ผู้เขียน : Joe Navarro
ผู้แปล : อมรรัตน์ ศรีสุรินทร์
สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น
จำนวนหน้า : 304 หน้า
ราคา : 180 บาท
สวัสดีวันหยุด สำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และสวัสดีวันทำงานวันสุเท้ายของสัปดาห์สำหรับภาคเอกชนนะคะ วันนี้จะมาเล่าถึงหนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกประหนึ่งว่า เรากำลังนั่งดูซีรีย์ Law&Order หรือ CSI อยู่ หนังสือเล่มนั้นก็คือ
"ร่างกายไม่เคยโกหก"
กรุณาตอบคำถามต่อไปนี้ในใจ...
คุณจับโกหกเก่งไหม?
คุณบอกได้หรือไม่ว่า คนที่อยู่ข้างๆคุณตอนนี้ รู้สึกอย่างไร ปิดบังอะไรคุณอยู่หรือเปล่า?
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่า ยากแท้..หยั่งถึง บางครั้งเราก็เก็บกดความรู้สึกบางอย่างไว้ได้ลึกจนใครไม่อาจทราบได้ บางทีเราก็แสร้งกระทำบางอย่างให้คนคล้อยตามในสิ่งที่เราอยากให้เป็น และในหลายๆที
ปากเรา..ก็ไม่ตรงกับใจ
แล้ว...เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คนที่อยู่ข้างๆเราตอนนี้ เขาเป็นอย่างไร เราควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร?
คุณโจ นาวาโร ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ บอกว่า "ก็อ่านท่าทางจากร่างกายเอาสิ" ถามว่าทำไมอ่านได้ ก็เพราะว่า
"ร่างกายไม่เคยโกหก" ไงล่ะ
หนังสือเล่มนี้จะพาผู้อ่านดำดิ่งไปกับการเรียนรู้สัญญาณบางอย่างที่อวัยวะต่างๆในร่างกายของเราเผยออกมา แม้ว่าจิตใจอยากจะอมพะนำมากสักเพียงใด อวัยวะเหล่านี้ก็ได้แค่ ขาและเท้า, ลำตัว, กายและแขน, มือและนิ้ว และ ใบหน้า พร้อมด้วยข้อควรระวังในการจับโกหก
สาเหตุที่สามารถอธิบายแยกได้เป็นฉากๆแบบนี้ เนื่องจากคุณโจเป็นเจ้าหน้าที่ของ FBI ในฝ่ายซึ่งต้องทำหน้าที่สืบสวนตามจับผู้กระทำความผิด และในบางครั้งก็สืบหาคนที่จะกระทำความผิด เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลเหล่านั้นสร้างความเสียหายแก่สังคมและคนรอบข้าง
ประสบการณ์ต่างๆในชีวิตของเขาจึงกลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้ในที่สุด
นอกจากกล่าวถึงอากัปกริยาต่างๆที่ถูกเผยออกมาผ่านอวัยวะดังกล่าวของร่างกายแล้ว ภายในเล่มยังเสริมด้วยเหตุการณ์จริงที่คุณโจประสบทั้งก่อนและขณะปฏิบัติหน้าที่เป็น FBI เช่นว่า การสังเกตคนรอบตัวจนสามารถจับพิรุธได้ก่อนที่ตัวปัญหาจะทำให้สถานการณ์บานปลาย
ตัวอย่างหนึ่งที่เราทึ่งมาก คือตัวอย่างเรื่องแขนเด็ก ที่บอกว่า ถ้าแผลเกิดจากการหกล้ม แผลต้องเกิดบริเวณแขนด้านนอก(ด้านที่จะสัมผัสพื้นเวลาเรากระแทก) แต่ถ้าแผลเกิดที่ท่อนแขนด้านใน เป็นไปได้สูงว่า เกิดจากการทำร้ายร่างกาย...จากใครสักคน อ่านแล้วก็แบบ โอ้
