VIDEO
Do you still remember the most beautiful moment of your life?
ไม่รู้เหมือนกันว่าหลายคนยังจำช่วงชีวิตวัยรุ่นที่สวยงามของตัวเองกันได้รึเปล่า
แต่วันนี้เราอยากจะชวนทุกคนย้อนอดีตไปนึกถึงมิตรภาพและฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามในตอนนั้นผ่านเพลงและ MV Spring Day ของ BTS กันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นติ่งเกาหลีหรือไม่ จะรู้จัก BTS หรือไม่ เราอยากชวนทุกคนมาเสพงานอาร์ตสวยๆ ความหมายละมุนที่จะมาเตือนความจำเราอีกสักครั้งว่า the most beautiful moment in life ของเราที่ผ่านมาแล้วมันเป็นอย่างไร
ธีมหลักในเอ็มวีและเพลง Spring Day พูดถึงชีวิตของวัยรุ่นออกมาได้ซื่อสัตย์และมีศิลปะ
คงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่าชีวิตวัยรุ่นเป็นช่วงที่ดีที่สุดหรือแย่ที่สุด เพราะมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เราต้องเปลี่ยนจากเด็กไปอยู่ในโลกของผู้ใหญ่ มีปัญหานู้นนี่มากมายที่ทำให้ต้องคิดเอง อยู่เอง พึ่งตัวเองมากขึ้น เพื่อนๆก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง มันก็เหมือนที่เขาพูดกันค่ะ 'ไม่มีใครสนิทกับเราเท่าเพื่อนมัธยมอีกแล้ว'
เพลง Spring Day ของบีทีเอส ก็ถ่ายทอดความหวานขมของชีวิตวัยรุ่นออกมาไหนแบบที่เราไม่เคยเห็นเพลงไหนทำได้มาก่อน เพราะมันเป็นการมองช่วงวัยนี้ออกมาภาพสีขุ่นๆ ที่มีทั้งความสุขและความเจ็บปวด ก่อนจะปิดท้ายด้วยการให้กำลังใจและย้อนให้เรานึกถึงความสวยงามของมิตรภาพที่ไม่ว่านานแค่ไหนเดี๋ยวก็คงจะได้กลับมาเจอกันอีกแน่นอน
*การตีความจากนี้ มาจากความมโนเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าอ่านสนุกๆนะคะ เราเขียนทฤษฎีที่เกี่ยวกับเอ็มวีเก่าๆตั้งแต่ I need U ไว้ในอีก
บทความ
เนื้อเพลง
มาเริ่มกันที่เนื้อเพลงก่อนค่ะ เราขอแปลคร่าวๆนะคะเดี๋ยวเขียนอวยเอ็มวีอีกยาว อ่านเนื้อตามในเอ็มวีได้เลยค่ะ
เนื้อเพลงเปรียบเทียบการอยู่คนเดียว การทำตามเส้นทางของตัวเองว่าเป็นฤดูหนาวที่ยาวนาน เจอเพื่อนยากเหลือเกิน อยากจะจับมือไว้แล้ววิ่งไปอีกฝั่งของโลก อยากให้ฤดูหนาวที่ต้องสู้อยู่คนเดียวมันจบเสียที เมื่อไหร่ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง เราจะได้เจอกันอีกครั้ง
ท่อนฮุกก็พูดถึงการเฝ้ารอให้ฤดูหนาวจบลงเพื่อที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง
Snowflakes fall down and get away little by little.
I miss you. I miss you.
How long do I have to wait ?
How many sleepless nights do I have to spend ?
