Title: Levitate
Artist: twenty one pilots
Album: Trench (2018)
Levitate ซิงเกิ้ลที่ 3 จากอัลบั้ม
Trench จากสองหนุ่มดูโอ
twenty one pilots ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมาทั้งเพลงและเอ็มวีจบไตรภาคที่ต่อจาก
Jumpsuit และ
Nico And The Niners เนื้อหาในเพลงก็ยังเชื่อมโยงและวนเวียนอยู่กับ 2 ซิงเกิ้ลแรก โดยในเพลงนี้จะพูดถึงการต่อสู้ การเอาชนะภาวะซึมเศร้าหรือ Dema และมีการพูดถึงวิธีเอาชนะ รวมถึงการใช้แร้ง ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวละครสำคัญในอัลบั้มนี้ดูจากการใช้ในเพลงและปกอัลบั้มด้วย
เอ็มวี Levitate ต่อจาก Jumpsuit และ Nico And The Niners อย่างที่บอกไป เป็นพาร์ทจบของเอ็มวีไตรภาคเปิดตัวอัลบั้ม Trench โดยเรื่องราวในเอ็มวีนี้เริ่มจากไทเลอร์หนีออกมาจาก Dema สำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่ม Banditos ที่นำโดยหนุ่มจอช คู่หูคนเก่งของไทเลอร์ มาถึงตรงนี้แล้ว Bandios สำหรับไทเลอร์คงจะเป็นกลุ่มเพื่อน ๆ และครอบครัวที่คอยช่วยเหลือและพาเขาออกมาจากจุดที่แย่ในชีวิต หลังจากนั้นมีการตั้งแคมป์กันของกลุ่ม Banditos บริเวณบนเขาที่อยู่ไม่ไกลจาก Dema ดูจากเอ็มวี Jumpsuit น่าจะเป็นบริเวณที่เหล่า Banditos มองลงมาดูไทเลอร์ที่ติดอยู่ใน Dema ณ ตอนนั้น ทุกคนในแคมป์จะใส่ชุดที่มีเทปสีเหลืองแปะไว้กับชุด ตามที่รู้มาจาก 2 เอ็มวีล่าสุดที่พวก Bishops ไม่สามารถมองเห็นได้ โดยชุดที่พวกเขาใส่ก็เป็นเหมือนชุดเกาะป้องกันพวกเขาจากสิ่งเลวร้าย ในเอ็มวีนี้ไทเลอร์ถูกโกนหัวอีกครั้ง หลังจากที่ได้เห็นในเอ็มวีเพลง Car Radio เมื่อตอน 2013 โดยจุดประสงค์ของตรงนี้ในความคิดของเราน่าจะสื่อถึงการต่อสู้ของตัวละครในเรื่องกับเหล่า Bishops การที่ไทเลอร์โกนหัวก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เปรียบเหมือนกับการเข้าร่วมในกองทัพทหารที่ต้องออกไปเผชิญสงคราม เว้นแต่ว่าสงครามสำหรับพวกเขาก็คือกลุ่มความคิดและปีศาจในหัวของพวกเขาเอง ในเอ็มวีนี้เรายังได้เห็นคอนเสิร์ตในแคมป์ของเหล่า Banditos ที่สองหนุ่มทำการแสดง และทันที่ที่พวกเขาหยุด ไทเลอร์ก็นั่งอยู่กับคนอื่น ๆ รอบกองไฟ หลังจากนั้นก็มีหนึ่งในกลุ่มพวก Bishops ลากคอเขากลับไปยัง Dema ตรงนี้อาจเปรียบเทียบได้ว่า ดนตรีเป็นเหมือนเครื่องล่อใจที่พาไทเลอร์ออกมาจากภาวะความเครียด/ซึมเศร้าได้ และถ้าเขาหยุดมันไปเขาก็ต้องกลับไปเป็นเหยื่อให้กับภาวะซึมเศร้าหรือ Dema นั้นวนลูปไปแบบเดิม
// หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย สามารถแสดงความคิดเห็นและติชมได้ในคอมเมนต์ทุกเมื่อ หรือมาคุยกันได้ที่
twitter :-) //
Special Thanks
LYRICS & TRANSLATION
Oh, I know how to levitate up off my feet
And ever since the seventh grade I learned to fire-breathe
