เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เดินทางไกลสู่โลกของการทำงานSasikan Jontapa
เรื่องเล่าจากโรงแรม 350 ชั้น


  • อันดับแรกต้องขออภัยเป็นอย่างสูง (350 ชั้น)

    เนื่องจากได้เว้นการเขียนบันทึกเดินทางไกลสู่โลกของการทำงานไป 1 สัปดาห์เต็ม ๆ

    ด้วยเหตุนี้จึงขอใช้พื้นที่ในตอนเรื่องเล่าจากโรงแรม 350 ชั้นอย่างสุดเหวี่ยง และไม่ออมมือ
    เพราะเรามีเรื่องเล่าจาก 'โรงแรมครีม' เต็มไปหมด!




              ในที่สุดเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง วันที่เราได้ออกไปเจอเด็ก ๆ ออกไปเห็นโลกข้างนอกบ้านหลังจากพลาดโอกาสหลายครั้ง เพราะโรคระบาดถึงสองปี

              วันที่ 19 มิถุนายน ตรงกับวันอาทิตย์ ที่โรงแรมครีม จัดงาน Little Book Club ในธีม Rainbow พวกเรานิสิตฝึกงานที่ SandClock Books ผลัดกันไปวันละ 2 คน เพื่อไม่ให้เกะกะพื้นที่มากจนเกินไป โดยคู่หูของเราวันนี้คือจอนนี่


    ชั้น 1 ทางเข้าและจุดเช็กอิน ของโรงแรมครีม


              ความประทับใจแรกเมื่อเดินผ่านประตูเล็ก ๆ เข้ามาด้านใน คือความร่มรื่น สวยงาม แบบเรียบง่าย มีต้นไม้สีเขียว กับเฟอร์นิเจอร์ไม้ และเบาะหนังสีน้ำตาลที่เข้ากันดี ส่วนกำแพงชั้นหนึ่งเป็นสีครีม มีช่องรับแสงจากธรรมชาติทำให้บริเวณชั้นหนึ่งปลอดโปร่งและสว่าง


    ห้องสมุดชั้น 3 ที่โรงแรมครีม


    ห้องสมุดชั้น 3 ที่โรงแรมครีม


              ความประทับใจต่อมาคือห้องสมุดชั้น 3 (ขออนุญาตข้ามชั้น 2) เราชอบห้องใต้หลังคาเป็นการส่วนตัว พอมาเจอห้องนี้่ที่มีหน้าต่างและมีต้นไม้สีเขียวจึงรู้สึกหลงรัก แถมหนังสือนิทานในห้องยังน่าสนใจทุกเล่ม มีทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ห้องนี้คัดเลือกหนังสือนิทานดี ๆ วางเรียงรายอยู่บนชั้น ให้เด็ก ๆ มาหยิบอ่าน หรือให้คุณครูที่นี่เล่านิทานให้ฟัง ได้ยินว่าบริเวณพื้นต่างระดับในห้องนี้ยังใช้เป็นเวทีสำหรับทำการแสดงด้วย!


    หนังสือนิทานสำหรับกิจกรรม Little Book Club


              ธีมของวันนี้เป็น Rainbow โดยจะเริ่มตั้งแต่ 10 โมงเช้า กิจกรรมแรกเป็นการเล่านิทานทั้งหมด 4 เล่ม โดยครูวาวกับครูบีม หนังสือ 4 เล่มที่คัดเลือกมาเกี่ยวกับสายรุังทั้งหมดและสนุกทุกเล่ม เราสังเกตว่าทุกเล่มเป็นภาษาต่างประเทศทั้งหมด แต่ครูทั้งสองคนเล่าให้เด็ก ๆ ฟังเป็นภาษาไทย หมายความว่าก่อนจะเล่าให้เด็ก ๆ ฟังต้องผ่านการซ้อมมาจนคล่องก่อน และการเลือกนิทานมาเล่า จุดสำคัญที่เราสังเกตเห็นคือเลือกหนังสือที่มีลูกเล่นน่าสนใจมาไว้เล่มแรก จะสามารถดึงความสนใจของเด็ก ๆ ได้


