(คิดว่า) สปอย
หนังสองเรื่องนี้ดูไม่มีอะไรเหมือนกันเลยในแง่ของแนวทางหนังเรื่องนึงเป็นหนังลั้ลลาแบบมิวสิคัลของผู้ค้นฟ้าคว้าดาว อีกเรื่องเป็นหนังไซไฟมนุษย์ต่างดาวเรื่องนึง เอ็มม่า สโตน ถ่ายทอดชีวิตของคนอยากตะกายดาวด้วยเพลง Auditions ในขณะที่อีกเรื่องเอมี่ อดัมส์มานิ่งๆ นั่งวิเคราะห์ word orders และ morphemes อะไรเทือกๆ นั้น
แต่ถ้าลองมาสังเกตดีๆหนังสองเรื่องพูดถึงประเด็นที่ดูจะเป็น universal คล้ายๆกันคือเรื่องของ "ทางเลือก" และชะตากรรมของตัวละครที่ได้รับผลกระทบจากทางเลือกนั้นๆ
เรียกได้ว่า Robert Frost เขียน The Road not Taken แล้วคนยังอินฉันใดทุกวันนี้คนยังอินเรื่องของทางเลือกและโอกาสในการเลือกด้วยกันแทบทั้งนั้นก็เพราะคนเราไม่สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง (เลือกเดินบนทางสักทางได้ไหมมมม...#ผิด)ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจอะไรลงไปแม้ว่าเราจะพอใจกับมันมากมายแค่ไหน มันจะมีบางครั้งบางคราวที่เราเผลอไผลคิดว่า...
ถ้าเราเลือกทำแบบนั้น (หรือเลือกไม่ทำแบบนั้น)
ถ้าเราเลือกคนนี้แทนที่จะเป็นคนนั้น(หรือแทนที่จะอยู่คนเดียว)
ถ้าเราเลือกทำตามความฝัน (หรือถ้าเราเลือกไม่ทำตามความฝันและอยู่กับความเป็นจริง...)
จะเป็นยังไง
จนกระทั่งเธอมาพบกับ Sebastian ชายหนุ่มที่มี passion กับโลกดนตรีแจ๊สที่ทำให้เธอค่อยๆเริ่มมองเห็นความสำคัญของตัวเอง และเพราะเขานั่นแหละที่ bring the best in her ออกมาในวันที่เธอสิ้นหวังเพราะการแสดงเดี่ยวของเธอจบลงด้วยความผิดหวังและเธอลงไปถึงจุดต่ำสุดจนอยากจะยอมแพ้เธอก็กำลังจะเลือกเดินออกไปจากความฝันของตัวเองและละทิ้งทุกอย่างเมื่อเธอพบว่าความฝันของเธออาจไม่มีวันเป็นจริง
แต่เพราะความรักและแรงบันดาลใจของเซ็บแท้ๆที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกเดินตามความฝันในท้ายที่สุดเมื่อในที่สุดเธอก็สามารถทำตามความฝันได้สำเร็จกลายเป็นดาราระดับเอลิสต์สมใจและได้เดินทางไปสู่ความสว่างสดใสในนครดาราวันนี้เธอไม่นกอีกแล้ว เธอมีทุกอย่าง มีงานดี ครอบครัวที่ดี ลูกน่ารัก
แต่ว่าความจริงใน 5 ปีต่อมา กลับหลอกคนดู(ให้ตื่นขึ้นมาเจอความจริง) เมื่อคนเราไม่อาจได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอาได้ตามความฝันและเป้าหมายอันทะเยอทะยานของเธอไม่มีเซ็บอยู่ในนั้น
ภาพสะท้อนทางเลือกอีกทางที่มีเซ็บอยู่ในนั้นคือภาพแห่งความฝันที่มีอา (หรืออาจจะเป็นเซ็บ!)จินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเขาและเธอได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้แม้ว่ามีอาอาจจะไม่ได้เป็นดาราโด่งดัง หรือเซ็บอาจไม่ได้เปิดแจ๊สบาร์หรูหราอลังการแต่เขาสองคนอยู่ด้วยกัน นั่งฟังเพลงแจ๊สสวยงามในบาร์แห่งหนึ่งเป็นภาพสวยงามราวกับความฝัน (ซึ่งมันก็คือความฝันนั่นแหละ)
เมื่อล่องลอยไปสู่ความฝันนานเพียงใด สุดท้ายคนทุกคนก็ต้องลืมตาตื่นมาพบกับความจริงเมื่อสิ้นสุดเพลงอันมีความหมายของคนสองคนความจริงที่เกิดขึ้นก็คือทั้งเซ็บและมีอาต่างก็ได้เดินไปตามความฝันเพียงแต่ความฝันนั้นไม่มีเพื่อนร่วมทางซึ่งกันและกันอีกแล้ว