And though I feed on things that fell
You can learn to levitate with just a little help
Learn to levitate with just a little helpโอ้ ผมรู้วิธีที่จะลอยตัวขึ้นไปเหนือพื้นดินและตั้งแต่เมื่อตอนเกรด 7 ที่ผมได้เรียนรู้วิธีร้องเพลง
และแม้ว่าผมจะเสพสิ่งที่ถูกทิ้งขว้าง
คุณก็สามารถเรียนรู้ที่จะลอยขึ้นไปได้ด้วยความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย
เรียนรู้ที่จะลอยไปจากความช่วยเหลือเล็กน้อย
- "Oh, I know how to levitate up off my feet" ลอยขึ้นไปเหนือพื้นดินสำหรับไทเลอร์น่าจะหมายถึงการเอาชนะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจในตัวเอง ความเครียด และอาการซึมเศร้า
- "And ever since the seventh grade I learned to fire-breathe" ท่อนแรกพูดถึงวิธีที่ตัวเขาจะลอยขึ้นไปได้ก็คงจะเป็นเพราะตอนเกรด 7 ที่ไทเลอร์เริ่มแต่งเพลง แร็ป และร้องเพลงได้
- "And though I feed on things that fell" เรื่องราวที่ถูกนำมาเขียนก็เป็นเรื่องจากชีวิตและความรู้สึกของเขาในช่วงเวลานั้น ทำให้เขาเหมือนได้ปลดปล่อยเรื่องราวไม่สบายใจผ่านบทเพลงได้ things that fell จึงหมายถึงความรู้สึกแย่ ๆ หรือความเจ็บปวดของเขา
- "You can learn to levitate with just a little help" ความช่วยเหลือเล็กน้อยสำหรับไทเลอร์ก็คือวิธีการที่เขาใช้บทเพลงที่เขาเขียนแบ่งปันให้คนอื่นได้ฟัง เพื่อที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของตัวเองให้ลดลงได้
Come down, come down
Cowards only come through when the hour's late
And everyone's asleep, mind you
Now show up, show up
I know I shouldn't say this
But a curse from you is all that I would need right now, man
ลงมา ลงมาเถอะ
พวกขี้ขลาดก็มาแค่ตอนดึกดื่น
ยามที่คนอื่นเขาหลับนอน รบกวนทีได้ไหม
ให้คุณแสดงตัวมาได้เลย แสดงตัวออกมา
ผมรู้ว่าผมไม่ควรพูดมันเลย
แต่คำสาปจากคุณคือทุกอย่างที่ผมต้องการตอนนี้
- "Cowards only come through when the hour's late" พวกขี้ขลาดในที่นี้ก็คงหนีไม่พ้นพวกอารมณ์ความรู้สึกเศร้าเสียใจ ความเจ็บปวดที่ชอบเล่นงานเขาเอาตอนดึกดื่น ในเอ็มวีก็เปรียบถึงพวก Bishops ที่ดูจากตอนสุดท้ายที่กลับมาตอนกลางคืนแล้วเอาตัวไทเลอร์กลับไปที่ Dema จนได้
- "And everyone's asleep, mind you now show up, show up" ความรู้สึกที่เข้ามาโจมตีเขายามทุกคนยังหลับไหลทำให้ไทเลอร์เอ่ยขอร้องให้ใครสักคนแสดงตัวออกมา แม้จะเป็นคนที่จะมาต้องให้เขาอยู่ในคำสาปก็ยอมตามท่อนถัดไปที่ร้องว่า "But a curse from you is all the I need right now, man"
Come down, come down
Cowards only come through when the hour's late
And everyone's asleep, mind you
Now show up, show up
I know I shouldn't say this
But a curse from you is all that I would need right now, man
ลงมา ลงมาเถอะ
