เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
9Satra fanfic : Short Fic & One shotkizu_amakusa
[9Satra fanfic] Short fic :[เทหะยักษา.มารตา.พรานทมิฬ] :Erode


  • ณ วันนั้นบนภูเขาที่หนาวเหน็บ ข้าคิดว่าข้าเห็นหนทาง…

    หนทางที่จะได้ล้างแค้น หนทางที่ข้าจะดูแลน้องชายของข้าได้


    ข้าแสวงหา…

    แสวงหาหนทางที่จะได้มันมา..



    จนวันที่แม่หมอผีนั่นเข้ามา ก็เหมือนเหตุการณ์ประจวบเหมาะ

    ทุกอย่างมันช่างลงตัว..  

    พลังและความสามารถที่ข้ามี เมื่อได้รับแรงหนุนจากนาง

    ก็ทำให้หลายอย่างที่ถึงทางตันกลับคลี่คลาย

    ความอับจนแปรเปลี่ยนเป็นความเป็นไปได้นับล้าน



    ข้าแก้แค้นสำเร็จ  ช่วงชิงทุกอย่าง.. 

    ริดรอนทุกอย่าง คืนมาจากมัน…


    ข้าดูแลไพร่บริวาร ดูแลการรบ ระวังการก่อกบฏ

    เหนือสิ่งอื่นใด..



    น้องชายเพียงคนเดียว..ที่ข้าตั้งใจดูแลให้ดีที่สุด..

    ….....


    ….


    ..



    ข้าไม่รู้ว่าวันใดที่ใจเรากลับเดินสวนทางกัน ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้

    เจ้ายินดี..และตั้งใจ..

    เดินจากข้าไปด้วยขาของตัวเอง..



    แล้ววันนึง…

    เจ้าก็กลับมา...แต่ไม่ได้กลับมาเพื่อข้า


    ความขุ่นข้องและขัดแย้งฉายในแววตาเจ้าอย่างชัดเจน

    ข้าคิดว่าเจ้าแค่โดนชักจูง

    เจ้ายังเป็นยักษ์น้อยที่ไม่รู้โลก..




    ไม่รู้จักมนุษย์…






    ข้าวิ่งฝ่าคาวเลือดและดงเศษเนื้อก็เพื่อเรา....เพื่อน้องพี่..


    ...แต่เหมือนจะไม่มีใครต้องการความสุขในรูปแบบนั้น

    การคงอยู่ของข้าไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับพวกเขา..


    การที่ข้าถูกจองจำคุมขังอยู่ที่นี่ มีแต่คนแซ่ซ้อง ความปิติยินดีที่โปรยปรายดั่งดอกไม้ที่หอมหวน..

    กลิ่นของมันยามนั้น ยังพัดมาถึงห้องใต้ดินอับชื้นนี่







    ..หรือเป็นข้าเอง..ที่พลาดไป..




    หากเป็นครั้งที่ข้ายังมีเรี่ยวแรงและพลัง ข้าคงไม่สามารถคิดแบบนี้ได้..

    บัดนี้ ทั้งโซ่ตรวนและพันธนาการต่างๆได้เริ่มคลายลง จนเกือบจะหลุดออก

    ทั้งข้อมือ ...ข้อเท้า...ลำคอ


    ..อยู่กับตรวนพวกนี้มานานเท่าไหร่ข้าไม่อาจจำ

    แต่มันก็นานพอที่จะทำให้ข้าเข้าใจ...

    ว่ายิ่งข้าอาฆาต ยิ่งฤทธิ์เยอะ ยิ่งคลุ้มคลั่งเท่าไหร่

    อาคมจองจำนี้จะยิ่งหนักหน่วงและรุนแรงเทียมเท่ากัน


    ข้าก้มมองตนเองด้วยสายตาที่ชินกับความมืด

    แม้เลือนลางแต่มันก็ชัดพอที่อยากจะฉีกสิ่งที่เห็นให้เป็นชิ้นๆ


    ร่างกายอันผ่ายผอมจนเห็นกระดูกและซี่โครง

    เนื้อหนังที่มีหน้าที่แค่หุ้มกระดูก..



    ….ข้าไม่ต้องการ..





    หลายคราที่ข้ารู้สึกเหมือนท่องอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง

    หลายครา....ที่ข้าคิดว่าข้าต้องก้าวออกไปจากมันซักที

    ไม่ว่ามัน...จะใช้เวลาแค่คืนเดียวหรือใช้เวลาเป็นร้อยปี ข้าจะต้องออกไปจากที่นี่…


    ข้าพยายาม..

