“คุณแฟรงค์อยู่โรงพยาบาลนี้เหรอครับ?”
“ใช่ครับมีอะไรรึเปล่าครับคุณจอห์น”
“มันคือโรงพยาบาลเดียวกับที่เดฟเขาต้องมาผ่าพิสูจน์...ศพครับ”
เขาสังเกตุได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของคุณจอห์นตั้งแต่รถแท๊กซี่เลี้ยวเข้ามาจอดที่ทางเข้าของโรงพยาบาลแล้วแต่เขาไม่คิดว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นมันจะเกิดจากเรื่องของความบังเอิญนี้ความบังเอิญที่มันเริ่มจะมากจนเกินไปจนมันทำให้เขาหายใจผิดจังหวะ
“พ่อทำ...หืมกลิ่นอะไรอะครับพ่อ?”
ห้องพักของแฟรงค์ถูกเปิดทิ้งเอาไว้พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่2-3 คนกำลังเดินเข้าออกจากห้องนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปที่ห้องด้วยความกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแฟรงค์แต่พอมาถึงหน้าห้องเขาถึงกับต้องผงะเมื่อกลิ่นเหม็นเหมือนกับกลิ่นอับ เหมือนกับกลิ่นอะไรสักอย่างตายหรือที่ถูกหมักหมมมาเป็นเวลานานมันลอยออกมาจากตัวห้องและกระทบเข้ากับจมูกของเขา
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันกลิ่นมันเริ่มมาตอนพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาตอนแรกพ่อคิดว่ามันเกิดจากโซฟาแต่พอลองดมดูก็ไม่ใช่พ่อด็เลยเดินไปที่ตัวของแฟรงค์แล้วพ่อก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นจากตรงนั้นพ่อเลยขอให้พยาบาลเข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าปูแต่ก็ไม่ดีขึ้นแถมตอนนี้พอลูกเข้ามากลิ่นยังแรงขึ้นกว่าเดิม”
“นานยังครับพ่อ?”
“เมื่อ 20 นาทีที่แล้วนี่เอง”
“นี่ทางโรงพยาบาลก็บอกให้ช่างขึ้นไปดูอะไรทางด้านบนเนี่ยแหละ”
“เดฟ” จู่ๆเสียงของคุณจอห์นก็ดังขึ้นแทรกขึ้นมา
“ครับ?”
“น้ำหอมของเดฟ ตอนนี้ผมได้กลิ่นน้ำหอมของเขา”
พ่อมองหน้าของผมเหมือนต้องการคำตอบว่าคนๆนี้คือใครแล้วทำไมเขาถึงได้กลิ่นที่แตกต่างออกไปจากพ่อและเขามากขนาดนี้จากลิ่นเหม็นสาปทำไมถึงกลายเป็นกลิ่นของน้ำหอมไปได้แต่ก่อนที่เขาจะถามตรงจุดนั้นเขาว่าเขาควรแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันเสียก่อน
“คุณจอห์นครับนี่พ่อของผมครับ”
“สวัสดีครับคุณลุง”
“สวัสดีครับคุณจอห์นผมเคยได้ยินชื่อของคุณจากเจ้าทอมมาเหมือนกันขอบคุณมากนะครับที่อยู่เป็นเพื่อนดูแลลูกของผมที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง”
“ด้วยความยินดีเลยครับ”
“คุณจอห์นเมื่อกี้คุณว่าคุณได้กลิ่นน้ำหอมของคุณเดฟ”
เขารู้ว่ามันค่อนข้างเป็นการเสียมารยาทที่ขัดบทสนทนาขึ้นมากล้างป้องแบบนี้แต่มันเป็นสิ่งที่เขาสงสัยมากที่สุดและเขาก็คิดว่าเขาควรที่จะได้รับคำตอบ
“ครับผมได้กลิ่นตั้งแต่เริ่มเดินมาที่หน้าห้องนี้แล้ว นี่ละครับกลิ่นโปรดของเขา”
“แต่ ผมว่ามันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม”
“มันอาจจะแรงไปจนฉุนก็ได้”
“..แต่...”