To see you
To meet you
จนในท่อนสุดท้ายเพลงก็เล่าว่า หิมะเปลี่ยนเป็นกลีบดอกไม้แล้ว (ชอบทรานซิชั่นตรงนี้มากๆเพราะหิมะกับกลีบดอกไม้ปลิวนี้ลักษณะเดียวกันเลย ให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่กลางหิมะแล้วพอเงยหน้าขึ้นมา กลีบดอกไม้ร่วงลงมาแปะข้างแก้มซะแล้ว) ฤดูหนาวใกล้จะจบแล้ว รออีกแปปเดียวนะ อีกแค่ไม่กี่คืน ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่คงอยู่ตลอดไปหรอก ทั้งความมืดและฤดูกาล ฤดูใบไม้ผลิจะมาแล้ว ฉันจะไปหาเธอแล้ว
ไม่เคยเห็นเนื้อเพลงเกี่ยวกับเพื่อนที่ละมุนขนาดนี้มาก่อนจริงๆ ยิ่งการเปรียบเปรยมากมายทั้งฤดูกาล หิมะ ดอกไม้ ทุกอย่างมันดูเหงาและสวยงามมีความหวังอย่างบอกไม่ถูก แต่แค่เพลงเนื้อหาสวยแล้วยังไม่พอ เอ็มวียังภาพสวยมากแถมยังมีเรื่องราวและสัญลักษณ์ที่แทงใจมากจริงๆ ไปโฟกัสกันที่เอ็มวีกันดีกว่าค่ะ
เอ็มวี
Theme
เอ็มวีใช้รถไฟเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง เป็นยานพาหานะที่พาทุกคนเดินทางผ่านความทรงจำในช่วงวัยรุ่น โดยเอ็มวีฉายภาพในหัวที่เป็นความทรงจำช่วงวัยรุ่นของแต่ละคนออกมา มีทั้งตอนที่อยู่ด้วยกันและที่อยู่ตัวคนเดียว ยิ่งสีหน้าของแต่ละคนที่ดูหงอยๆ โหยหาบางอย่างด้วยแล้ว มันชวนให้หวนนึกถึงการอยู่กับเพื่อนมากจริงๆค่ะ
เอ็มวีเล่าเรื่องตัวละครที่นั่งคิดถึงเพื่อนตอนที่อยู่บนรถไฟไปเรื่อยๆ ก่อนจะจบด้วยฉากที่เรายิ้มกว้างเลย คือตอนที่จองกุกลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าทุกคนอยู่ด้วยกันบนรถไฟ
ก่อนจะถึงฉากนี้เราคิดว่าทุกคนอยู่คนเดียวแล้วคิดถึงภาพตอนอยู่กับเพื่อน นึกถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วย้อนกลับไปไม่ได้ แต่พอตัดภาพมาเป็นว่าทุกคนอยู่ด้วยกันบนรถไฟนี่เรายิ้มกว้างเลย เหมือนผกก มาเฉลยว่า เปล่าเลย จริงๆ ทุกคนอยู่บนรถไฟขบวนเดียวกันหมดตั้งแต่แรกแต่นั่งนิ่งๆคิดถึงเรื่องของตัวเองไปเท่านั้นเอง
ตรงนี้เราว่า ผกก อาจจะสื่อว่า แม้เราจะคิดว่าเราอยู่คนเดียวกับเส้นทางของตัวเอง แต่ความจริงแล้วเรายังอยู่บนรถไฟขบวนเดียวกันหมด ถึงเราจะคิดว่าเราอยู่คนเดียว แต่จริงๆแล้วเพื่อนไม่ได้หายไปไหนหรอก ก็ยังอยู่ข้างๆ กันนั่นแหละ
และในฉากสุดท้าย แม้ว่าจะอยู่กับตัวเองมาตลอด แต่มิตรภาพก็เหมือนทำให้ยังอยู่บนรถไฟขบวนเดียวกัน ในวันนึงก็จะมาถึงที่หมายที่หวังไว้พร้อมๆ และก้าวต่อไปกับเส้นทางใหม่ไปด้วยกัน
เราว่าเอ็มวีนี้พูดถึงการอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดายของชีวิตเด็กวัยรุ่นในสังคมปัจจุบันได้อย่างตรงไปตรงมาและคมคายมากเลยทีเดียว
จากนี้มาดูฉากเจ๋งๆ ในเอ็มวีนี้กันดีกว่าค่ะ
Omelas Hotel กับ No Vacancy
ความสนุกสนานและมิตรภาพ ปาร์ตี้ระหว่างหนุ่มๆทั้งเจ็ดคนเกิดขึ้นตอนที่เเรปมอนสเตอร์เปิดประตูเข้าไปใน Omelas Hotel ซึ่ง Omelas เป็นชื่อเมืองที่เอามาจากเรื่องสั้นเรื่อง
The Ones Who Walk Away from Omelas ของ Ursula K. Le Guin
Omelas เป็นเมืองยูโทเปียที่ผู้คนมีแต่ความสุขและงานรื่นเริงแต่ว่าจริงๆแล้วข้างใต้เมืองมีคุกขังเด็กๆไว้ ซึ่งการที่ผู้คนในเมืองมีความสุขก็เพราะเด็กๆที่ถูกขังไว้มีความทุกข์ โดยคนในเมืองจะได้รับการบอกว่าความสุขของพวกเขาแลกกับความทุกข์ของเด็กๆ หลายคนรู้แล้วก็ไม่แคร์ สุขต่อไป แต่มีหลายคนที่รู้แล้วก็เลือกจะเดินทางออกจากเมืองและไม่เคยกลับมาอีกเลย Omelas ตั้งคำถามถึงการแสวงหาความสุขในชีวิต คนเราจะใช้ชีวิตที่มีความสุขตลอดไปโดยไม่สนใจอะไรเลยได้รึเปล่า ?