แต่รอยยิ้มในฉากสุดท้ายบ่งบอกได้ดีว่าแม้ว่าชีวิตจะโหดร้ายแค่ไหน ตราบใดที่เรามีความฝันและเราได้เดินตามฝันนั้นแล้ว...เราก็คงต้องใช้ชีวิตกันต่อไป
ถ้ามีอาจาก LA LA LAND มีแค่ทางเลือกเดียว ตัดสินใจได้ครั้งเดียว และได้แต่จินตนาการว่าทางเลือกอีกทางจะสวยงามเพียงใด แม้ว่าจะย้อนเวลากลับไปเลือกอีกทางไม่ได้ Dr. Banks จากArrival อาจจะโชคดีกว่าเพราะเธอสามารถเห็นอนาคตได้ทุกอย่างเมื่อเธอได้เรียนรู้ภาษาจากผู้มาเยือนจากนอกโลกผู้มอบของขวัญวิเศษเป็นภาษาที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงประสบการณ์และความทรงจำในแบบnon-linear เมื่อเธอติดต่อกับผู้มาเยือนและแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ภาษาซึ่งกันและกัน
แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ โอเคว่าถ้าคุณจำเป็นต้องเลือกและคุณเลือกไปแล้ว คุณอาจจะยิ้มรับ (หรือทนรับ) ทางเลือกที่คุณเลือกไปแล้ว เพราะคุณไม่สามารถจะเลือกใหม่ได้ แต่ถ้าคุณเป็นอย่าง Dr. Banks ที่รู้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต...
ถ้าคุณรู้ทุกอย่างรู้แม้กระทั่งว่าอนาคตคุณจะต้องลงเอยด้วยความไม่สวยงามอย่างที่คุณตั้งใจไว้
คุณจะตัดสินใจยังไง?
งานนี้ Dr. Banks รู้ดีว่าเธอจะต้องมีชีวิตแบบไหน
เธอจะแต่งงานกับดอลเนลลี่ มีลูก เลิกกับดอนเนลลี่และลูกก็จะตายตั้งแต่เด็กด้วยโรคมะเร็ง...
เธอมีความรู้เรื่องระยะเวลาที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต ดังนั้นเธอมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเธอ
แค่เพียงเธอตัดสินใจไม่ลงเอยกับดอนเนลลี่ทุกอย่างในชีวิตเธอก็จะไม่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม
แต่ Dr. Banks กลับเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงอนาคต น้อมรับทุกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย
นั่นมันแปลว่าอะไรกันนะ?
อาจจะเป็นเพราะว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ไม่มีfree will หรือเปล่า?
หรือการตัดสินใจของมนุษย์แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดจากเจตจำนงเสรีแต่อาจจะมีพลังบางอย่างที่ครอบงำการตัดสินใจของมนุษย์อยู่
ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำอันสุขสมและเจ็บปวดมนุษย์ต่างก็ต้องใช้ความหวานและความขมเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและหล่อหลอมให้คนคนหนึ่งมีตัวตนในโลกที่หมุนวนด้วยประสบการณ์และการเรียนรู้ของตัวเองนั่นแหละดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายต่างก็สำคัญต่อมนุษย์ในฐานะที่มันเป็น “รสชาติของชีวิต...”
และมนุษย์ยินดีที่จะรับประสบการณ์นั้นมากกว่าที่จะไม่ได้อะไรเลย...
แม้ว่าจะความขมจะทิ้งรสชาติไว้ยาวนานกว่าความหวานแต่ถ้าเพียงแต่มันจะมีความหอมหวานหล่อเลี้ยงจิตใจมนุษย์ได้บ้างมนุษย์ก็ยินดีน้อมรับมันไว้ด้วยความยินดี...
Dr. Banks อาจจะต่างกับ Mia ตรงที่ว่าเธอไม่ต้องจินตนาการถึง What if? แบบมีอา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏตรงหน้าเธอในนิมิตหมดแล้วแต่เธอตัดสินใจน้อมรับเส้นทางที่เกิดขึ้นและเดินต่อไปด้วยความกล้าหาญ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in