เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
9Satra fanfic : Short Fic & One shotkizu_amakusa
[9Satra fanfic]one shot:[พรานทมิฬ-ทารคา] : sorry,can't save me now
  • **ฟิคนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะอารมณ์ดิ่งหรือซึมเศร้า หากไม่ชอบแนวโศกนาฏกรรมกดปิดได้เลยค่ะ**

    ---------------------------------


    ผมรองถุงดำไซส์พิเศษไว้ชั้นใต้สุด แล้วเอาถุงนอนมาทับมันไว้อีกที

    ขยุ้มๆเจ้าถุงนอนอันใหม่ยัดมันเข้าไปในถุงดำให้เรียบร้อยที่สุด


    เสียงแก้วน้ำที่กลิ้งอยู่กับพื้นทำให้ผมต้องหันไปมอง ผมมองรอบๆห้องที่เก็บจนเรียบร้อย

    ไม่มีแสงแดดเข้ามาอย่างที่เคย เพราะนี่ก็ค่อนข้างจะโพล้เพล้แล้ว

    ผมจะอยู่ที่ห้องนี้วันนี้เป็นวันสุดท้าย





    วันนั้นทารคาเรียกผมไปคุยที่ดาดฟ้า เราคุยกันค่อนข้างนาน

    จริงๆผมรู้ ว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร


    มันค้างคามานาน และผมเข้าใจ

    เขาต้องมีครอบครัว และมีอีกหลายอย่างที่ลูกคนโตแบบเขาต้องรับผิดชอบ

    ผมไม่โทษเขา และเขาก็ไม่โทษผมที่ทุกอย่างมันลงเอยมาถึงจุดนี้


    เราโบกมือลากันไกลๆ ไม่มีความจำเป็นต้องแน่นแฟ้นหรือแนบชิด

    ตัวเราห่างกันประมาณสองเมตรห้าสิบที่มันกำลังจะกลายเป็นนิรันดร์

    เสียงประตูดาดฟ้าปิดลงพร้อมกับผมที่หันหน้าไปมองวิวที่ทอดไกลออกไป

    มันเป็นวิวเดิมๆไม่ได้ดีเด่อะไร แล้วตอนนี้มันก็โดนเททับด้วยสีฟ้าหม่น




    ผมหยิบมือถือขึ้นมาในห้องที่กำลังหมดแสงลง หน้าจอมือถือส่องหน้าผมจนแสบตา

    เบอร์โทรล่าสุดยังคงเป็นชื่อเขา

    ผมวางนิ้วลงบนชื่อของเขาและรอสาย


    “ฮัลโหล...ว่าไง”


    “.........”


    “.....มีอะไรรึเปล่า”



    “.........”

    ผมอ้าปากจะพูด แต่พูดไม่ออก

    ขอบคุณที่ไม่เสแสร้ง ขอบคุณที่ทิ้งผมไปอย่างที่คุณทำ

    ขอบคุณ...ที่ให้ผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ



    “บาก มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”

    น้ำเสียงเขาดูหนักแน่นขึ้น เสียงรอบๆก็ดูเงียบลง เขาคงปลีกตัวมาเพื่อคุยกับผม


    “ไม่มีอะไร...ตอนนี้คงช่วยไม่ทันแล้วล่ะแค่อยากได้ยินเสียงน่ะ”


    “ให้ฉันไปหานายมั้ย”


    “ไม่เป็นไร แค่จะโทรมาบอกว่า เดี๋ยวจะไม่ได้อยู่ที่ห้องนั้นแล้วนะ โชคดี”


    “...เหรอ ถ้าได้ที่อยู่ใหม่แล้วโทรมานะ”


    “อืม.. แค่นี้นะ”


    “เออ โทรมานะ”



    ผมเอามือถือออกจากหู แล้วกดวาง

    เดินเอามันไปโยนในลิ้นชักแล้วหยิบปืนออกมาแทน หมุนที่เก็บเสียงให้แน่นอย่าให้หลุด


    ผมทั้งชอบและไม่ชอบเวลาโพล้เพล้ มันทั้งสงบและดูสิ้นหวัง แต่ตอนนี้ผมมองมันโดยไม่รู้สึกอะไรเลย

    มันควรเป็นสีส้มอย่างเคยแต่วันนี้มันกลับเป็นสีน้ำเงินเข้ม

    เข้มจนผมมองมือตัวเองเกือบไม่เห็น


    บากเดินไปเปิดบานกระจกที่ระเบียง ปล่อยให้ลมพัดเข้ามา เสียงถุงดำที่วางอยู่กลางห้องถูกลมพัดดังกรอบแกร็บ มือยาวค่อยๆยกถุงนอนแล้วสอดตัวเข้าไป ดึงถุงดำขึ้นมาคลุมถุงนอนให้มิดที่สุด

    เขารูดซิปปิดจากด้านใน ซุกตัวเข้าไปให้ลึก



    ทารคานั่งเหม่อในห้องรวมญาติ

    ซักพักเขาจึงลุกขึ้นมา ขออนุญาตทุกคนไปโทรศัพท์อีกครั้ง


    เสียงเคาะนิ้วสลับกับเสียงกระแทกส้นเท้าก้องไปทั่วห้องโถง เขาหายใจแรงขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะคนปลายสายไม่รับซักที