    ข้าพยายามที่จะก้าวออกไปให้พ้นจากความพยาบาท

    แรงแค้น..

    ความมักใหญ่ทั้งหลายที่วนเวียนขมุกขมัวพลุ่งพล่านอยู่ในหัว..


    พวกมันเริ่มไม่ช่วยอะไร ซ้ำยังทำลายกัดกร่อนข้าลงไปทุกวัน

    ดั่งผมที่ขาวปลอดและร่างกายที่ทรุดโทรมนี่



    ข้าเริ่มขบคิดไปกับทุกคำพูดของมารตาที่ทิ้งไว้ นึกย้อนถึงทุกสายตาที่เฝ้ามองข้า

    สิ่งเล็กๆที่เจ้าพยายามห้าม พยายามอธิบาย…

    ...ทั้งหมดทั้งมวล.. ..ทบทวน…



    แล้วในที่สุด.. ทุกอย่างก็ตกตะกอนลง  

    ข้ารู้สึกเหมือนได้กลับถึงบ้าน..


    บ้าน….ที่ลึกลงมาจากพื้นดินเจ็ดชั้น…...ที่นี่…



    ลึกลงมาจากสรรพสิ่ง…

    …ห่างไกลจากแสงสว่าง  มีชีวิตที่ปราศจากชีวิต….ที่นี่..



    มันอาจจะดี...มันน่าจะดีแล้ว





    …. ลำพัง…





    ช่างเหมาะกับข้านัก





    หากหัวใจเป็นดั่งหิน ยากที่จะเปลี่ยนแปลง คงต้องทุบมันให้แตกเสียกระมัง...

    …ทุบมัน..  ฟาดมัน.. ขยี้มัน..


    เหมือนที่ข้าทำ.. กับมัน..ที่หักหลังข้า…





    อาจจะถึงเวลา...ที่ข้าต้องเดินออกจากห้วงเวลาที่หยุดนิ่งนี้

    หาบ้านที่เงียบกว่านี้

    มืดกว่านี้... ลึกกว่านี้...


    ไกลกว่านี้...

    จนไม่มีใครตามหาข้าเจออีกต่อไป…..





    ….แกร๊ก….


    ตรวนที่คออันสุดท้ายได้เปิดออกและร่วงหล่นลง ร่างผ่ายผอมที่ไร้แรงยื้อยุดก็ล้มหล่นลงข้างตรวนเช่นกัน แรงกระแทกทำให้ผิวเสียดกับพื้นจนถลอกอย่างง่ายดาย



    เวลาได้มาถึง และกำลังเทียบท่าจอดรับข้า…

    ตรวนที่ไม่ผูกมัดข้าอีกต่อไป บ่งบอกว่าข้าไม่เหลืออะไรให้มันต้องทำหน้าที่…


    ข้ามองเส้นผมสีขาวของตัวเองที่พาดอยู่บนตรวนลงอาคม

    ภาพสีขาวกับดำเริ่มย้อมเข้าหากัน

    และพร่าเลือน…...


    ………..


    …….


    ….


    ..











    เสียงหวีดหวิว


    ลมอ่อนเฉียดผ่านแก้ม


    ที่ใหม่นี้ควรจะมืดแต่ข้ากลับสัมผัสได้ถึงความสว่าง

    แสงสว่างที่พรางอยู่ในเงามืด



    “พ..ราน.ท..มิฬ”


    น้ำเสียงที่ออกได้แค่ในลำคอ ไม่ทันหลุดพ้นปาก แต่ก็มากพอที่จะให้อีกฝ่ายหันมามอง


    “ท่านฟื้นแล้ว”

    พรานทมิฬละสายตาจากการมองเส้นทางผ่านหลังสกุณเหรา ก้มลงมามองยักษาที่นอนพาดตักตนอยู่อย่างเหนื่อยล้า แทบไร้ชีวิตแต่ก็ยังยื้อไว้ได้


    “ทำไม…”


    “ท่ามหาอุปรา—-ท่านมารตากับอ๊อดคุยกันเรื่องนี้นานแล้ว และเรารู้ว่าท่านจะโดนปล่อยจากตรวนพวกนั้นเองเมื่อถึงเวลา.. มันคงนานพอที่จะทำให้ทุกคนที่ต่อต้านท่านเพิกเฉย

    และสบโอกาสเหมาะที่จะพาท่านออกมา  และข้า..เสนอตัว…”



    เทหะยักษาที่บัดนี้เป็นเพียงทารคา หลุบสายตาจากอดีตคนสนิทตรงหน้ามองลงมายังพื้นที่ตนเองนอนอยู่ ขนปีกเป็นมันเงาบอกถึงสุขภาพที่ดีของมัน


    “สกุณเหรา…”


    “นี่ไม่ใช่สกุณเหราที่ท่านเคยรู้จัก มันเป็นคนละตัวกัน

    เจ้านั่นตายไปแล้ว..เมื่อวันนั้น…”


    ช่วงเวลาเก่าๆเหมือนย้อนคืนมาในชั่วอึดใจ

    พลันทุกอย่างก็ถูกกลืนเข้าไปเหมือนคำพูดของทั้งสองตน





    “..ผมท่าน….”


