เมื่อถึงวันที่เราทุกคนต้องยอมรับความจริง เมื่อนั้นทุกอย่างจะหยุดนิ่ง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมา ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาหลอกล่อให้เราติดกับดัก แล้วก็จากเราไปเสมือนว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ความเงียบสงบเปรียบดังความจริงที่อยู่ภายในจิตใจของเรา แล้วทุกคนก็มักจะหลีกเลี่ยงที่จะเจอความจริงข้อนี้ ก็เพียงเพราะว่าความจริงอันเจ็บปวดที่สุด ก็คือความสงบที่ปราศจากความเข้าใจใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเราน้อมรับความจริงข้อหนึ่งว่า เราทุกคนต้องการความเงียบสงบ เราจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น.
สุขอยู่ที่ใจ
เป็นเวลาที่ล่วงเลยผ่านมาหลายทศวรรษ ในการที่มนุษย์สักคนหนึ่งจะค้นพบว่า สิ่งที่ง่ายที่สุด เช่น ความปล่อยวาง หรือว่าสุขอยู่ที่ใจใช่อื่นใดนั้น มันเป็นความจริงที่เรารู้กันอยู่แล้ว แต่กระนั้นทำไมมีผู้คนมากมายที่ไม่เข้าใจว่าการปรับเปลี่ยนที่จิตใจมันง่ายกว่าการไปปรับเปลี่ยนสิ่งภายนอกเป็นไหน ๆ ซึ่งการกระทำที่ดูย้อนแย้งกัน ก็จะเกิดขึ้นมาเป็นระลอก เหมือนคลื่นที่เข้ามากระทบฝั่งไม่มีวันจบสิ้นกันเสียที ถ้าเราลองเปรียบเทียบความสุขนั้นเป็นเหมือนคลื่น แล้วชีวิตเราเป็นเหมือนฝั่ง ความสุขมันก็มักจะเข้ามาที่ชีวิตเราเสมอแหละ เพียงแต่เราไม่เคยที่จะรับฟังความสุขกันสักเท่าไร มองว่ามันก็คือความเป็นปกติแบบนั้น สิ่งใดที่เป็นปกติ สิ่งนั้นเราก็มักจะเพิกเฉยกันไป รวมถึงมองว่าไม่มีความสลักสำคัญใด ๆ เลย.
ความหมายของจิตใจนั้น ก็คงหมายถึงสิ่งที่เรารับรู้สิ่ง ๆ หนึ่งว่า สิ่งนั้นที่มากระทบจิตใจนั้นคืออะไร ส่วนการตีความหมายอาจจะไม่ใช่อยู่ที่จิตใจทั้งหมด เพียงแต่มันเป็นแค่ตัวรับรู้หนึ่งที่คอยดักจับสัญญาณภายนอก ว่าอะไรบ้างที่เข้ามา และอะไรบ้างที่ไม่เข้ามา
ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่เฉพาะเจาะจง เฉกเช่นเดียวกับความทุกข์ เพราะว่าความสุขมันขึ้นอยู่กับระดับความพึงพอใจในชีวิต บางคนมีความพึงพอใจในชีวิตมาก โดยที่เขาไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่ต้องครอบครอง เขาก็มักจะมีความสุขมาก แปลตรงตัวก็คือ ความสุขจะแปรผันตามความพอใจ ถ้าพอใจเมื่อไรก็สุขเมื่อนั้น สิ่งที่ง่ายดูเหมือนจะยากสำหรับบางคนอย่างยิ่ง และความปล่อยวางต่อสิ่งต่าง ๆ ก็มาเป็นส่วนสำคัญต่อไป.
ปล่อยวางได้ใจจึงสงบ
ชีวิตคือความเคลื่อนไหว หากไม่มีความเคลื่อนไหว ทุกสิ่งอย่างนั้นก็ปราศจากชีวิตกันไป ภาพต่อเนื่องที่เราเห็นกัน เป็นเพียงภาพหนึ่งภาพที่คอยย้ำเตือนเราว่า วันนี้เป็นวันที่เราควรทำอะไรมากที่สุด ถ้าเราทำสิ่งที่เอื้ออำนวยไปสู่ผลลัพธ์คือความสงบ เราก็จะได้อยู่กับความสงบร่มเย็น แต่ถ้าเราไม่ได้ทำเหตุนั้นมาก่อน ทุกสิ่งก็จะกลายเป็นเพียงความเพ้อฝันของคนหนึ่งคนบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง
ความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมาได้เพราะว่าเราได้กระทำสิ่งหนึ่งลงไปบนโลก จารึกบนกระดาษที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตก็คือสิ่งที่เราต้องเคลื่อนไหว แต่ถ้าเราเคลื่อนไหวอย่างพอดี เช่น ลองปล่อยวางสิ่งที่เราไม่สามารถบังคับมันดูหน่อยละกัน ลองอะไรที่เราไม่เคยลองโดยมีกรอบของคุณธรรม.
