ชอบไรอัน กอสลิ่งและเอ็มม่า สโตน ชอบงานของ Damien Chazelle เป็นหนังที่ข้าพเจ้านั่งร้องไห้จริงจังปลาบปลื้ม และชอบ message ของเรื่องนี้ที่มันแฝงความ bittersweet ไว้ในนั้นด้วยแนะนำมากๆ ครับผม!!!

    9/10

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in