หากว่าความจริงใจเหมือนกับน้ำเปล่าที่บริสุทธิ์ การดื่มกินก็คงจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเปรมปรีดิ์เกษมศานต์ แล้วชีวิตที่ขาดความจริงใจก็คงเต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ระทมขมขื่น แต่การจะมีเพียงแต่ความจริงใจ แต่ปราศจากปัญญานั้นก็หาใช่ทางไม่ การมีความจริงใจเปรียบเสมือนใบเบิกทางให้กับชีวิต เป็นความจริงต่อใจที่เรามักจะมอบให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ โดยปราศจากความอยากได้ใคร่มีจากสิ่งใด ๆ ก็ตาม.
จุดเริ่มต้นของความจริงใจ
ชีวิตที่ดีจะมาเป็นตัวชี้วัดว่า เรานั้นมีคุณค่าต่อสรรพสิ่งเพียงใด หากคุณไม่เคยมีความจริงใจกับสิ่งใดเลย สิ่งนั้นก็ไม่มีวันที่จะจริงใจกับคุณกลับเช่นกัน เหมือนกับว่าเราทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นตอบกลับมา มันเป็นเพียงกฎที่อยู่กับโลก และอยู่คู่โลกนี้มานานแสนนาน การที่เราจะไปเพิกเฉยหรือว่าก่นด่าโชคชะตาก็ไม่ใช่ฐานะที่เราพึงจะทำได้เลย วันนี้จึงเป็นวันที่เราควรจะเริ่มต้นจริงใจกับผู้คนรอบข้าง และสัตว์อื่น ๆ มากมายที่เราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน ถ้าการไม่ทำร้ายกันเป็นความจริงใจล่ะก็ นั่นอาจจะเป็นคำตอบแล้วก็ได้ว่า เราไม่ควรจะทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกาย ทางวาจา หรือทางความคิดก็ตามแต่.
การมองอีกบุคคลหนึ่งอย่างจริงใจนั้น เปรียบเสมือนการมองคนอื่นเป็นคนในครอบครัว ไม่ได้แบ่งแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก หรือแบ่งสิ่งใดออกจากกัน เรามองเขาคือเรา และเราก็คือเขาเฉกเช่นเดียวกัน หากว่าเรามองแบบนี้แล้วไซร้ ความจริงใจก็ย่อมเกิดขึ้น และเบ่งบานขึ้นเป็นแน่ การทำร้ายซึ่งกันและกันจะเบาบางลงไปอย่างมหาศาล รวมถึงอาจจะหมดไปจากโลกใบนี้เสียด้วยซ้ำไป ความรักที่มีต่อพวกพ้องเป็นสิ่งที่ดี แต่ความรักนั้นก็ควรเปี่ยมไปด้วยความจริงใจเสมอ ไม่เช่นนั้นก็กลายเป็นอคติกันไป แถมยังมาพร้อมกับการที่ลำเอียงมองไปว่า คนของเราดีเสมอ ไม่มีทางที่จะไปทำร้ายใครได้เลย.
ปัญหาคือมองคนอื่นว่าเป็นคนอื่น
เราควรจะน้อมรับความจริงอยู่ข้อหนึ่งว่า คนอื่นไม่ใช่คนอื่น เราและเขาล้วนเหมือนกัน ทั้งหมดทั้งมวลทั้งเราและเขาไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เราต้องการความสุข เขาก็ต้องการความสุขเช่นกัน เราไม่ต้องการความทุกข์ เขาก็ไม่ต้องการความทุกข์เช่นกัน เวลาเราบอกสอนใคร ไม่ว่าจะเป็นลูก เพื่อนลูก หรือแม้กระทั่งบุคคลอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเราแม้แต่น้อย หากเรามองเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่า การจะไปบอกสอนเขาย่อมเปี่ยมไปด้วยการเอาชนะ แก่งแย่งชิงดีกันเสียมากกว่า ไม่ได้มีความจริงใจเป็นส่วนประกอบหลักเลย เพียงแต่การจะไปตักเตือนผู้ที่ด้อยกว่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน.
คุณสมบัติของผู้ดีนั้น ไม่ใช่เพียงแต่เกิดมาในตระกูลที่ดีเพียงส่วนเดียว แต่เป็นเพียงที่เรารู้ชัดว่า คนที่ต่ำต้อยด้อยค่ากว่าเรานั้น ล้วนแต่มีความสำคัญไม่แพ้ไปกว่าเรา หลังจากนั้นชนชั้นจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป ก็ในเมื่อเรารู้ชัดแล้วว่า การจะไปคิดว่าคนนั้นสูงกว่าเรา คนนี้ต่ำกว่าเรา มันไม่ใชฐานะที่สมควร เพราะเราสูงใช่ไหมจึงต้องพึ่งพาคนที่ต่ำกว่า ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่ได้สุขสบาย เงินทองที่มากมายนั้นมีได้ก็เพราะคนทุกคนล้วนแต่เชื่อมั่นในสินค้าและบริการของเรามิใช่หรือ ชีวิตที่จะสุขสบายไม่ใช่เกิดจากอัตตาตัวตนที่ใหญ่โต แต่กลับเป็นการลดทอนอัตตาตัวตนลงอย่างยิ่ง เพื่อที่จะยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น.