              เด็ก ๆ ที่มาฟังมีตั้งแต่อนุบาลถึงประถมต้นปะปนกัน ทำให้พัฒนาการ ความสามารถในการตอบโต้ และการมีส่วนร่วมกับนิทานไม่เท่ากัน แต่เราสังเกตว่าเด็กที่นี่ทุกคนคุ้นเคยกับการฟังนิทานเป็นอย่างดี บางคนที่มาที่โรงแรมครีมบ่อย ๆ ไม่ต้องมีพ่อแม่ผู้ปกครองคอยประกบอยู่ข้าง ๆ แล้ว แต่สามารถอยู่กับคุณครูของที่นี่อย่างสนิทสนมเพราะครูจำชื่อเด็ก ๆ ได้ทุกคน หรือบางคนก็รวมกลุ่มนั่งฟังนิทานกับเพื่อน ๆ ด้วยกัน


    สร้างสายรุ้งด้วยลูกแก้ววิเศษกับไฟฉาย


              เมื่อเล่านิทานเล่มสุดท้ายจบ ครูบีมหยิบหินวิเศษออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับไฟฉาย แล้วไฟในห้องสมุดก็ดับเอง! (เด็ก ๆ บอก) จากนั้นครูบีมก็ส่องไฟฉายไปที่หินวิเศษสีใสก้อนนั้น แล้วก็มีสายรุ้งอยู่ในห้องสมุดที่โรงแรมครีม! เด็ก ๆ ตื่นตาตื่นใจตาลุกวาว และครูบีมก็ให้ทุกคนไปสร้างสายรุ้งกันต่อที่ชั้นสอง

              เราชอบการเชื่อมระหว่างโลกในหนังสือ กับโลกความจริง ราวกับเรื่องราวในนิทานสี่เรื่องที่ได้เล่าเอาไว้ในธีมของสายรุ้ง ได้ทะลุออกมาแล้วรวมอยู่ที่ชั้นสอง ให้เด็ก ๆ ไปค้นคว้า และเล่นสนุกอย่างอิสระโดยมีคุณครูและพี่เลี้ยงฝึกงานของโรงแรมครีมคอยแนะนำ พร้อมกับร่วมเล่นด้วยกัน (ส่วนเรารับบทคนเดินไปเดินมา และคอยมองห่าง ๆ บางครั้งก็เข้าไปเล่นด้วย)


    กิจกรรมสร้างสายรุ้งที่โรงแรมครีม


              ชั้นสองของโรงแรมครีม มีโต๊ะวางเรียงกันอยู่ 3 โต๊ะ และโต๊ะญี่ปุ่นตั้งพื้นอยู่ 1 โต๊ะใหญ่ แต่ละโต๊ะจะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับสายรุ้งทั้งหมด เป็นการประดิษฐ์สิ่งของที่ปล่อยให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ จะเล่น
    ฐานไหนเท่าไรก็ได้ และจะเปลี่ยนไปเล่นฐานอื่นเมื่อไรก็ได้ โดยอยู่ในการดูแลของครูและพี่ ๆ ฝึกงาน


    กิจกรรมศิลปะจากสีผสมอาหารที่โรงแรมครีม


              โต๊ะที่สอง มีกระดาษร้อยปอนด์ สีผสมอาหาร สีฟ้า สีแดง สีส้ม สีเขียว พู่กัน และหนังสือภาพสีน้ำแบบในภาพด้านบนวางอยู่ ทำให้เราคิดถึงแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟที่ได้เรียนตอนปีสอง คือการทำกระดาษร้อยปอนด์ให้เปียกน้ำ แล้วใช้พู่กันเบอร์ใหญ่ระบายสีน้ำลงไปโดยไม่ต้องคิดว่าจะวาดภาพอะไร แค่จดจ่ออยู่กับความรู้สึกในขณะวาด และมองสีที่กระจายตัวบนตัวกระดาษ

