เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Reveal / ReviewK. W.
Movie Review : Arrival (2017)
  • (สปอยจริงจัง) 


    ในรอบปีนี้ Amy Adams มาพร้อมกับหนังสองเรื่องที่ดูจะปังทั้ง 2 เรื่อง เรื่องแรกที่เข้าฉายในเมืองไทยแล้วอย่าง Nocturnal Animals จากผลงานการกำกับของ Tom Ford ที่มาพร้อมกับการแสดงน้อยๆ แต่ทรงพลังมากๆ เป็นหนังแนว thrillerที่เข้มข้นและถูกอกถูกใจเราเป็นอย่างมากด้วยสไตล์อันจัดจ้านและการเล่าเรื่องสุดจิ๊ดก็ทำให้หนังเรื่องนี้เข้าป้ายอันดับหนึ่งของเราเมื่อปีที่แล้วเมื่อความรักกลายเป็นเรื่องของการแก้แค้น เมื่อความสูญเสียของความรักนำมาสู่โศกนาฏกรรมอันเกินเยียวยาเมื่อทางเลือกทางหนึ่งนำไปสู่หายนะที่ยากจะแก้ไข

    จาก Nocturnal Animals เอมี่ อดัมส์สลัดความหรูหราในชุดดีไซน์เนอร์และงานเจิดจรัสของ Tom Ford มารับบท Dr.Louis Banks นักภาษาศาสตร์ที่ต้องมาทำหน้าที่ไขปริศนาภาษาของผู้มาเยือนจากนอกโลกภายใต้การแต่งกายอันแสนจะธรรมดาสามัญแต่อาศัยความฉลาดในหัวเป็นตัวขับเคลื่อนตัวละครในภาพยนตร์เรื่องArrival จากผลงานการกำกับของ Denis Villeneuve ผู้กำกับฝีมือดีที่ทำหนังดีๆมาหลายเรื่องอย่าง Prisoners หรือ Sicario  ที่หลายคนร่ำลือกันนักหนาว่าดีงาม

    Arrival ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นขนาดยาวหรือ Novella จากผลงานของ Ted Chiang โดยใช้ชื่อว่า Story of Your Life ซึ่งพอรู้ว่าหนังเรื่องนี้จะเข้า เราเลยลองไปหามาอ่านก่อน พบว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้เล่าเรื่องของการมาเยือนของสิ่งทรงปัญญาจากนอกโลกโดยผ่านภาษาและมิติของเวลาที่บอกเล่าผ่านการเล่าเรื่อง (ซึ่งก็เหมาะกับชื่อเรื่อง Story of Your Life เมื่อประสบการณ์ของมนุษย์– หรือเรื่องราวของคุณในฐานะมนุษยชาติ – ถูกบอกเล่าผ่านภาษาเพราะภาษาคือเครื่องมือที่มนุษย์ส่งผ่านอารยธรรมในรูปแบบของประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียน) 

    จะเห็นได้ว่า Novella จะเน้นไปที่บทบาทของLouis ในฐานะผู้ที่รับและส่ง Story of Your Life แต่ชื่อหนังอย่าง Arrival จะขับเน้นไปที่การมาของมนุษย์ต่างดาวมากกว่า (ก็สมเป็นหนัง Hollywoodดี เพราะถ้าใช้ชื่อเดิมนี่นึกว่าเพลง One Direction 555)

    การดู Arrival ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งของการดูหนังแนวไซไฟ หนังไม่ใช่แนวเอเลี่ยนโฉ่งฉ่างทำลายล้างโลก เอเลี่ยนเรื่องนี้ไม่ได้มาทำลายล้างโลก (มาดีเสียด้วยซ้ำ) แต่หนังเรื่องนี้เป็นหนังแนวไซไฟเล่าเรื่องของมนุษย์โลกที่ได้รับผลกระทบมนุษย์ต่างดาวในด้านอื่นที่ไม่ใช่การทำลายโลกแต่เป็นการจ้องมองเข้าไปที่ตัวตนของมนุษย์ในฐานะผู้ที่เล่าประวัติศาสตร์ผ่านภาษาและกาลเวลาโดยมีเรื่องครอบครัวเป็นพล็อตรองที่เข้ามามีผลกระทบ 

    (มาดู Arrival ก็เลยทำให้นึกถึง Interstellar ที่ว่าด้วยเรื่องราวของการเดินทางไปในอวกาศเพื่อไปค้นพบอะไรบางอย่างและว่าด้วยมิติของกาลเวลาที่มีผลต่อครอบครัวเช่นกัน)