พวกขี้ขลาดก็มาแค่ตอนดึกดื่น
ยามที่คนอื่นเขาหลับไหล รบกวนทีได้ไหม
ให้แสดงตัวออกมา แสดงตัวมาสิ
ผมรู้ว่าผมไม่ควรพูดแบบนี้
แต่คำสาปของคุณคือทุกอย่างที่ผมต้องการแล้วตอนนี้
Danger in the fabric of this thing I made
I probably shouldn't show you, but it's way too late
My heart is with you hiding, but my mind's not made
Now they know it like we both knew for some time I'd say
อันตรายในเนื้อผ้าจากเสื้อตัวนี้ที่ผมสร้างมา
ผมอาจไม่ควรให้คุณได้เห็นมัน แต่ตอนนี้มันก็สายเกินไป
หัวใจผมยังซ่อนอยู่กับคุณ แต่จิตใจผมไม่อยู่แล้ว
ตอนนี้พวกเขาคงรู้แบบที่เรารู้กันมาสักพักแล้ว
- "Danger in the fabric of this thing I made" เนื้อผ้าที่ไทเลอร์พูดถึงอาจหมายถึงผลงานเพลงที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ที่อาจจะส่งผลร้ายกับคนฟังในแง่ลบ
- "My heart is with you hiding, but my mind's not made" ท่อนนี้อาจจะมีการพูดถึงความเชื่อทางศาสนาคริสต์ของตัวไทเลอร์เองหรือแคลนซี่ตัวละครจากในเทรนช์ที่กล่าวว่าหัวใจของเขาอยู่กับพระเจ้าแล้วแน่นอน แต่ลึก ๆ ในความคิดของเขาเองที่ยังคงตั้งคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่เขากำลังเชื่ออยู่ โยงกับท่อนก่อนหน้าไทเลอร์อาจจะพูดถึงการทำผลงานที่ออกมาจากความรู้สึก หรือความคิดส่วนตัวที่อาจส่งผลร้ายกับคนอื่นว่านั่นมันถูกต้องไหม
- "Now they know it like we both knew for some time I'd say" ท่อนนี้ต่อเนื่องจากท่อนบนแต่ we both ตรงนี้อาจจะเป็นได้ทั้งตัวไทเลอร์และพระเจ้า ไทเลอร์และจอช หรืออาจจะเป็นไทเลอร์หรือตัวผู้ฟังเองที่พูดบอกมาว่าตอนนี้ทุกคนได้รู้เรื่องที่เรารู้กันแล้ว ที่อาจจะหมายถึงความคิดของเขาที่ส่งต่อให้คนอื่นรู้ผ่านบทเพลง
They're smirking at first blood, they're circling above
But this is not enough
Yeah, this is not what you thought
No, no we are not just graffiti on a passing train
I got back what I once bought back
In that slot I won't need to replace
This culture is a poacher of overexposure, not today
Don't feed me to the vultures
I am a vulture who feeds on pain
Sleep in a well-lit room, don't let the shadow through
And sever all I knew, yeah, sever all
I thought I could depend on my weekends
On the freezing ground that I'm sleeping on
Please, keep me from; please, keep me down from the ledges
Better test it, wooden wedges under doorways
Keep your wooden wedges under doors
พวกเขาลิ้มรสเลือดหยดแรก พวกเขาบินวนอยู่บนฟ้า
แต่นั่นยังไม่พอหรอก
ใช่ นี่มันไม่ใช่แบบที่คุณคิด
ไม่ พวกเราไม่ใช่แค่งานศิลปะบนผนังที่รถไฟแล่นผ่าน
ผมได้สิ่งที่ผมเคยต้องการกลับมาแล้ว
