วันเวลากำลังหมุนวนเวียนต่อไปอย่างไม่จบสิ้น แน่นอนว่าเวลานั้นไม่เคยหยุดเดิน มันไม่ย่อท้อต่อการเดินในแต่ละเสี้ยววินาที แต่มนุษย์นั้นแตกต่างกับธรรมชาติของเวลา นั่นก็คือคนส่วนใหญ่มักจะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ มองเห็นปัญหาของคนอื่นใหญ่เท่าภูเขา แต่มองเห็นปัญหาของตัวเองเล็กเท่ามด ยิ่งเราใช้ชีวิตกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจะพบว่าสิ่งมีชีวิตใดที่พยายามต่อกรกับธรรมชาติอย่างไม่หยุดหย่อน สิ่งมีชีวิตนั้นก็มักจะพบเจอความสุขสมบูรณ์สืบไป.
จุดเริ่มต้นคือความไม่ยอมแพ้
เมื่อมนุษย์เรามีพลังภายในอยู่ในตัวเองกันทุกคน นั่นก็คือพลังแห่งความดื้อดึง ดึงดัน ไม่ยอมแพ้ต่อทุกสรรพสิ่งตรงหน้า กระนั้น ถ้าเรากำลังเดินทางไปยังดินแดนใดสักแห่ง เราก็ย่อมพบเจออุปสรรคขวากหนามเป็นแน่ แล้วการที่เราจะฟันฝ่าปัญหาต่าง ๆ นานา ไปได้นั้นเราก็จำเป็นจะต้องเป็นคนไม่ย่อท้อต่อการเผชิญหน้า การไม่หยุดหย่อนในการต่อสู้กับศัตรูโดยตรง รวมถึงความกล้าหาญที่เป็นคุณสมบัติร่วม มันจึงเป็นที่มาของคำว่าคนสู้ชีวิต หากแต่เพียงคนสู้ชีวิตนั้นไม่ใช่แค่เราสู้โดยที่ไม่ได้คิดคำนึงถึงสิ่งอื่น แต่เป็นคนสู้ชีวิตจำเป็นจะต้องคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ เราสู้ชีวิตไปเพราะอะไร แล้วถ้าชีวิตนั้นสู้เรากลับ เราจะทำอย่างไรกับมันได้บ้าง.
ถ้าวันใดชีวิตเริ่มสู้เรากลับ เราก็จำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองอยู่เนือง ๆ
อย่าเป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ถ้าตั้งใจอะไรแล้วก็จงเป็นคนที่มองอนาคตให้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะยิ่งเรามองได้กว้างไกล วิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตก็ยิ่งเปิดกว้างตามไปด้วย เมื่อลักษณะที่ดีปรากฏเกิดขึ้น การที่ชีวิตเราจะเห็นด้วยก็ย่อมเด่นชัดขึ้น จิตใจจะเริ่มน้อมไปในกระแสของความมุ่งมาดปรารถนา มีความเห็นว่าปัญหาจะเล็กจะใหญ่ หาอยู่ที่ตัวปัญหาไม่ แต่กลับกลายเป็นมุมมองของเราเองเสียมากกว่าว่า มองปัญหานั้นด้วยท่าทีอย่างไร แล้วมันไม่เป็นไรเลยที่เราจะผิดพลาดบ้างในชีวิต แต่ขอจงเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาฟ้าลิขิตก็พอ.
ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน
ไก่หรือไข่อะไรเกิดก่อนกัน คำถามที่แม้แต่นักปราชญ์ก็ยากที่ตอบเป็นเสียงเดียวกันได้ เพราะมันเป็นเพียงแค่สมมติฐาน จากความน่าจะเป็น เมื่อความน่าจะเป็นกลายเป็นความเป็นไปได้
ชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกันกับธรรมชาติ เมื่อเราใช้งานธรรมชาติได้อย่างชาญฉลาด เมื่อนั้นเราก็จะกลายเป็นคนที่มีปัญญาในแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกวิธี และลัดสั้นที่สุด เมื่อปัญหาของคนเราส่วนใหญ่ คือการตรวจดวงชะตา มองไปเสียว่าทุกสิ่งถูกกำหนดมาหมดแล้ว ทำไมเราถึงจะต้องไปดึงดันกับโชคชะตาเหล่านั้นด้วย แต่เมื่อเริ่มมีคนตั้งคำถามกลับไปว่า แล้วถ้าอดีตเป็นที่มาของปัจจุบัน แสดงว่าปัจจุบันก็ย่อมเป็นที่ไปสู่อนาคตด้วยมิใช่หรือ.
ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน เป็นคำเปรียบเทียบกับบุคคลที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาฟ้าลิขิต เล็งเห็นถึงศักยภาพที่ตนเองนั้นมีอยู่ ไม่ว่าจะมีร่างกายแข็งแรงครบถ้วนสมบูรณ์ มีเงินทองพอประมาณที่จะเลี้ยงชีพให้อยู่รอดปลอดภัยได้ เราจึงเห็นผู้คนมากมายในสังคมที่กำลังตั้งคำถามกลับไปว่า เราจะสามารถสู้ชีวิตได้ถึงเพียงใดกันแน่ วันนี้คือวันแรกที่เราจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือว่าเป็นวันแรกของการที่เราจะถอยหลังกลับไปจากจุดที่เรายืนอยู่ ไม่ว่าเราจะเลือกทางเดินไหน อาจจะไม่สำคัญเท่ากับว่า เรารู้ชัดว่าเราเป็นคนวาดภาพของอนาคตด้วยมือของเราเองรึเปล่า ยิ่งเรามั่นใจว่าสองมือนี้ของเรากำลังรังสรรค์ภาพที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ นั่นก็คือเราเป็นคนลิขิตตนเองอยู่อย่างเสมอ.