ทุกคนต้องการสิ่งเดียวกัน
การจะไปมองว่าเขาคือเขา และเราคือเรา นั่นคือต้นตอปัญหาของทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำ การแบ่งชนชั้น และการเหยียดเชื้อชาติกัน ถ้าเรามองแบบนี้ปัญหาจะเกิดทุกหย่อมหญ้า แต่ถ้าเรามองว่าทุกคนก็คือมนุษย์ และมนุษย์ก็ต้องการสิ่งเดียวกัน รวมถึงมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเดียวกันด้วย ก็คือความสุขที่แท้จริงในชีวิต ความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์นั้น ก็เหมือนเราหยิบยื่นโอกาส สถานะ และสิ่งของที่ดีให้แก่กันและกัน ไม่ได้มีความประสงค์ร้ายต่อกัน เปรียบเหมือนดั่งเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้านที่คอยเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มองว่าถ้าเขาเดือดร้อนเราก็ย่อมเดือดร้อนใจตามไปด้วย.
การคดโกงกันก็ย่อมมลายหายไปเช่นเดียวกัน ก็เนื่องด้วยสังคมสมัยนี้มักจะชอบฉวยโอกาส และมองเห็นความจริงใจของเพื่อนมนุษย์นั้นเป็นสิ่งไร้ค่า คนดีเหมือนคนโง่เขลาเบาปัญญากันไป แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพียงเพราะแค่ความหลงในความไม่ดีนั่นแล ทำให้พวกเขาเหล่านั้นติดอยู่ในวังวนแห่งภาพลวงตา ไม่มีสิ่งใดมั่นคงและถาวร หากว่าเราจะคดโกงใคร ลองไตร่ตรองให้ดีว่า อาชีพที่เราทำนั้นจะมีความสุขได้อย่างแท้จริงหรือไม่ เราจะต้องหนีและหลีกเลี่ยงกับการกระทำของเราไปอีกนานเท่าไรกัน แทนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นความจริงใจแทน นี่สิจะเป็นทางที่มั่นคงกว่ากันยิ่งนัก.
เป็นที่ยอมรับของสังคม
หยั่งรากลงลึกไปให้ไกลที่สุด เราจะพบว่าคนทุกคนนั้นก็ต้องการเป็นที่ยอมรับด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครเลยบนโลกที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับเรา แต่ก็นั่นแหละ ความหลงทำให้เรามัวแต่ไปติดภาพของความร่ำรวย คิดว่าความรวยนั้นจะทำให้มีคนนับหน้าถือตา แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หากว่าเรารวยมาเพราะการทำผิดศีลและผิดธรรม สังคมที่มีศีลและมีธรรม ก็ย่อมไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด หากเพียงเราจะอยู่ในสังคมที่ไม่มีศีลและไม่มีธรรม ณ ตอนนั้นบ้านเมืองคงระส่ำระสายกันพอสมควร ซึ่งการจะไปไล่ล่าการยอมรับนั้นไม่ใช่ฐานะที่เราพึงจะสนใจ แต่เราควรมองอะไรให้ไกลมาก ๆ ว่าเราจะทำอย่างไรให้สังคมยอมรับได้อย่างแท้จริง.การช่วยเหลือสังคมนั่นแล เป็นตัวจุดชนวนให้สังคมเกิดการยอมรับเรามากขึ้น ลองคิดภาพตามว่า การช่วยเหลือคนคือระดับปัจเจก ยิ่งเราช่วยคนมากเท่าไร คนเหล่านั้นก็ยิ่งมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ต่อมาคนหลายคนก็จะจับกลุ่มกันเป็นสังคมขึ้นมา นี่ก็คือเหตุผลที่เราควรจะช่วยผู้คนและให้ความจริงใจแก่พวกเขาเหล่านั้น พอช่วยคนได้มากสังคมก็จะเริ่มยอมรับเรามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปเป็นทาสของความร่ำรวย แต่เป็นทาสของผู้คนในสังคม รับใช้เขาเท่าที่เราทำได้ นั่นจะเป็นหนทางออกของปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพราะทุกคนนั้นย่อมต้องการน้ำที่บริสุทธิ์ดื่มกิน เราก็ทำหน้าที่ให้คนที่เขาขาดแคลนได้ดื่มกินก็เท่านั้นเอง.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in