“ว่าแต่นั้นคือคุณแฟรงค์?”
“ใช่ครับคนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือแฟรงค์”
“ผมไม่คิดว่าผมจะรู้จักเขาและผมก็ไม่คิดว่าเดฟจะรู้จักเขาเหมือนกันผมไม่คุ้นหน้าเขาเลย”
คุณจอห์นที่กำลังยืนอยู่ที่ข้างเตียงของแฟรงค์ส่ายหัวปฎิเสธกับข้อสันนิษฐานที่เราทั้งสองคนคิดเอาไว้ว่าคุณเดฟกับแฟรงค์อาจจะเคยไปเจอกันที่ไหนสักที่หรือรู้จักกันเพราะเรื่องงานทำให้2 คนนั้นสามารถสื่อถึงกันได้แต่สรุปแล้วข้อสันนิษฐานข้อนี้ก็ต้องตกไป
“คุณจอห์นถ้าอย่างนั้นคุณช่วยออกมากับผมและพ่อที่หน้าห้องหน่อยได้ไหมครับ?”
“...”
“คุณจอห์นครับ?”
เมื่อคุณจอห์นไม่มีปฎิกริยาตอบรับกับคำเรียกของเขาเขาจึงเดินเข้าไปแตะที่แขนของคุณจอห์นเพื่อเรียกให้สติกลับมาจากการเหม่อลอยในช่วงเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วมือของเขากับข้อศอกของคุณจอห์นได้สัมผัสกันนั้นมันเหมือนมีแรงไฟฟ้าอะไรสักอย่างช๊อตตรงบริเวณนั้นและไม่น่าเชื่อว่าแรงช็อตจากตรงบริเวณเล็กๆมันจะสามารถดีดเขาออกมาให้ห่างจากพื้นที่ข้างๆ ของคุณจอห์นได้
“เป็นอะไรรึเปล่าคุณทอม?”
คุณจอห์นเดินเข้ามาจะช่วยพยุงให้เขาลุกยืนขึ้นแต่แรงดีดที่ทำให้เขาล้มลงมานั่งที่พื้นมันทำให้เขาเกิดความขยาดเขาจึงปฎิเสธความหวังดีนั้นแล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองเรา 3 คนเดินออกมาให้ห่างจากห้องพักจนเขามั่นใจแล้วว่าจมูกของเขาไม่สามารถได้กลิ่นเหม็นสาปอันนั้นแล้วเขาจึงหยุดเดิน
“คุณจอห์นครับกลิ่นที่ผมกับพ่อได้มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมครับ มันเป็นกลิ่นเหม็น”
“จริงคุณ ผมเองก็ได้กลิ่นเดียวกับลูกของผม”
“แต่ผม...” คุณจอห์นทำหน้าที่ผมเองก็อ่านไม่ออกอยู่สักพักก่อนที่จะพยักหน้าทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผมกับพ่อสื่อ
“งั้นก็เป็นผมคนเดียวใช่ไหมครับที่ได้กลิ่นนั้น?”
“ผมคิดว่าจะเป็นแบบนั้น”
“ถ้าเป้นแบบนั้นสรุปคนที่เข้ามาวุ่นวายกับคุณและแฟนของคุณก็คงเป็นเดฟจริงๆเดฟเขาต้องการอะไร? แล้วทำไมเขาไม่มาหาผม ทำไมเขาถึงมาหาพวกคุณเพราะอะไร?”
“ผมก็...”
