Welcome to Atlanta, and Happy Midsummer !
St. Beauty เป็นวงดูโอ้ที่มีสมาชิก 2 คนชื่อว่า Alex Belle และ Isis Valentino ทั้งคู่เป็นของศิลปินของค่าย Wondaland Art Society ซึ่งทั้งคู่มาจากเมือง Atlanta รัฐ Georgia จากที่พวกเธอเคยเป็นพนักงานในร้าน Vintage Store สู่การกลายเป็นศิลปินในค่ายที่มี Janelle Monae เป็น CEO บอกได้เลยว่าความสามารถไม่ธรรมดาแน่นอน
ผลงานก่อนหน้านี้ของทั้งคู่คือได้ไปปรากฏอยู่บน EP : Wondaland Presents : The Ephus ซึ่งนั่นถือเป็นผลงานแรกของทั้งคู่ในฐานะศิลปินและฝากผลงานเพลง Borders ไว้ในอัลบั้ม Insecure : Music from the HBO original series
และในที่สุดทั้งคู่ก็มีอีพีเดบิวต์เป็นของตัวเองซึ่งถูกเปิดตัวผ่านค่าย Wondaland Art Society และ Empire ในวันที่ 19 มกราคม 2018
01. For What (Intro)
For What เหมือนเป็น Intro ที่ทั้งคู่พูดกันและสื่ออารมณ์ถึงการสูญเสียคนรักโดยที่เขาคนนั่นได้จากไปอย่างไม่ใยดีเลย หลังจากการจากไปของเขาคนนั้นก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เศร้าและเข้าสู่ห้วงความคิดของตัวเอง ตรงนี้เป็นเหมือนการเริ่มเรื่องราวในอีพี Running To The Sun นั่นเอง
02. Borders
แทร็กภาคต่อจาก For What? ที่สุดแห่ง heartbreak ที่มีความ romance เข้ามาผสานปะปนอยู่โดยแทร็กนี้เป็นแทร็กที่เคยปล่อยมาก่อนหน้าแล้วได้ไปปรากฏอยู่บนซีรีส์ Insecure ของช่องชื่อดังอย่าง HBO แทร็กนี้ให้ไวบ์ของ Highway ในอเมริกามาก ๆ
แทร็กนี้ยังเปรียบเสมือนเป็นการที่เราได้สูญเสียใครไปสักคนแล้วแต่เรายังรู้สึกรักเขา มีเรื่องราวมากมายที่ยังค้างคาต่อเขา อยากจะเคลียร์ให้มันจบ ๆ อยากจะรับรู้เรื่องราวของเขาต่อแต่เขาคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ให้เราได้แม้แต่จะมองแล้วจนรู้สึกที่อยากจะออกตามหาข้ามโลกกันเลยทีเดียว
ทั้งคู่เคยพูดว่านิยามของคำว่า borders เอง ในเพลงนี้หมายถึงไม่ว่าจะเป็นที่ไหนบนโลก พรมแดนต่าง ๆ เราก็แค่ใช้ชีวิตของเราอยู่ในที่ตรงนั้นหลังจากที่เราทั้งคู่เลือกที่จะจบความสัมพันธ์ไปแล้วก็เท่านั้นเองเปรียบเสมือนการที่เรา move on นั่นเอง โดย Isis ยังได้บอกอีกว่าพวกนางทั้งคู่ก็แค่เล่าถึงหนึ่งในดีเทลเล็ก ๆ ของเหตุการณ์การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง เหมือนเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยเลยก็ว่าได้
แทร็กนี้เหมือนเป็นการที่พวกเธอเริ่มคิดได้แล้วว่าถึงจะเสียใจไปมากเท่าไรก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา หลังจากที่ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาพวกเธอก็ได้ทบทวนถึงความสัมพัมธ์ครั้งนั้น เขาเคยเป็นคนที่โคตรจะเท่ที่ฉันเคยรู้จักมาเลยนี่หว่าแต่แล้วยังไง เขาก็เคยเป็นคนเท่ ๆ คนนั้นที่ฉันเคยรู้จักอยู่ดีและทุกอย่างได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ความสัมพันธ์ครั้งนั้นจบลงแต่พวกนางก็คงยังอาลัยอาวรถึงช่วงเวลาและเรื่องราวดี ๆ กับเขาอยู่ไม่น้อยเลย