              พอเด็ก ๆ มานั่งที่โต๊ะแล้วหยอดสีลงบนกระดาษชุ่มน้ำ เราก็รีบชวนเด็ก ๆ ให้ดูสีที่วิ่งบนกระดาษทันที ชวนให้เด็กดูสีน้ำเงินกับสีแดงวิ่งแข่งกัน ว่าสีอะไรจะถึงเส้นชัยก่อน และสีไหนวิ่งได้เร็วที่สุด แล้วดูเหมือนเด็ก ๆ จะชอบการดูสีวิ่งแข่งกันด้วย


    กิจกรรมสร้างสายรุ้งด้วยกระดาษว่าวกับแสงแดด


              ที่ชั้นสองมีระเบียงที่แสงแดดธรรมชาติส่องเข้ามาด้านในไม่แพ้ชั้นหนึ่ง กิจกรรมก็ใช้ประโยชน์จากแสงแดดได้ดีเยี่ยมจนเราทึ่ง ฐานนี้คือการใช้กรอบรูป ขึงด้วยพลาสติกโปร่งใสแล้วทากาวเอาไว้ จากนั้นก็นำกระดาษว่าวหลากหลายสีที่ตัดไว้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้เด็ก ๆ แปะลงไป เมื่อชูรับแสง เงาที่สะท้อนออกมาจะเป็นสี ๆ เหมือนกับสายรุ้ง

              เราเล่นฐานนี้กับน้องทับทิม เด็กน้อยชุดกระโปร่งสีชมพูที่นั่งแปะกระดาษสี ๆ ลงไปเงียบ ๆ คนเดียว เราเลยเข้าไปช่วยแปะด้วย เรามาที่นี่ครั้งแรกและไม่มีความคุ้นเคยใด ๆ กับเด็กเลย แล้วไม่มั่นใจว่าวิธีการเข้าหาเด็กของตัวเองจะทำให้เด็กกลัว หรือจะยอมรับเข้าแก๊ง (ยอมคุยด้วย)

              "พี่ชอบสีชมพูอะ มีสีชมพูให้พี่ไหมคะ" เราพูดกับน้อง พยายามสุดความสามารถให้เสียงดูอ่อนหวานและไม่ฟังดูห้วน

              น้องทับทิมไม่ได้ตอบอะไร และแปะกระดาษต่อไป จากนั้นนิ้วเล็ก ๆ ก็คุ้ยลงไปก้นกล่องทรงกลม จนกระทั่งหยิบกระดาษสีชมพูส่งมาให้เรา เราดีใจมาก ๆ เพราะนี่คือสัญญาณว่าน้องรับเราเข้าแก๊งแล้ว และน้องก็ชอบสีชมพูเหมือนกันด้วย


    กิจกรรมพ่นสเปรย์สี


              กิจกรรมสนุก ๆ ไม่ได้มีแค่ด้านในชั้นสอง แต่ยังมีที่ระเบียงด้วย จากภาพด้านบนคือการเอากระดาษแผ่นใหญ่ติดกับกำแพงของระเบียง แล้ววางขวดสเปรย์ใส่สีฟ้า สีแดง สีเหลือง และสีเขียวเอาไว้ เด็ก ๆ สามารถมาช่วยกันพ่นสเปรย์ลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ได้

              ข้าง ๆ กันมีแก้วใส่น้ำฟองสบู่ กับที่เป่าทำจากลวดเส้นเล็ก ๆ ที่ให้เด็ก ๆ ตกแต่งด้วยลูกปัดจากโต๊ะมุมประดิษฐ์ แล้วมาเป่าฟองสบู่ที่ระเบียง แต่น่าเศร้าที่ต้องใส่มาสก์จึงใช้ปากเป่าไม่ได้ เด็กตัวน้อยคนหนึ่งกำลังพยายามเป่าลมจากปากผ่านมากส์อยู่สักพัก เราเลยเข้าไปชวนแกว่งมือไว ๆ เพราะแบบนี้ก็สร้างฟองสบู่ได้เหมือนกัน (ภูมิใจที่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์มาก)