ตึกๆๆ “ผู้ป่วยชักๆ มาดูเร็ว” เสียงวิ่งกับตะโกนของนางพยาบาลที่ดูวุ่นวายนั้นดึงดูความสนใจของเขาไปจนหมดเขามองตามทางที่เธอทั้ง 2 คนเดินไปแล้วเขาก็พบว่าทั้ง 2 กำลังตรงไปที่ห้องของแฟรงค์เขารีบวิ่งกลับไปที่ห้องอีกครั้งโดยที่มีพ่อกับคุณจอห์นวิ่งตามเขามาติดๆ
ภายในห้องพักมีนางพยาบาล 2คนกำลังช่วยกันจับแฟรงค์คนละข้างโดยมีอีกคนที่เตรียมจะฉีดยาให้กับแฟรงค์แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยากลำบากเมื่อตัวของแฟรงค์กระตุกอย่างรุนแรงจนไม่มีส่วนไหนอขงร่างกายที่ไม่เคลื่อนไหว
“เดี๋ยวผมขอดูเขาเองครับรบกวนอย่าฉีดยานั้นให้เขาเลยครับ”
“ปล่อยให้คนไข้ชักแบบนี้มันจะไม่ดีต่อร่างกายนะคะ”
คำห้ามของเขาที่กำลังจะพูดต่อต้องหยุดชะงักค้างลงมันก็จริงการชักแบบนี้มันเป็นผลเสียต่อร่างกายมากกว่าข้อดีเพราะฉะนั้นยิ่งทำให้หยุดชักได้เร็วเท่าไหร่มันก็ยิ่งดีแต่ดวงตาของแฟรงค์ยิ่งเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเขาหยุดการห้ามการฉีดยาพร้อมกับยังพยายามส่ายหน้าเพื่อเป็นส่งสัญญาณให้กับเขาว่าไม่ต้องการที่จะโดยฉีดยา
“ผมขอละครับถ้าเขายังไม่ดีขึ้นภายใน3 นาที ผมสัญญาว่าผมจะยอมให้คุณให้ยากับคนไข้”
“ได้ค่ะ มีอะไรกดเรียกพวกเราเลยค่ะ”
แววตาของแฟรงค์ที่ส่งมานั้นเต็มไปด้วยคำขอบคุณแต่น่าแปลกที่ทำไมเหมือนเขากำลังสบตากับคนแปลกหน้าไม่ได้สบตากับแฟรงค์แต่เขามีเวลาให้ผมสงสัยได้ไม่นานแววตานั้นมันก็เปลี่ยนไปเป็นแววตาของความเศร้าเวลาที่แฟรงค์เห็นใครอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบกับเขาที่ทางด้านหลัง
“เดฟ....” เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับคุณจอห์นที่อยู่ๆก็เรียกแฟรงค์ว่าเป็นเดฟ
“เดฟ ทำไมเดฟทำแบบนี้ ทำแบบนี้ทำไมทำไมมีอะไรไม่เข้ามาคุยผมโดยตรงเดฟ...”
“พอเถอะครับ คุณออกไปรอข้างนอกเถอะครับ”
“ไม่เอาผมไม่ออกไป ผมจะอยู่ฟังคำตอบจากเดฟ”
“นี่คือแฟรงค์ไม่ใช่เดฟอะไรของคุณ!!ถ้าคุณไม่ออกไปผมจะกดเรียกให้ยามมาลากตัวคุณออกไป”
เขาอยากให้คุณจอห์นออกไปจากห้องนี้ก็เพราะยิ่งคุณจอห์นเดินเข้ามาใกล้เตียงมากเท่าไหร่แรงกระตุกจากตัวของแฟรงค์ก็จะยิ่งแรงมากขึ้นเท่านั้นเขาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคุณจอห์นยังพอฟังเขาบ้างและออกไปรอทางด้านนอกเขาเห็นจากทางซี่หน้าต่างว่าคุณจอห์นไปนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ที้รอเพื่อพบคนไข้ที่ตรงประชาสัมพันธ์ของชั้นไม่ได้เดินลงไปทางด้านล่างอย่างที่เขากังวลว่าคุณจอห์นจะกลับบ้านไปเมื่อเห็นว่ามันเป็นไปตามที่เขาต้องการเขาก็ใช้เวลากอดแฟรงค์เอาไว้ปลอบให้แฟรงค์สงบลงแล้วครั้งนี้เขาก็ใช้เวลาเพียงไม่นานแฟรงค์ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็หยุดการสั่นกระตุกและนอนเอาหน้าซุกอยู่ที่แผงอกของเขา
“เขาไม่ฟังผมเลย”
“ครับ? คุณว่าไงนะแฟรงค์”
“เขาไม่ฟังผมเลย เขาไม่เคย”
แล้วนั้นมันก็เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่แฟรงค์จะหลับตาลงอีกครั้งเพราะความเพลียพ่อเดินเข้ามาตบบ่าของเขาเพื่อให้กำลังใจพร้อมกับยังให้สติว่ายังมีใครอีกคนยังรอเขาอยู่ที่ทางด้านนอกของห้องพักเขาจึงยกหน้าที่ดูแลแฟรงค์ต่อให้กับพ่อแล้วออกไปพูดคุยเรื่องธุระให้เสร็จ
“ทำไมคุณถึงเรียกเขาว่าเดฟ?”