04. Tides (Feat. Deante Hitchcock)
เป็นแทร็กแรกและแทร็กเดียวในอีพีนี้ที่มีศิลปินคนอื่นมาร่วมแจมด้วยซึ่ง Deante ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเพราะเขาก็เป็นเพื่อนเก่าตอนมัธยมของ Alex นั่นเองโดย Alex เคยพูดว่าเห็นเขาแรปแล้วมันรู้สึกเจ๋งดีเลยอยากช่วยมาร่วมงานด้วยซึ่งเขาก็ตกลงอย่างไม่ลังเลใด ๆ เลย
โดยแทร็กนี้เองพูดถึงความซับซ้อนของการยืนหยุ่นความสัมพันธ์ที่มันดูคาดการณ์ได้ยากเปรียบเสมือนการที่เราร่องเรือเล็กไปท่ามกลางมหาสมุทธอันยิ่งใหญ่ที่หลาย ๆ สิ่งก็ต่างเกิดขึ้นได้ซึ่งทั้งคู่และ Deante ก็จะพาเราไปพบกับสถานการณ์ดังกล่าวผ่านเสียงร้องและการแรปที่ชวนให้ดำดิ่งและล่องลอยอยู่ในห้วงเวลาของความคิดไปตลอดจนจบเพลง
05. Poor Little Rich Girl (Interlude)
Poor Little Rich Girl เหมือนเป็นความย้อนแยงในตัวเองซึ่งในบทพูดจะเห็นได้ว่าทั้งคู่พาเราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์หนึ่งในห้างสรรพสินค้า จากตอนแรกของทั้งหมดราคารวมอยู่ที่ $131.46 แต่ทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ได้บอกพนักงานให้หยิบของชิ้นสองชิ้นที่เลือกมา เอาออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งราคารวมกลายเป็น $23.39 เป็นเหมือนการที่เราได้รู้จักตัวตนและเรื่องราวของทั้งคู่มากขึ้นด้วย
06. Stone Mountain
ปัญหามากมายที่เปรียบเสมือน ภูเขาลูกใหญ่ ด้วยเสียงร้องของทั้งคู่ที่อ่อนหวาน soulful ให้อารมณ์เสมือนการโอบกอดตัวเอง พูดถึงเรื่อง self-love และการที่เราพยายามไม่กดดันตัวเองจนเกินไปเวลาที่เราทำอะไรสักอย่างผิดพลาด ไปไม่ถึงฝั่งที่หวังไว้ การที่เรารู้สึกไม่พอใจในตัวเอง กลัวกับการเลือกเส้นทางชีวิตในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นเหมือนสถานการณ์ที่ต้องใช้การใคร่ครวญ ไตร่ตรองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเหตุผลต่าง ๆ มากมาย ถึงจะยากลำบากขนาดไหนแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้เติบโตมากขึ้น ถือว่าเป็นแทร็กที่ส่งต่ออารมณ์ให้แทร็กถัดไปได้ดีมาก ๆ
07. Colors
แทร็กที่ดำเนินเรื่องราวผ่านดนตรีเร็กเก้และ dancehall ที่ให้ความสนุกสนาน รื่นเริง ลืมเรื่องราวเศร้า ๆ ที่เคยเกิดมาโดยแทร็กนี้พูดเรื่องการที่เรามาร่วม celebrate ถึงการรักตัวเอง ความมีอิสรภาพ ปลดปล่อยความกล้าที่จะเป็นตัวเองโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นที่เราเคยกลัวหรือคนที่คอยมาบงการเราอีกต่อไป เหมือนการที่เราได้เติบโตขึ้นไปอีกหนึ่งระดับรวมถึงเพลงนี้ยังมีความหมายโดยนัยที่พูดถึงเรื่องเชื้อชาติด้วยว่าเราต้องไม่กลัวและจงเคารพตัวเอง
08. Not Discuss It