              กิจกรรมทั้งหมดจะสิ้นสุดเวลาเที่ยง เราขอปิดท้ายเรื่องเล่าของกิจกรรมในวันนี้ด้วยภาพสายรุ้งที่ทุกคนช่วยกันวาดบนผ้าใบสีใสที่ขึงกับเก้าอี้ ให้เด็ก ๆ สามารถเข้าไปนั่งใต้ผ้าใบแล้วเงยหน้าขึ้นเห็นสายรุ้งบนท้องฟ้า เรายืนดูเด็ก ๆ เล่นอยู่ตรงนี้นานพอสมควร เห็นน้องแอลวาดฝน แล้วเรียกคนอื่น ๆ ให้ไปหลบฝน แล้วน้องวิลเลี่ยมก็วิ่งวุ่นหาที่กำบังฝนจนหัวเลอะสีชมพูจนได้

              แม่น้องวิลเลี่ยมกระซิบกับเราว่า "เพิ่งจะล้างมือเมื่อกี้ เลอะอีกแล้ว"




  • แต่เรื่องเล่าจากโรงแรม 350 ชั้นยังไม่จบ!


              เราได้ไปที่โรงแรมครีมอีกครั้งวันที่ 22 มิถุนายน ตรงกับวันพุธ ซึ่งกิจกรรมของที่โรงแรมจะเป็น After School Club เด็ก ๆ สามารถมาเล่นที่นี่ได้อย่างอิสระตามมุมที่ต้องการเวลาหลังเลิกเรียน ไม่มีกิจกรรม Workshop เหมือนเมื่อวันอาทิตย์ แต่สนุกไม่น้อยไปกว่ากัน คู่หูของเราในวันนี้คือแฟรี่


    ใบเช็กอินรายชื่อแขกมหัศจรรย์ของโรงแรมครีม


              วันนี้เรามาถึงโรงแรมเร็ว เด็ก ๆ ยังไม่มาสักคน คุณครูเลยให้เรามาเช็กอินก่อน แล้วก็นั่งอ่านหนังสือรอเด็ก ๆ ที่ชั้นหนึ่ง มีหนังสือนิทานของต่างประเทศ รวมถึงหนังสือสำหรับผู้ใหญ่ที่อยู่บนชั้นสูงกว่าเด็กหยิบไม่ถึง และบอร์ดเกม


    หนังสือภาพเรื่อง This is Not a Book โดย Jean Jullien


              แล้วโลกแห่งจินตนาการก็ได้เปิดประตูให้เราหลุดเข้าไปอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ที่นี่มีหนังสือเจ๋ง ๆ และรูปเล่มแปลกสะดุดตา มีลูกเล่นน่ารัก ตื่นตาตื่นใจของต่างประเทศอยู่เต็มชั้น ส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วยังมีภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เกาหลี ถ้าเราจำไม่ผิด น่าจะมีภาษาเยอรมันด้วย

              หนังสือที่คัดเลือกมาในชั้นหนึ่งมักจะมีลูกเล่นแปลกตาที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังสือของไทย ทั้งเนื้อหาสาระที่ตลก เน้นความฮา ความสนุกสนาน โดยไม่สอดแทรกสาระหรือข้อคิดก็เป็นหนังสือที่มีคุณค่าได้ เพราะความฮาก็คือคุณค่าอย่างหนึ่ง