อ่านแล้วรู้สึกทึ่งมากนะ ทึ่งตั้งแต่บทแรกๆเลยที่คุณโจเล่าว่า เขาสามารถรู้ได้ว่าใครชอบเขาหรือไม่ชอบเขาเพียงมองแวบแรกที่เข้ามาในห้อง กล่าวคือ เมื่อเขาปรากฏตัว คนที่รู้สึกในแง่ดีกับเขาจะเลิกคิ้วขึ้น(ตาอาจโตขึ้นเล็กน้อย) แต่หากใครรู้สึกเชิงลบกับเขาก็จะหรี่ตาและคิ้วลง
อ่านแล้วคึกอยากสังเกตตาคนรอบข้างอยู่พักหนึ่ง
อีกอวัยวะหนึ่งที่น่าทึ่งมากคือขาและเท้า คุณโจบอกว่า อารมณ์เรารู้สึกอย่างไร ขาและเท้าจะแสดงออกมาเต็มที่ เช่น ถ้ากำลังรู้สึกลิงโลดอยู่ แม้จะเหมือนนั่งเฉยๆ แต่ขาและเท้าจะเด้งไปเด้งมาละ หรือเวลาคุยกับใครเนี่ย ถ้าเท้าเขาชี้ไปที่ประตู แปลว่าอยากไปแล้ว หยุดคุยได้แล้ว อะไรแบบนั้น
จะว่าไป นั่งสังเกตเท้านี่ก็น่าสนุกดี
อย่างไรก็ดี เมื่อเอามารวมกับทฤษฎีที่ว่า เวลานั่งรวมๆกัน แล้วปลายเท้าใครชี้มาทางเรา แปลว่าเขาสนใจเรา พอชีวิตจริงลองเอามาสังเกตคนรอบข้างแล้วก็แบบ...เอ๊ะ!?
น่าเสียดาย ในหลายๆสถานที่ เช่น ในห้องพิจารณาของศาล ที่คอกพยานจะปิดบริเวณเท้าเสียมิดเลย ไม่อย่างนั้นในห้องพิจารณา เวลาพยานเบิกความ คงมีอะไรน่าสนใจให้สังเกตเพิ่มขึ้นอีกอย่างเป็นแน่
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น คุณโจก็บอกว่า ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วผู้อ่านจะสามารถจับโกหกคนได้ สิ่งที่เขาเน้นย้ำก็คือ ให้ดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนที่คุณสังเกต ชั่วขณะที่คุณพูดหรือทำอะไรสักอย่าง ว่าอีกฝ่ายมีปฏิกริยาตอบกลับเชิงลบหรือบวกอย่างไร ที่แสดงออกมาผ่านร่างกาย และต้องสังเกตดีๆด้วย เพราะมันอาจจะปรากฏเพียงชั่วครู่เท่านั้น
เราแค่จับว่าเขาน่าจะสบายใจ หรือ เขาน่าจะอึดอัดใจ และหากเขาอึดอัดใจแล้วล่ะก็ มันอาจเป็นไปได้ว่า เขาปิดบังอะไรอยู่
เราสนใจหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่แวบแรกที่อ่านคำอธิบาย และเมื่อซื้อมาแล้วก็หยิบมาอ่านซ้ำหลายรอบมาก ถึงกระนั้นเมื่อหยิบมาอ่านซ้ำก็ยังสนุกอยู่ อ่านจบทีก็กระตือรือร้นที่จะสังเกตคนรอบข้างที แต่พอเวลาผ่านไปก็ ช่างมันเหอะ หลายอย่างในเล่มก็ลืมไปแล้ว(ทั้งที่อ่านหลายรอบ - -)
แต่ลืมๆไปบ้างก็ดีเหมือนกัน เวลาอ่านใหม่จะได้สนุกใหม่ไง
จะว่าไป..อ่านอีกสักรอบ ดีไหมนะ?
และสำหรับคุณผู้อ่านที่ต้องการซื้อหนังสือเล่มนี้มาจับโกหกคน เอ๊ย สนใจหนังสือเล่มนี้เพราะอยากรู้เท่าทันคนรอบตัวในมิติต่างๆเพิ่มขึ้น เท่าที่เช็คให้ผ่านโลกออนไลน์ ตอนนี้หนังสือขาดตลาดอยู่นะคะ คงต้องลองหาฉบับมือสองแล้วล่ะค่ะ
ส่วนคนที่รู้จักเราในชีวิตจริง...ถ้าอยากอ่านก็ไลน์มาบอกพี่ละกัน
ขอให้ตามหาหนังสือพบนะคะ
สวัสดีค่ะ
ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่
สวัสดีค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in