ในช่องนั้นที่ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาแทนที่อีก
วัฒนธรรมนี้ที่มีแต่พวกจ้องจะจับผิดเรา ไม่ใช่วันนี้หรอกนะ
อย่าปล่อยให้ผมเป็นอาหารของเหล่าแร้งเลย
ผมก็เป็นนกแร้งที่เสพแต่ความเจ็บปวด
นอนในห้องที่มีไฟสว่างไม่มีเงามืดเข้ามาได้
แล้วตัดขาดทุกอย่างที่ผมเคยรู้จัก ใช่ ตัดมันไปให้หมด
ผมคิดว่าผมคงพึ่งสุดสัปดาห์ของผมได้
บนพื้นที่เย็นเฉียบที่ผมกำลังนอนอยู่
ได้โปรด เอาผมออกไป เอาผมออกไปจากพื้นหินแข็งนี้ที
ผมควรลองทำ ลองใช้ไม้กั้นข้างล่างประตูทางออก
เอาไม้นั่นงัดประตูออก
- "They're smirking at first blood, they're circling above but this is not enough" แร้งที่บินวนอยู่เหนือศีรษะ เปรียบแร้งเป็นกลุ่มคนที่คอยจ้องจะจับผิดพวกเขา (ไทเลอร์และจอช) ที่ทำผลงานออกมา และคอยแว้งกัดทุกครั้งที่พวกเขาทำผิดพลาด
- "No, we are not just graffiti on a passing train" ท่อนนี้ไทเลอร์กำลังบอกคนฟังว่าพวกเขาไม่ใช่สร้างผลงานศิลปะมาแปะบนฝาผนังข้างรางรถไฟ ผลงานของพวกเขาที่ไม่ได้ผลิตออกเพราะแค่อยากสนุกสนาน แต่เป็นเรื่องราวเบื้องหลังทุกบทเพลงต่างหากที่เขาต้องการให้ผู้คนสนใจ
- "I got back what I once bought back. In that slot I won't need to replace" ท่อนนี้โยงกลับไปถึงเพลง Car Radio ที่มีท่อนแบบเดียวกัน ไทเลอร์พูดถึงการได้สิ่ง ๆ นึงที่เขาตามหากลับมา ซึ่งจาก Car Radio ไทเลอร์ก็เปรียบเทียบว่าวิทยุนั้นเป็นเหมือนสิ่งที่ล่อใจเขาออกมาจากความคิดลบ ๆ ของตัวเองได้ ท่อนนี้จึงหมายความว่าไทเลอร์รู้สึกแบบนั้นกับตัวเองอีกครั้งแต่เขาก็หาวิธีใหม่ที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากปีศาจในตัวเองได้อีกครั้ง
- "This culture is a poacher of overexposure, not today" ไทเลอร์พูดถึงวัฒนธรรมในปัจจุบันที่มีคนมากมายคอยจับตามองคนอื่นและจ้องจับผิดพวกเขา เปรียบพวกนั้นเป็นเหมือนแร้งที่บินวนอยู่บนหอคอยแห่งความเงียบรอคอยศพใหม่ให้พวกมันได้กิน
- "Don't feed me to the vultures, I am a vulture who feeds on pain" ต่อจากท่อนข้างบน ตรงนี้ไทเลอร์บอกว่าอย่าปล่อยให้เขาเป็นอาหารกับแร้งพวกนั้นหรือกลุ่มคนพวกนั้นที่คอยจะจับผิดเขา เพราะเขาเองก็เปรียบเทียบตัวเองเป็นแร้งอีกทีนึงที่เอาแต่เสพความเจ็บปวด
- "Sleep in a well-lit room, don't let the shadow through. And sever all I knew, yeah, sever all" อย่างก่อนหน้านี้ที่พูดถึงปีศาจร้ายหรือความรู้สึกแย่ ๆ ที่คอยเล่นงานตอนดึก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการอุปมา ที่พูดถึงการนอนในห้องที่มีไฟสว่าง ทำให้ปีศาจร้ายเข้ามาเล่นงานเขาอีกไม่ได้แล้ว
- "I thought I could depend on my weekends on the freezing ground that I'm sleeping on" จากท่อนนี้สามารถโยงกลับไปเพลง Migraine ที่บอกว่า "Sundays are my suicide days" weekends ในที่นี้จึงรวมวันอาทิตย์เข้าไปด้วย แต่ต่อจากท่อนที่แล้วที่เขาบอกว่านอนอยู่ในห้องที่มีแสงไฟสว่าง เขาจึงรู้สึกว่าเขาน่าจะทนใช้ชีวิตอยู่ในวันอาทิตย์ได้