              ทำให้เราอิจฉาความกล้าทำหนังสือที่มีลูกเล่นแปลก ๆ ของต่างประเทศ คิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับค่าครองชีพ และรายได้สมเหตุสมผลกัน ทำให้คนมีกำลังในการซื้อหนังสือ คนทำหนังสือจึงกล้าสร้างสรรค์ กล้าเสี่ยงทำอะไรแปลก ๆ กล้าสร้างงานที่ต้นทุนสูง เพราะคนมีกำลัังซื้อ ในขณะที่ประเทศไทย ราคาหนังสือหนึ่งเล่มประมาณค่าแรงขั้นต่ำหนึ่งวัน หมายความว่าถ้าอยากได้หนังสือนิทานดี ๆ ให้ลูกสักเล่ม ต้องทำงานทั้งวันและเหลือเงินไม่พอซื้อข้าว จึงไม่แปลกที่คนจะเลือกซื้อข้าวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากกว่าการซื้อหนังสือเพื่อความบันเทิง และเพื่อพัฒนาทักษะให้ลูกหลาย ๆ เล่ม หนังสือเด็กของไทยจึงทำให้คุ้มค่าในสายตาผู้ใหญ่ เช่น เป็นภาพสี่สีทั้งเล่ม มีสาระความรู้ เนื้อเรื่องปลูกฝังคุณธรรม และเป็นประโยชน์สูงสุด ทำให้หนังสือนิทานที่เน้นความฮาอย่างเดียวของไทยมีน้อยกว่า และไม่ค่อยเปิดกว้างในความสร้างสรรค์เรื่องลูกเล่นของหนังสือ เพราะจะยิ่งทำให้หนังสือราคาสูงขึ้น

              จะมีหรือ หนังสือที่กางออกมาแล้วยาว 3 เมตรแบบนี้!

    หนังสือนิทานภาพยาวสามเมตรที่ชั้นหนึ่ง โรงแรมครีม


    จะมีหรือ หนังสือที่ทำผีหลอกได้แบบนี้!

    หนังสือภาพเรื่อง There's a Ghost in this House โดย Oliver Jeffers


              จบกันไปเรื่องหนังสือนิทานแปลกตา เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 เด็ก ๆ ก็เริ่มทยอยมาที่โรงแรมครีม เราเลยต้องปิดหนังสือแล้วเริ่มเดินไปเดินมาคอยเล่นกับเด็ก วันธรรมดาเด็กจะมาน้อยกว่าเมื่อวันอาทิตย์ ส่วนใหญ่ที่มาเป็นขาประจำ อย่างน้องธรรมชาติมาที่นี่ตั้งแต่อนุบาล จนตอนนี้เป็นพี่ป.1 แล้ว และมีบ้างที่มาเป็นครั้งแรก ยังไม่คุ้นเคยกับโรงแรมครีม ทั้งคุณครูและผู้ปกครองจึงคอยชวนเล่น มากกว่าเด็กคนที่คุ้นเคยดีแล้ว

              น้องคนแรกที่มาถึงแล้วเราได้เล่นด้วยคือน้องโปร (ไม่แน่ใจว่าเขียนชื่อถูกหรือไม่) มาถึงน้องก็หยิบบอร์ดเกมที่มีลูกแก้วออกมาเล่น แล้วก็เดินไปเดินมาที่ชั้นหนังสือของชั้นหนึ่ง แล้วบ่นพึมพำหาบ้าน 100 ชั้น เราก็เลยช่วยน้องตามหาแล้วชี้บอร์ดเกมบ้าน 100 ชั้นให้น้องดู

              "นี่ไงบ้านร้อยชั้น ใช่อันนี้ไหม"

              "ไม่ใช่อันนี้บ้านร้อยชั้นขึ้นไปข้างบน แต่จะเอาบ้านร้อยชั้นลงไปใต้น้ำ"

              เป็นครั้งแรกที่เรารู้ว่าหนังสือบ้าน 100 ชั้น ทำเป็น 100 ชั้นใต้ทะเลด้วย ถึงจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เราก็พยายามช่วยหาอย่างสุดความสามารถ แต่ที่ชั้นหนึ่งมีแต่นิทานภาษาต่างประเทศ น้องโปรทำท่าคิดอะไรออกแล้วพูดว่า "ต้องไปชั้นสาม" แล้วเรากับแฟรี่ก็เดินตามน้องขึ้นไป และหาหนังสือบ้านใต้ทะเล 100 ชั้นจนเจอ น้องโปรสามารถจำได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนิทานต่อไป ดูเหมือนเล่มนี้จะเป็นเรื่องโปรดของน้องที่อ่านซ้ำก็ไม่เบื่อ แล้วน้องก็นับเลข 1-100 เป็นภาษาอังกฤษอวดด้วย