    ชอบ

    1. พล็อต – ตัวละครเอกของเรื่องนี้คือนักภาษาศาสตร์ (คนเรียนภาษาอย่างเราปลื้มมาก ในที่สุด อาชีพนี้ได้เป็นฮีโร่กอบกู้โลก 555) ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางภาษามาช่วยทำความเข้าใจว่ามนุษย์ต่างดาวต้องการอะไรแน่ๆจากการอ่านบทสัมภาษณ์ของนักภาษาศาสตร์ก็ถือได้ว่าแนวคิดหลักๆ ของเรื่องนี้ระเบียบวิธีวิจัยและการเก็บข้อมูลค่อนข้างจะตรงตามการทำงานในด้านภาษาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดภาษาพูดปะทะภาษาเขียนวิธีการเรียนรู้ภาษากันและกันโดยเริ่มจากวิธีการเข้าถึงโดยตรง เรียนรู้คำง่ายๆแล้วประกอบคำให้ยากขึ้น หรือทฤษฎีของ Sapir-Whorf ที่บอกว่า Language shapes worldview ก็ถือว่าเป็นแนวคิดที่มีมานานแล้ว (แต่ไม่ได้ไปถึงขั้น extreme และเป็นทฤษฎีที่ debatable กันไปแล้วว่าภาษากับประสบการณ์มีผลต่อกันและกันหรือไม่) (ว่าแต่ทฤษฎีที่ว่าชนเผ่าเอสกิโมมีคำแทนคำว่าหิมะหลายคำเป็นhoax หรือเรื่องเท็จ!!) ถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ด้านภาษาและภาษาศาสตร์ที่ดีมากเรื่องหนึ่งแต่อย่าเชื่อทุกอย่างก็แล้วกัน หลายอย่างคือเรื่องในหนังครับ...

    2. Amy Adams – This is Amy Adams’ show! เอมี่แบกหนังไว้คนเดียวเล่าเรื่องสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง ลักษณะการพูดที่มาแบบน้อยๆ เบาๆไม่ได้โชว์พลังมากมายอะไร แต่เราสัมผัสได้ว่าด็อกเตอร์แบงส์พยายามจะสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวและพยายามจะทำให้ภารกิจนี้สำเร็จให้ได้ (โดยแฝงไว้โดยแนวคิดอเมริกาคือฮีโร่และผู้กอบกู้โลกในภาวะคับขันเสมือนที่เคยเป็นมาเมื่อคำพูดไม่กี่คำก็สามารถหยุดสงครามที่อาจทำลายมนุษยชาติได้) ช่วงเวลาที่ตัดสลับกันทำให้เราได้เห็นเอมี่ในแบบต่างๆ สุข ทุกข์ สงสัย ใคร่รู้เอมี่เล่นด้วยสายตาที่บ่งบอกอะไรหลายๆ อย่างโดยเฉพาะช่วงใกล้จบที่เธอปล่อยพลังออกมาแบบแผ่ซ่านไม่ได้มาแนวระเบิดลงแต่การเล่นน้อยๆ แบบนี้แหละที่ทำให้เรากินใจเมื่อเดินทางมาถึงตอนจบพร้อมข้อความที่เราได้รับรู้พร้อมๆกันกับด็อกเตอร์แบงส์ 

    บท Susan Morrow (Nocturnal Animals) และ Louis Banks (Arrival) อาจจะมี background ที่ต่างกัน มาในคนและแนวกัน แต่ว่าสองบทนี้ที่เอมี่เล่นเล่นด้วยสีหน้าและสายตามากกว่าที่จะพูดเยอะๆซึ่งเอมี่ทำได้ดีมากในทั้งสองบท ชอบมากทั้งสองบทเลย 

    3. Score หนัง – ตื่นเต้น เร้าใจ ลึกลับ และงดงาม (มาแบบสั้นๆ กระชับ 55)

    4. ตอนจบ – ชอบมาก ชอบจริงจัง ชอบ twist เรื่องของกาลเวลาที่เป็นnon-linear เมื่อเราสามารถรับรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเมื่อการรับรู้จากภาษามนุษย์ต่างดาวทำให้รับรู้กาลเวลาของมนุษย์อย่าง Dr.Banks ไม่ได้เป็นเส้นตรงอีกต่อไป จะสังเกตได้ว่าภาษาหลายภาษามีการบ่งบอกเวลาชัดเจน(เช่นภาษาอังกฤษ) โดยการแสดงออกผ่าน Tense เช่น

    They arrive. (ปัจจุบัน) 

    They arrived. (อดีต) 

    They will arrive. (อนาคต)

    เพราะฉะนั้นเราอาจจะบอกได้ว่าการรับรู้ของมนุษย์มีขอบเขตของเวลาชัดเจน เหตุการณ์แม้จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน แต่เมื่อเกิดขึ้นคนละเวลา ก็ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นลำดับต่อกันไปเรื่อยๆ แต่การเรียนรู้ภาษามนุษย์ต่างดาวของด็อกเตอร์แบงส์ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ต่างดาวที่มายังโลกมีการบอกเล่าเรื่องที่ไม่เป็นไปตามลำดับเวลา 