“เขามองตาผมครับและผมก็จำแววตาอันนั้นได้ว่ามันคือแววตาของเดฟที่เขาใช้มองผมมันมีแวบนึงที่เป็นหน้าของเดฟขึ้นมาอีกอย่าง....”
“อีกอย่าง?”
“ช่างมันเถอะครับ”
“คุณต้องบอกผมนะคุณจอห์น คุณเห็นแล้วใช่ไหมว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างแล้วคุณเองก็เห็นสภาพของแฟรงค์เองกับตาคุณจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้จริงๆเหรอ?”
“แล้วถ้าผมบอกออกไปมันจะช่วยอะไรได้ย่างนั้นเหรอครับ!!”
“มันก็อาจจะช่วยได้หรือช่วยอะไรไม่ได้เลยแต่มันก็ดีกว่าที่ไม่ได้ลงมือทำหรือยังไง??!!”
ทั้งชั้นตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่เขาได้ตะโกนเอาความคับแค้นใจของเขาออกไปคุณจอห์นก้มหน้าเงียบใช้ความคิดไปสักครู่ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดในสิ่งที่เหลืออยู่นั้นออกมาให้ผมได้รู้
“การกระตุกนั้นของคุณแฟรงค์...มันเหมือนกับแรงกระตุกเฮือกสุดท้ายก่อนที่เดฟจะเสียชีวิต”
“คุณเห็น?”
“ครับ”
“แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อภาพที่ผมในฝันเหมือนคุณออกจากบ้านไปแล้ว”
“ตอนนั้นมันเป็นภาพนิ่งหรือภาพที่เขากำลังกระตุกอยู่ละครับ?”
“ถ้าผมจำไม่ผิดคุณเดฟนิ่งไปแล้ว”
“นั้นคงตอนที่ผมวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้นครับตอนที่เขาตกบรรไดลงมาผมยังไม่ได้ออกจากบ้านหลังนั้นครับ”
“คุณหมายความว่ายังไง??”
“หลังจากที่เรามีปาดเสียงครั้งล่าสุดเรื่องแม่ของผมเขาวิ่งตามผมมาทันครับเรายื้อยุดกันที่ตรงบรรไดผมสะบัดมือของเขาออกเพราะผมยังไม่อยากที่จะคุยกับเขาแต่แล้วเขาก็พลาดล่วงตกลงไปที่ขั้นบรรไดคุณเข้าใจไหมคุณทอมว่าผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุคุณทอมมันเป็นอุบัติเหตุ”
“คุณได้บอกเรื่องนี้กับใครไหมครับ?”
“เปล่าครับผมไม่ได้พูดกับใครแม่ผมไม่ให้ผมพูดกับใครถึงเรื่องนั้น”
สิ่งที่เขาได้ยินมันทำให้เขาต้องทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ข้างๆของคุณจอห์น เพราะมันเป็นแบบนี้เองสินะแฟรงค์ที่เป็นสายตาของคนอื่นถึงได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ตรงนั้นและ ’กลิ่นสาป’ ที่เหม็นเน่านั้นก็คงโฉยออกมาให้รู้ถึงความลับที่เหม็นเน่าที่ซ่อนเอาไว้สินะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in