- "Please, keep me from; please, keep me down from the ledges" เหมือนว่าที่เขาคิดไว้ว่ามจะทนมันได้จะผิดคาดไป ไทเลอร์ร้องขอความช่วยเหลือให้เอาตัวเขาออกห่างจากขอบหน้าต่าง เพราะเขารู้ว่านั่นมันอันตราย (คนที่ถูกโจมตีด้วยความเครียด ภาวะซึมเศร้า มีแนวโน้มจะทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้น)
Chorus, verse, chorus, verse
Now here comes the eight
Wait, habits here too
You're the worst, your structure compensates
But compensation feels a lot like rising up to dominate by track two
At least they all know all they hear comes from a place
คอลัส เวิร์ส คอลัส เวิร์ส
ตอนนี้ มาถึงท่อนที่แปดแล้ว
เดี๋ยวก่อนนะ ความเคยชินแบบนี้ก็เหมือนกัน
นายนี่มันแย่ที่สุดเลย โครงสร้างที่ซ้ำย่ำอยู่ที่เดิม
การทดแทนไปแบบนี้รู้สึกราวกับว่าแทรคที่ 2 นั้นมันส่งผลไปทุกอย่าง
อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่าสิ่งที่เขาได้ฟังมาจากที่แห่งหนึ่ง
- "Wait, habits here too. You're the worst, your structure compensates" ไทเลอร์ฉุดคิดขึ้นมาเกี่ยวกับการแต่งเพลงตามโครงสร้างเดิม ๆ ที่เขารู้จักและทำมา และบอกว่าตัวเองแย่ที่สุดเลยที่ทำแบบนั้น
- "But compensation feels a lot like rising up to dominate by track two" แทรคที่ 2 ในเพลงนี้น่าจะหมายถึงเพลง Stressed Out จากอัลบั้มก่อนที่ฮิตติดชาร์ตและทำให้วงเป็นที่รู้จักมากขึ้น ไทเลอร์รู้สึกกังวลว่าสิ่งที่คนอื่นได้ฟังคือตัดสินพวกเขาจากเพลง ๆ เดียวและมันจะส่งผลไหมถ้าเขาไม่ได้จะเดินตามแนวที่พวกเขาหวังให้มันเป็น เพราะเขาไม่ต้องการให้แนวเพลงของตัวเองย่ำอยู่กับที่
- "At least they all know all they hear comes from a place" ในเอ็มวีไทเลอร์ร้องท่อนนี้แล้วใช้นิ้วชี้เข้าที่หัวของตัวเองเพื่อที่จะสื่อว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับฟังที่มาจากสถานที่แห่งหนึ่งนั่นก็คือ ความคิดของเขาเอง
Oh, I know how to levitate up off my feet
And ever since the seventh grade I learned to fire-breathe
And though I feed on things that fell
You can learn to levitate with just a little help
You can levitate with just a little help
โอ้ ผมรู้วิธีที่จะลอยตัวขึ้นไปเหนือพื้นดิน
ตั้งแต่เมื่อตอนเกรด 7 ที่ผมได้เรียนรู้วิธีแร็ปและร้องเพลง
และแม้ว่าผมจะกินสิ่งที่ถูกทิ้งขว้าง
คุณก็สามารถเรียนรู้ที่จะลอยขึ้นไปเพียงแค่พึ่งความช่วยเหลือเล็กน้อย
เรียนรู้ที่จะลอยไปจากความช่วยเหลือเล็กน้อย
[Outro]
Welcome to Trench
ยินดีต้อนรับเข้าสู่เทรนช์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in