พวกเธอทั้งคู่เล่าให้ฟังว่าแทร็กนี้เป็นแทร็กสุดท้ายที่เกิดขึ้นในโปรเจคนี้และได้ใส่ซาวด์ 808 เข้าไปเพราะว่าอยากที่จะทำให้อีพีมันดูมีความ modern มากขึ้นนั่นเองและเพื่อที่จะทำให้แทร็กนี้ได้ถูกเพิ่มไปอยู่ในเพลย์ลิสต์ของใครหลาย ๆ คน อีกทั้งคู่ยังพูดอีกด้วยว่าแทร็กนี้ยังทำให้พวกเธอได้ย้อนรำลึกถึงความหลังใน Atlanta บ้านเกิดอีกด้วย
แทร็กนี้เองได้ดำเนินเรื่องราวผ่านเสียงร้องที่เปรียบเสมือนการเล่าเรื่องอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปที่เป็น mood ตัวหลักของแทร็กเองโดยพูดถึงความสัมพันธ์ที่มันค่อนข้างจะยุ่งเหยิง เหมือนการที่เราพยายามจะใจเย็น ปรับความเข้าใจ พูดคุยด้วยคำพูดดี ๆ อยู่ฝ่ายเดียวแต่สุดท้ายสิ่งที่ได้พยายามมามันก็พังลงและไม่สำเร็จจนมีการทะเลาะกันเกิดขึ้น
09. Seasons (Interlude)
เป็น Interlude ที่สองของอีพีนี้เป็นการพูดเปรียบเปรยถึงการสิ้นสุดและการเปลี่ยนแปลง จากเรื่องที่ให้อภัยได้ยากกลายเป็นเรารักมันแทนเพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ท้ายที่สุดยังไงมันก็ต้องมีวันเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดีไม่ช้าก็เร็วอยู่ดีก็เหมือนกับการที่โลกนี้มีฤดูกาลต่าง ๆ มันไม่มีสิ่งที่ยั่งยืน ผู้คนผ่านเข้ามาในชีวิตและก็ได้ก้าวผ่านออกไป ชีวิตนี้ได้โหมกระหน่ำมาแต่สิ่งที่ไม่ยืนยาวแต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราจะจำได้ก็คือสิ่งน่ารัก ๆ ที่คุณเคยทำไว้ รอยยิ้มของคุณครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสิ่งที่ดูจริงใจมากที่สุด ความกล้าหาญ ความเป็นคุณ ความรักที่คุณเคยมีให้เราเราจะไม่มีวันลืมเลย ตรงนี้ก็ได้โยงถึงเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาที่ทั้งคู่ได้เล่าให้เล่าฟัง เป็นบทพูดที่สวยงามมาก
10. Lucid Dreams
มาถึงแทร็กสุดท้ายแล้ว แทร็กนี้ได้ถูกดำเนินเรื่องราวผ่านเสียงอันหอมหวานนุ่มนวลของทั้งคู่โดยที่ตีความได้ว่าพูดถึงเรื่องการที่เรารักใครสักคนมาก ๆ จนไม่สามารถหยุดคิดถึงเขา ได้แต่เพ้อถึงเขาจนเกิดเป็นเหมือน lucid dreams ขึ้นมา เป็นเหมือนห้วงเวลาแห่งความว่างเปล่า สิ่งที่เราคิดในขณะนั้นก็มีแต่เขาเท่านั้น ฝันถึงที่จะได้อยู่กับเขาจนถึงอยากได้เขาคนนั้นมาครอบครองกันเลยทีเดียว
แต่กลับกันในภาคเนื้อหาเองแล้วดูเหมือนจะเป็นภาคต่อจากเรื่องราว ๆ ก่อนที่ทั้งคู่เล่าเหมือนว่าได้คิดถึงเขาคนนั้นมาก ๆ อยากจะได้เขากลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้ง เรียกได้ว่าการจากไปของเขาคนนั้นได้สร้าง impact มากมายในชีวิตมากเลยทีเดียว
Running To The Sun ถือว่าเป็นการเปิดตัวและนำเสนอถึงเรื่องราวของทั้งคู่ในฐานะของศิลปินดูโอ้ได้ดีมาก ๆ สำหรับเราเลย เหมือนกับการดูหนังแนว coming of age ดี ๆ เรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