    พอ

    มันหมดเวลาที่จะรอแล้ว

    ความกังวลของเขามันต้องสิ้นสุด


    ทารคากลับเข้าห้องไปหยิบกระเป๋าและกุญแจรถออกมา

    ท่ามกลางเสียงทัดทานของญาติที่ว่ายังไม่ถึงเวลายังกลับไม่ได้




    แสงสว่างนั้นไม่จำเป็น ในเมื่อสิ่งที่ช่วยเขาได้อยู่ในมือแล้ว บากสอดนิ้วง้างไกปืนพร้อมกับเอาปากกระบอกปืนเข้าในโพรงปากตัวเอง

    ทุกอย่างมันดูสงบกว่าที่คิด ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีก น้ำหนักในมือนั้นช่างง่ายดาย

    ขอโทษนะ ที่คุณช่วยผมไม่ได้แล้วตอนนี้


    แสงของทั้งห้องมาจากเสาไฟฟ้าต้นเล็กด้านนอก มันมีแมลงหวี่บินตอมไฟตลอด แสงสีขาวสลัวของมันทำให้ของในห้องผมดูมีเงาหนักๆ มันดูไม่สบายตาเอาซะเลย แม้ผมหลับตาแต่ก็ยังจำมันได้ดี


    ถุงดำที่วางอยู่กลางห้องขยับเล็กน้อย เสียงรถยนตร์ที่วิ่งผ่านของตึกข้างๆ เสียงปุที่ดังเหมือนลูกเทนนิสกระแทกกำแพงอย่างแรงดังขึ้น พร้อมกับแรงกระตุกจากด้านใน ถุงนอนกับถุงดำสีกันจนมีเสียงอยู่พักหนึ่ง


    และทุกอย่างก็จางลงอย่างแผ่วเบา

    แมลงหวี่ยังตอมเสาไฟ

    ลมยังพัดเอื่อยๆเข้ามาตามหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ เงาจากใบไม้ยังพาดทับมาที่พื้นห้อง




    ทารคาจอดรถอยู่ด้านหน้าตึก เขารีบเดินขึ้นบันไดมาโดยยังคากุญแจรถไว้ ประตุรถก็ถูกเปิดทิ้ง ไฟด้านข้างและด้านหลังของรถกระพริบอยู่อย่างนั้น

    เขารีบวิ่งจนมาถึงชั้นบน แขนที่กำลังจะทุบประตูเรียกชื่อดีตคนรักก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นโน๊ตที่แปะอยู่หน้าประตู


    “Sorry,can’t save me now.

    There’s no way out,sorry”



    ทารคาเอาหัวพิงประตู มือกำโน๊ตนั่นไว้แน่น

    เขาเอาหัวโขกประตูนั่นอย่างแรง สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง เสียงมันดังพอที่ข้างห้องจะออกมาด่า


    “เกรงใจกันบ้างซิคุณ!!”

    หนุ่มผมแดงในชุดสูตรสีดำหันไปมองต้นเสียงช้าๆ สองตานั้นแดงก่ำ

    เพื่อนบ้านเห็นแบบนั้นก็นิ่งไปด้วยความตกใจ


    “ขอโทษครับ ขอผมยืมใช้โทรศัพท์โทรเรียกกู้ภัย...รถพยาบาล…”

    เขาพูดไปและเซไปทางคนข้างห้องจนทรุดลงไปที่พื้น เหมือนไม่มีแรง


    “เฮ้ย อะไรคุณ เป็นอะไร”


    “โทรเรียกรถพยาบาลหรืออะไรก็ได้ครับ โทรเรียก..ที”

    เขาพูดได้แค่นั้นแล้วฟุบหน้าลงกับพื้นปูน กลั้นเสียงทั้งหมดไว้ ตัวสั่นเทา มีแต่ความรู้สึกที่ถูกปล่อยจนท่วมท้นออกมา


    ไฟกระพริบจากรถที่อยู่ด้านหน้าตึกยังคงกระพริบ

    รถวิ่งผ่านไปมาจนฝุ่นคลุ้งขึ้น






    “ไม่มีอะไร...ตอนนี้คงช่วยไม่ทันแล้วล่ะ  แค่อยากได้ยินเสียง”





  • เป็นฟิคที่เกิดขึ้นมาตอนฟังเพลง listen before i go ของบิลลี่ก่อนนอนค่ะ
    ฟังในครั้งแรกก็รู้สึกว่าเพลงนี้มันจะทริกเกอร์ไปมั้ย ทำไมถึงให้มันออกมาโดยที่มันทริกเกอร์ขนาดนี้
    เลยนึกถึงเรื่องสัณญาณของคนที่กำลังตัดสินใจในภาวะอารมณ์ทิ้งดิ่ง ในช่วงเวลานั้นมันทั้งแน่วแน่และอารมณ์บิดปลิวมากๆ เหมือนท่อนนึงของเพลง20202 ของธีร์ ไชยเดช ที่แต่งให้โจ้วงพอส ที่บอกว่า 
    "ใจโดนดั่งคลื่นซัด แล้วพัดไปไกลสุดตา
    ใจโดนดั่งลมพัด แล้วพัดไปไกลสุดฟ้า..ไม่หวนคืนมา"
     อยากให้ทุกคนตระหนักถึงภาวะอารมณ์ของคนใกล้ตัวกันด้วยนะคะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in