ความปล่อยวางมันจะเป็นตัวช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ ถ้าเรารู้จักมองเห็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด อย่างน้อยเราก็จะพบว่าอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ เราก็ลองที่จะปล่อยวางกับมันไป แล้วหันมาปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า สิ่งใดควบคุมได้ เราจะพยายามโฟกัสไปที่จุดนั้นให้เยอะที่สุด กระนั้น ชีวิตของเราในอนาคตก็จะค่อย ๆ ถูกเปลี่ยนแปลง หรือเข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น แม้แต่คำเพียงคำเดียวที่ยากแท้จะหยั่งถึง ก็ยังสามารถช่วยชีวิตให้เรามีสติมากขึ้น ทำให้เราไม่หลงระเริงอยู่บนพื้นฐานของความไม่เข้าใจ เปลี่ยนทิศของการเดินหลงทาง ให้กลับกลายเป็นการอยู่ในทิศทางที่บ่ายหน้าไปยังความสงบร่มเย็นมากขึ้น แล้วเราจะพบว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น.
สอบทานทุกสิ่งตามสิ่งที่มันเป็นไป
แม่น้ำลำธารที่สงบนิ่ง คือแม่น้ำที่จะเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ร่ำไป หากวันใดมีมรสุม เราก็มิอาจจะเห็นสิ่งใดภายใต้แม่น้ำเหล่านั้นได้เลย ชีวิตก็เปรียบเสมือนแม่น้ำที่สงบนิ่ง และแม่น้ำที่มีมรสุม เราไม่สามารถกำหนดให้ชีวิตเราพบเจอกับสิ่งใด แต่ถ้าวันใดเราสามารถเห็นจิตใจของเราแจ่มชัดขึ้น วันนั้นเราก็จะเห็นสิ่งที่มันควรจะเป็น ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะมีบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามวิถีที่มันควรจะเป็น ไม่มีความบังเอิญบนโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้ตั้งอยู่ตามกฎของเหตุและผลอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตใจต่างจากแม่น้ำตรงที่เราสามารถฝึกฝนได้ แต่ธรรมชาติไม่สามารถถูกฝึกฝนได้ เราก็จะตระหนักรู้ได้ว่า วันนี้คือสิ่งที่เราต้องสอบทานมากขึ้นตามวันและเวลาที่ผ่านพ้นไป.
การเห็นตัวตนที่ชัดเจน เราก็จะพบเจอบางสิ่งบางอย่างที่เรายังไม่เข้าใจมันทั้งหมด มันอาจจะมาพร้อมกับคำถามมากมาย แต่มันก็มีความคุ้มค่าในการอยู่กับความสงบนิ่งบ้างสักเล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดเราก็จะเจอตัวตนอีกมุมหนึ่ง ที่เราก็ยังไม่เชื่อว่าเราจะพบเจอตัวเอง
ลองสังเกตธรรมชาติรอบตัวของเราดู ความเคลื่อนไหวนี้แตกต่างจากความเคลื่อนไหวของความคิดเราหรือไม่ ถ้ามันแตกต่าง แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร หรือถ้ามันไม่แตกต่าง แล้วมันมีความคล้ายคลึงกันอย่างไร การสอบทานจะมีประโยชน์ตรงที่จะช่วยเราตรวจสอบความถูกต้องของความคิดเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ปักใจเชื่อสิ่งใดแล้วนำชุดความคิดนั้นไปสอบทานกับทุกสิ่ง แต่ต้องอย่าลืมที่จะสอบทานความคิดของตัวเองอยู่เสมอ.
ยิ่งสงบนิ่งยิ่งเห็นความจริง
เราทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง กระนั้น บ้างก็คิดถูก บ้างก็คิดผิด แล้วอะไรเป็นสิ่งที่จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า ความคิดนี้ถูกหรือผิดอย่างไร เมื่อเราตั้งคำถามถูก คำตอบก็มักจะถูกตาม ส่วนเรื่องหนทางของการจะหาคำตอบนั้นก็คงมีไม่มาก แต่ยุคสมัยนี้ยังพอมีคำตอบหลงเหลืออยู่แน่นอน
ทุกชุดความรู้ มักจะมีข้อบกพร่อง และข้อบกพร่องนั้นคือการที่ชุดความรู้นั้นมาจากบุคคลใด และบุคคลนั้นเขามีวิถีชีวิตเป็นเช่นไร บางครั้งเราอาจจะไม่เชื่อถ้าเขาไม่ใช่คนดี ซึ่งก็แน่นอนว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะมันคือความรู้สึก แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งว่า ไม่ว่าคำพูดนั้นมาจากใคร เราต้องอย่าลืมสอบทานว่า มันคือความจริงหรือไม่ และความสงบนิ่งจะมาเป็นสติ ที่ทำให้เกิดสมาธิ และปัญญาต่อไป.
ปัญญาจะมาเป็นตัวแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ออกจากกัน ไม่ใช่แค่เราควรใช้ปัญญา แต่เรากลับกลายเป็นต้องใช้ปัญญากันอย่างหนักหน่วงมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่เรามักจะเห็นชุดข้อความ หรือชุดความรู้ตลอดเวลา มันคือหลักการ ความเชื่อ รวมไปถึงความงมงาย ที่กำลังถาโถมมายังคนรุ่นใหม่ที่อาจจะยังขาดวิจารณญาณกันอยู่ แล้วปัญหามันจะตามมา ถ้าเราไม่สามารถรักษาความสงบได้ ยิ่งเราสงบนิ่งมากเท่าไร เราก็จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจิตใจของเราเองหรือความคิดที่เรากำลังจะตัดสินใจกระทำสิ่งหนึ่งลงไป ปรัชญาเป็นเพียงข้อความ ที่รอวันที่มีคนมาพิสูจน์ แล้วหน้าที่นั้นเป็นของมนุษย์ทุกคน.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in