ตอนแรกที่ฟังเราไม่ได้คาดหวังเลยแต่ได้อะไรกลับมาเยอะมากบวกกับหลังจากที่รู้ว่าอยู่ค่ายของจาแนลล์ (Wondaland) เองแล้วทำให้เรารู้สึกตกใจมากเพราะตอนฟังคิดว่าทำไมมันมีลายเซ็นความเป็นค่ายของจาแนลล์เยอะมากกก ยิ่งช่วงเพลง colors ลงมายิ่งชัดเลยในความคิดของเราแล้วและพูดได้เลยว่าปกของอีพีนี้สวยมาก ๆ งานอาร์ตของค่ายนี้เราไม่เคยผิดหวังเลย มันดูซ้อนเรื่องราวทุกอย่างเต็มไปหมดรวมถึงปกเองยังทำให้เรานึกถึงหนังอย่างเรื่อง midsommar (2019) จากค่าย A24 อีกด้วย พูดได้เลยว่าเป็นส่วนนึงที่ทำให้เราคลิกมาฟังเพลงของพวกเธอเลย ใครที่ฟังเพลงเพราะปกน่าจะเข้าใจเราดี
เรามาพูดถึงเรื่องของภาคดนตรีบ้างดีกว่าโดยอีพีนี้เองจะคุมโทนด้วยแนว Pop/R&B/Seol/Funk เป็นหลัก ๆ เลย คุ้น ๆ กันใช่มั้ย เหมือนจาแนลล์มาก ๆ ไม่แปลกใจที่จาแนลล์เห็นแววอะไรในตัวของพวกเธอและอีพีนี้เองจะมีโปรดิวเซอร์หลัก ๆ เองเป็น Jon Jon Traxx ซึ่งเคยสร้างผลงานไว้มากมายกับศิลชื่อดังอย่าง Beyonce, Janelle Monae และ Teyana Taylor และคงจะขาดไม่ได้อย่าง Nate Rocket Wonder และ Roto Tom แต่ถึงอย่างนั้นเองทั้งคู่ก็มีส่วนร่วมในการโปรดิวซ์แทร็กถึง 4 แทร็กเลยและ Interlude ทั้งคู่เป็นคนคิดและทำทุกอย่างเองหมดเลย พูดได้เลยว่าเก่งมาก ๆ แค่อีพีแรกก็โชว์ของได้ดีขนาดนี้แล้วทำเอาเราแอบหวังอัลบั้มเดบิวต์อยู่ไม่น้อยเลย
ทั้งคู่ยังเคยพูดอีกด้วยว่าต้องการทำเพลงที่มันเยียวยาและให้แรงบันดาลใจแก่ผู้คนซึ่งเราว่าตีโจทย์ค่อนข้างแตกมากเพราะอีพีนี้เหมือนการที่เราคนฟังได้เติบโตและรับรู้เรื่องราวที่ทั้งคู่สื่อผ่านมาไปทีละขั้นจนจบ พูดได้เลยว่าดึงเราไว้ได้อยู่หมัดเลย
ทั้งคู่ยังเคยให้นิยามของแนวเพลงตัวเองเอาไว้ด้วยเรียกว่า "Confetti" คำนี้ให้ความหมายไปที่ความแตกต่างมากมายของไวบ์ สีสันและอารมณ์ซึ่งทั้งคู่พูดเลยว่าเป็นเหมือนการที่เราอยากจะทำอะไรก็ทำได้เลย ไม่ต้องมีขอบเขตมาจำกัด ไม่อยากหยุดอยู่แค่ในกรอบเพราะโลกดนตรีทุกวันนี้มันกว้างไกลมาก มันเป็นเหมือนการที่ทั้งคู่ได้ค่อย ๆ เติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วย
บอกได้เลยว่าเราประทับใจอีพีนี้ของพวกเธอมากและได้กลายเป็นแฟนคลับไปแล้วเรียบร้อยด้วยเสน่ห์และตัวตนรวมถึงพลังที่ทั้งคู่ได้ใส่มาในอีพีนี้มันส่งมอบให้เราได้อย่างเปี่ยมล้นมาก ๆ ตอนนี้ก็ได้แต่รอคอยอัลบั้มเดบิวต์ของพวกเธอที่เราคิดว่าคงจะไม่ธรรมดาแน่นอนในฐานะศิลปินในค่าย Wondaland Art Society
fact : เผื่อหลาย ๆ คนอาจจะอยากรู้ที่มาของชื่อวง St. Beauty ได้แรงบันดาลใจมากจากเพลง Bird Of Beauty ของ Stevie Wonder
สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณทุกคนที่อ่านกันมาจบจบด้วยนะคะ ขอฝาก Alex Belle, Isis Valentino และ St. Beauty ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของนักฟังเพลงทุกท่านด้วย
"Timing Is Everything, and Black Women have been waiting a long time to get to this moment where we're right now. and i definitely feel that we are a part of that moment"
- Alex Belle from Refinery29
fav tracks : all of them
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in