ยอมแพ้กับพ่ายแพ้นั้นต่างกัน
การพ่ายแพ้อาจจะไม่ได้สลักสำคัญไปมากกว่า การยอมแพ้ก็เป็นได้ เพราะจุดเริ่มต้นของชีวิตที่จะเป็นจุดเปลี่ยนไปยังอนาคต นั่นก็คือการพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่ไม่สามารถจะต่อกรกับมันได้อีกแล้ว เมื่อเรายอมรับว่าเราแพ้แล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาสู้ได้ ซึ่งมันจะทำให้เราไม่ตระหนักถึงความสำคัญอะไรได้เลย เพราะเราเป็นคนที่ยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นผู้แพ้จริง ๆ หากทุกการตัดสินใจ และทุกการแข่งขันต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมต้องมีทางที่ใช่ และย่อมต้องมีผู้แพ้ผู้ชนะ หากแต่เพียงผู้ที่พ่ายแพ้ย่อมรู้ชัดว่า ตัวเองไม่ได้ยอมแพ้ในจิตใจเบื้องลึก แต่กลับกลายเป็นพ่ายแพ้ต่อประสบการณ์หรือว่า การฝึกฝนที่ยังไม่ชำนาญเพียงพอก็เท่านั้นเอง.
จุดจบของความยอมแพ้นั้น ก็คือเป็นคนที่แพ้อยู่อย่างนั้นตลอดไป ชีวิตไม่ได้มาบอกกับเราว่า ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นได้ดังใจเราไปเสียทั้งหมด แต่ชีวิตกำลังสอนเราและให้เราเข้าใจไปว่า
เรานั้นก็คือสิ่งมีชีวิตในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เราก็ย่อมต้องมีบาดแผล ต้องมีความเจ็บช้ำเป็นเรื่องธรรมดา แล้วถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติ เราก็จะไม่เข้าใจตัวเองอย่างแท้จริงว่า ชีวิตนี้เราจะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคอย่างไรได้บ้าง ทุกสังเวียนย่อมได้ประสบการณ์ และทุกเวทีย่อมได้การเรียนรู้กลับมา แต่ถ้าเราไม่เปิดรับสิ่งใดเลยในชีวิต เราคิดว่าการยอมแพ้กับการพ่ายแพ้มันจะไปแตกต่างอะไร ทว่า มันก็จะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนอกจากวนอยู่ที่เดิมตลอดไป.
อย่าหยุดที่จะเดิน
ทุกย่างก้าวที่เรากำลังก้าวขาเดินออกจากบ้าน วันนั้นจะเป็นวันแรกที่เราสามารถตระหนักรู้ได้เลยว่า มันเป็นก้าวที่สำคัญยิ่ง เพราะถ้าหากเราไม่เริ่มต้นเดิน แน่นอนว่าจุดหมายที่เราหมุดหมายไปย่อมไม่ใช่ฐานะที่พึงจะทำได้เลย วันนี้จึงเป็นวันที่เราค้นพบตัวเองแล้วว่า
ความไม่ย่อท้อคือเราจะสู้ต่อไปเรื่อย ๆ เดินต่อไปท่ามกลางเมฆหมอกที่บดบังทัศนียภาพ รวมถึงความศรัทธาที่มีต่อตนเองและผู้อื่นรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เปิดใจที่จะยิ้มรับกับปัญหาที่กำลังมายังที่ตัวเรา นั่นแหละจึงจะกำหนดนิยามคำว่า เป็นคนสู้ชีวิตได้อย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุดเวลาเราเหนื่อยกับการใช้ชีวิตก็แค่หยุดพักสักหน่อย แต่อย่าลืมที่จะต้องเดินต่อไป อย่างน้อยเราก็จะได้เรียนรู้ในชีวิตได้ว่า ความสำเร็จไม่ใช่เป็นของง่ายดาย.
ความเหนื่อยล้าใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา ขอให้มันเป็นเพียงสิ่งที่มายั่วยวนให้เราถอยหลังกลับไปยังจุดที่เรามา ไม่ใช่ว่าเราไปมองว่าการเดินทางนั้นยากเย็นแสนเข็ญ แถมมองไปอีกว่าทุกสิ่งที่เป็นปัญหานั่นคือทางที่ไม่ใช่สำหรับชีวิตของเราเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทุกทางที่เราทุกคนล้วนตัดสินใจเดินทางไป ก็ล้วนแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้นเลยแม้แต่คนเดียว การรับรู้ภาพตามความเป็นจริง และการตระหนักว่าเราทุกคนล้วนอยู่บนสังเวียนเดียวกัน นั่นคือสังเวียนของธรรมชาติ ที่เป็นสังเวียนของการต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้ง มันจึงเป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เช่นนั้นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือความคิดต่อปัญหาต่าง ๆ นั่นเอง.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in