    ทารคามองเส้นผมสีขาวที่ปลิวตามลม

    “...มันคงเป็นสิ่งยืนยันว่าข้าไม่เหลือพลังอีกต่อไป... ข้าไม่ใช่เทหะยักษาอีกต่อไป…”


    พรานทมิฬจับข้อมือผอมเล็กขึ้นมา จุมพิตแผ่วบนหลังมือที่แห้งเหี่ยว

    “ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งใด สิ่งสำคัญที่ท่านมีมิใช่พลังนั่น”



    เสียงสกุณเหราแผดเสียงออกมาเป็นการบอกกล่าวแก่ผู้เป็นนายของมัน




    “ถึงแล้ว...”

    พรานทมิฬให้สัญญาณแก่นกยักษ์เพือลงสู่พื้นดิน


    แรงลมจากการกระพือปีกของมันนั้นแรง และสร้างเสียงดังโดยรอบมากพอที่จะทำให้ยักษ์สีชาดที่นั่งอยู่ในเรือนกลางป่าผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แก้วน้ำในมือหลุดไปอย่างไม่ตั้งใจ น้ำในแก้วหกลงพื้นและซึมลงพื้นดินอย่างช้าๆ เขารีบสาวเท้าออกมานอกเรือน


    นกยักษ์ที่กำลังสะบัดตัวพักผ่อนจากการเดินทางอันแสนนาน มันตรงเข้าหาลำธารที่ไหลจากน้ำตกเล็กๆนั่นอย่างรวดเร็ว

    เพื่อนทมิฬแขนขายาวสูงชลูดอุ้มร่างผอมที่ตัวเกือบเท่ากันเดินตรงมาทางตน


    “นั่นประไร น้องชายท่านมารอรับท่านแล้ว”

    พรานทมิฬก้มกระซิบข้างหูพลางเดินต่อ


    ทารคาหันไปมองด้านหน้า สายตายังไม่ทันปรับแสงได้ดีในระยะไกล แต่ก็เห็นเป็นเงาลางๆของยักษากายสีชาดที่คุ้นเคย..


    จังหวะการเดินที่คุ้นเคย..


    การก้าวเดินที่คุ้นเคย...


    น้ำเสียงที่แสนคิดถึง…..





    “ท่านพี่….”






    ข้ากลับมาถึงบ้านแล้ว


















    ------------------------------


    ขอบคุณที่อ่านฟิคสั้นๆนี้จนจบค่ะ T v T คิดมานานแล้วว่าอยากเขียนPOVของท่านจ้าว

    แต่ก็ชอบโดนเรือต่างๆแซงคิวเรื่อยเลย 

    เมนเราคือทมิฬxท่านจ้าว ตอนแรกก็เลยเขียนไปในทิศทางนั้นมากๆ 

    แล้วอยู่ๆเราที่กำลังดีพดาวน์ก็ร้องไห้ออกมาค่ะ ว่าพี่พรานคงไม่มาหรอก ในcanonพี่พรานคงไม่มาแน่ๆเพราะพี่ไปกับอ๊อดแล้ว ฮือออออออออออ เศร้าเป็นวรรคเป็นเวรเพราะพี่พรานไม่มาค่ะ5555555555 


    //จริงๆ อ๊อดxทมิฬ ก็เมนอีกลำนะ555555 


    ก็เลยโละทั้งหมด แล้วมานั่งมโนใหม่ เพราะอยากจะเขียนpovความรู้สึกท่านที่ต้องอยู่คนเดียวในนั้นนานๆ ในช่วงเวลาที่มีแต่ตัวเองท่านคิดอะไรบ้าง ผลออกมาก็คิดว่ายังไงท่านก็ต้องรักน้องมากสุดแน่นอน ใช้เพลงlovely ของ Billie Eilish เป็นธีมในตอนเขียน เผื่อใครมีหูฟังก็ลองเปิดเพลงฟังซักรอบ ฟีลอาจจะชัดขึ้นไปอีกค่ะ♥





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in