    สิ่งประดิษฐ์ของน้องมรรค


              จากภาพด้านบนเป็นมุมนักประดิษฐ์ แล้วทุกคนคงจะสงสัยว่าสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่บนโต๊ะคืออะไร

              เรื่องมีอยู่ว่าน้องมรรคเอาถั่วสีเหลืองที่อยู่ในโหลแก้ว เท่ใส่ขวดพลาสติกขวดใหญ่ จากนั้นก็ปิดฝา แล้วเขย่าแรง ๆ จนมีเสียงคล้ายเสียงฝนดังลั่นโรงแรมครีม แล้วน้องมรรคก็เทสลับถั่วเหลืองกับขวดสองขวดไปมา จนถั่วหล่นกระจายบนโต๊ะและที่พื้น

              "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวช่วยกันเก็บ" คุณครูของโรงแรมครีมพูดทันทีที่ถั่วหล่นกระจาย

              เรากับแฟรี่ก็ช่วยน้องมรรคเก็บถั่วสีเหลืองใส่ขวดด้วย แต่เพราะถั่วหกเยอะเลยต้องใช้เวลาสักหน่อย เราเลยคิดอะไรบางอย่างได้

              "พี่มีวิธีทำให้เร็วด้วยนะ อยากรู้ไหม" เราถามน้องมรรค เพราะเคยฟังหรืออ่านมาจากที่ไหนสักที่ว่าให้ถามเด็กก่อน

              "ไม่อยาก เอ้ย อยาก!" น้องตอบทันทีว่าไม่ แล้วก็รีบเปลี่ยนคำตอบพร้อมกับพยักหน้าหนักแน่น เราจึงลุกไปหยิบกระดาษที่มุมวาดเขียน

              จากนั้นฉันก็ม้วนกระดาษเป็นทรงกรวยปากกว้าง ให้มีรูที่ก้นกรวย และดึงเทปใส่มาติดเอาไว้ พอเราเอากรวยกระดาษใส่ในปากขวด แล้วยกขวดมาที่จ่อกับขอบโต๊ะและใช้มือกวาดถั่วสีเหลืองลงขวดที่มีกรวยปากกว้างรอรับอยู่ ทำให้เก็บถั่วได้อย่างว่องไว

              น้องมรรคดูตื่นเต้น แล้วก็ทำถั่วหกอีกหลายครั้ง เพื่อจะได้กวาดถั่วเก็บใส่ขวดโดยใช้กรวยกระดาษช่วยอีก สิ่งประดิษฐ์เล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ ก็ทำให้เด็กสนุกและเล่นจนเพลินได้หลายนาทีเลย (แล้วเราก็ภูมิใจที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์อีกครั้ง)




              ระหว่างที่ฉันนั่งดูนิทานอยู่ที่ชั้นสาม ครูบีมกับคุณแม่คนหนึ่งก็จูงเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่มาครั้งแรกขึ้นมา จากนั้นก็เลือกนิทานออกมาให้ครูบีมเล่าให้ฟัง เรานั่งฟังครูบีมตั้งแต่ต้น จากเด็กเพียงหนึ่งคนที่กำลังฟังครูบีม ก็เพิ่มเป็นสองคน สามคน และสี่คน เหมือนเสียงของครูบีมมีพลังวิเศษที่สามารถใช้เรียกเด็ก ๆ ให้มารวมตัวกันได้ สุดยอดมาก ๆ เลยค่ะครูบีม ?