    เมื่อทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นโดยวนไปวงกลมไปโดยไม่สิ้นสุด ดังนั้นด็อกเตอร์แบงส์จึงสามารถรับรู้อนาคตและเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นได้ (แต่งงาน มีลูก หย่ากับสามี และลูกตายด้วยโรคมะเร็งในที่สุด) ณ จุดนั้น เธอสามารถรับรู้ได้ทั้งอดีต (จากความทรงจำที่มนุษย์ทุกคนมี) ปัจจุบัน (ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น) และอนาคต (ผ่านการเรียนรู้ภาษามนุษย์ต่างดาวที่ทำให้เธอได้เรียนรู้เวลาในแบบ non-linear)

    เมื่อด็อกเตอร์แบงส์สามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้และไม่มีกับดักของกาลเวลา สุดท้ายแล้วก็เดินทางมาถึงคำถามสำคัญที่ปรากฏในเรื่องที่ว่า

    If you could see your whole life laid out in front of you, would you change things?

    เรามักจะเคยเห็นคำถามว่า “ถ้าคุณย้อนเวลากลับไปได้คุณจะเปลี่ยนอะไรไหม” แต่เรื่องนี้มาเหนือกว่าเมื่อนำเสนอว่า “ถ้าคุณรู้อนาคตได้คุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรไหม” ซึ่งมันก็เป็นข้อเสนอที่น่าเย้ายวนใจไม่น้อยเพราะเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนอนาคตได้จากการเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน

    แต่ลูอิสเลือกที่จะแบกรับชะตากรรมอันโหดร้ายนั้น เพราะเธอเชื่อว่าเธอมีสิ่งที่สำคัญกว่าแม้ว่าเธอจะรู้ตอนจบแต่เธอเลือกที่จะขอมีประสบการณ์แบบนั้น (ที่แม้จะลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆให้เธอได้จดจำ) ซึ่งการตัดสินใจของเธอทำให้เราอดนึกไปถึงแนวคิดแบบ determinism ว่ามนุษย์เราเกิดมาแล้วเมื่อเป็นอะไรก็เป็นเช่นนั้นไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ (ซึ่งก็จะไปพ้องกับทฤษฎี linguistic determinism ที่ว่าภาษากำหนดมุมมองการมองโลกของเราอย่างแท้จริง) ซึ่งก็ทำให้เรานึกไปถึงตัวละครหลักในละครแนวโศกนาฏกรรม ที่แม้พวกเขาจะรู้ว่าตัวเองจะต้องพบกับจุดจบอันโหดร้าย  รู้ว่าชะตากรรมตัวเองจะลงเหว แต่พวกเขาก็เลือกที่จะแบกรับชะตากรรมนั้นเพราะรู้ดีว่าไม่มีทางเลี่ยงได้

    ไม่ชอบ

    1. คนที่คาดหวังว่าจะได้ดูหนังเอเลี่ยนแนวระเบิดภูเขาเผากระท่อมผิดหวังแน่นอน เพราะมนุษย์ต่างดาวเรื่องนี้มาดี ไม่ได้มาร้ายแถมยังพยายามคุยกับเราก่อนคิดจะฆ่าเราด้วย 

    2. หนังทำให้ตัวละครหลักอย่าง Dr. Banks คลี่คลายปริศนาง่ายไปและเร็วไปมาก (แต่ก็อย่างว่าใครจะอยากนั่งดูวิธีการทำวิจัยทางลิงกวิสติกนานๆ ล่ะ อันนี้บ่นส่วนตัวเพราะว่าเรารู้ว่าขั้นตอนการทำวิจัยอะไรแนวๆนี้มันจะนาน น่าเบื่อ และทำความเข้าใจได้ยากมากกกกกกกกก 555)

    3. ฉากกระซิบกับผู้พันจีนนี่ cliché มากๆและดูเชิดชู America มากๆ 

    สรุป เราชอบเรื่องนี้มาก ดูมาแล้วได้คิดอะไรเยอะ มีอะไรซ่อนไว้เยอะมากเหมาะมากสำหรับคนที่ชอบหนังแนวไซไฟที่ไปไกลกว่าหนังแนวไซไฟปกติ ชอบมว้ากกกกกก

    Arrival : A sci-fi movie talking about how aliens peacefully invade our planet with human touch. It deals with the ability to perceive and live through language, memories and time. Amy Adams is the MVP who drives the story forward.

    So what is the story of your life, then?

    9/10 


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in