    ข้อความแสดงความคิดเห็นต่อการแสดงเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน บนผนังโรงแรมครีม


              ได้ยินมาหลายครั้งว่าที่นี่มีการแสดง วันนี้เราเลยรีบถามน้องณนญว่าวันนี้มีการแสดงไหม น้องตอบเราว่า "มี แต่ยังไม่เริ่ม"เราก็ตั้งตาคอยว่าเมื่อไรจะเริ่ม เดินวนอยู่ที่ชั้นสองกับชั้นสามเผื่อว่าถ้ามีจะได้ไม่พลาด แล้วก็ไปเห็นข้อความแสดงความคิดเห็นต่อการแสดงเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมาจึงยิ่งตื่นเต้นไปอีก ดูเหมือนว่าการแสดงจะจริงจังมากเลยทีเดียว

              และการแสดงสุดพิเศษก็ได้เริ่มขึ้นที่ชั้นสาม โดยมีน้องธีร์เป็นพิธีกร มีครูวาวเป็นนักแสดงรับเชิญรับบทเป็นยักษ์ที่จะใช้ช้อนกินลิง มีน้องมรรค น้องณนญรับบทเป็นลิง ที่น้อง ๆ ลงรายละเอียดไปถึงชื่อของตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์อย่างรู้ลึกรู้จริง (เรายังจำไม่ได้เลย) และยังมีเด็กหญิงอีกหนึ่งคนมาเล่นเป็นยักษ์เป็นเพื่อนครูวาว (ขอโทษจากหัวใจที่ไม่สามารถจำชื่อได้)

              หลังการแสดงจบพิธีกรก็ออกมาอีกครั้งพร้อมกับถามคำถามจากการแสดง ใครตอบถูกจะได้ของรางวัลจากน้องธีร์ไป จากนั้นก็เขียนความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงนำไปติดที่ผนัง น่าเสียดายที่หมดเวลาสนุก เพราะโรงแรมครีมต้องปิดเวลา 6 โมงเย็นแล้วกลับมาเปิดใหม่ในวันถัดไป


              เราขอลาเรื่องเล่าจากโรงแรม 350 ชั้นนี้ด้วยการไขข้อสงสัยว่าที่นี่มีกี่ชั้นกันแน่ ที่บันไดมีกระดาษแปะเอาไว้ว่า


              คิดว่ามีกี่ชั้น?

              คนที่ 1 ตอบ 350 ชั้น
              คนที่ 2 ตอบ 127 ชั้นบนฟ้า 65 ชั้นใต้ดิน
              คนที่ 3 ตอบ 3 ชั้น
              คนที่ 4 ตอบ 3 ชั้น
              คนที่ 5 ตอบ 182 กับอีกครึ่งชั้น
              .
              .
              .
              คนที่ 12 ตอบ 1000 แสนล้านชั้น


              ตอบไม่เหมือนกันอย่างนี้ จึงไม่ได้คำตอบเสียทีว่าที่นี่มีกี่ชั้น เราเลยถามน้องธรรมชาติที่มาที่นี่ตั้งแต่อนุบาลจนเป็นพี่ป.1

              "ที่นี่มี 4 ชั้น!" น้องตอบ

              "แล้วทางขึ้นชั้น 4 อยู่ไหนอะ" เราถามน้อง

              "อยู่ที่ประตูมิติ!" แล้วน้องก็พูดเหมือนกับจะลองเปิดประตูมิติที่อยู่บนชั้นสาม แต่น้องธีร์ขัดขึ้นก่อน

              "เปิดไม่ได้นะ เพราะว่ามันมีฝุ่น" น้องธีร์พูดถูก เพราะว่าเราแอบเปิดประตูมิติดูแล้ว ด้านในเป็นห้องเก็บของโล่ง ๆ

              "นั้นเราค่อยเปิดตอนไม่มีฝุ่นแล้วกันเนอะ" เราพูดปลอบใจน้อง แต่ความจริงแล้วปลอบใจตัวเองที่อดทะลุประตูมิติ

              "เห็นมีฝุ่นตลอด 24 ชั่วโมงเลย" น้องธรรมชาติพูด

              "งั้นเราคงไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมงแล้วแหละ"


              น่าเสียดายที่เราไขข้อสงสัยให้ทุกคนไม่ได้ว่าที่นี่มีกี่ชั้นกันแน่ ถ้าทุกคนอยากรู้ ลองมาพิสูจน์ด้วยตัวเองที่โรงแรมครีมดูนะคะ!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in