ผกก อาจจะอย่างให้ Omelas เป็นชีวิตวัยรุ่นที่มีความสุข เเรปมอนเดินเข้าไปก็มีความสุข แต่ก็ตามชื่อเมืองค่ะ ไม่มีความสุขไหนที่สุข 100 เปอร์เซ็นแม้แต่ในชีวิตวัยรุ่น มันก็เป็นความสุขที่อาจจะต้องแลกมาด้วยบางอย่ง และในตอนสุดท้ายของเอ็มวี จองกุกวิ่งผ่านเข้าไปใน Omelas แล้วไม่เจอใครเลย ทุกคนจากไปแล้ว เหมือนใน The Ones Who Walk Away from Omelas ค่ะ หนุ่มๆของเราตัดสินทิ้งความสุขของวัยรุ่นไว้ข้างหลังแล้วเดินจากไป
ส่วน No vacancy อาจจะสื่อว่าเมืองที่มีความสุขแห่งนี้มีแต่คนอยากอยู่เลยไม่เคยว่าง หรืออีกมุมอาจจะมองว่า ณ จุดนึง ทุกคนก็ต้องโตขึ้นและจากเมืองนี้ไปเลยไม่มีใครอยู่ในโรงแรมแห่งนี้ได้เลยต่างหาก ดังนั้นโรงแรมเลยไม่มีที่ว่างให้ใครทั้งนั้น
ส่วนตัวคิดว่าผกก จะแทนเมืองนี้ด้วย Neverland ก็ได้ซึ่งเป็นคอนเซปที่ใกล้กัน แต่ด้วยความเล่นใหญ่มาตั้งแต่ต้นจะให้มาใช้คอนเซป neverland ก็อาจจะตลาดไป Omelas ที่เป็นเมืองสุขปนเศร้า เทียบกับ Neveland ที่มีแต่ความสุขแล้ว Omelas ดูเป็นตัวเลือกที่เข้ากับชีวิตวัยรุ่นได้ดีกว่าโลกของเด็กอย่าง Neverland
มองเห็นตัวเองบนรถไฟ
ฉากที่เราชอบมากคือตอนที่จองกุกวิ่งออกมาแล้วเจอตัวเองในรถไฟ
เราว่าฉากนี้มันเป็นการมองอดีตย้อนลงไปเรื่อยๆ ช่วงเวลาของชีวิตช่วงหนึ่งก็เหมือนนั่งรถไฟจากจุดแรกไปที่ปลายทางแล้วเปลี่ยนขบวน จองกุกที่อยู่บนรถไฟมองเห็นตัวเองในอดีตที่อยู่ด้วยกันกับเพื่อน หันมามองกัน เราว่ามันเหมือนเป็นการสบตากันเพื่อบอกลาอดีต และรถไฟที่นั่งอยู่ก็วิ่งต่อไปเร็วมาก ไม่ได้แวะจอด อาจจะหมายถึงการกลับเยี่ยมเยี่ยนควาทรงจำเก่าเพื่อระลึกถึง ไม่ได้จมติดอยู่กับมันแล้ววิ่งต่อไปในสถานีหน้า
ม้าหมุน/เครื่องซักผ้า/บันไดเวียน
ม้าหมุนของจองกุก เครื่องซักผ้าของชูก้า บันไดเวียนของจิน ทั้งสามอย่างเล่นกับความวนเวียน วงกลม บางทีอาจจะสื่อถึงวัฐจักร วงจรของชีวิตก็ได้ ไม่ได้หมายถึงตายแล้วเกิดใหม่นะคะ แต่คงแปลว่าพวกเราต่างใช้ชีวิตหมุนวนซ้ำๆอยู่ใกล้ๆกัน แต่เส้นทางชีวิตก็อาจจะไม่ตัดกันเสียทีเดียว เน้นภาพความรู้สึกโดดเดี่ยวในใจเหมือนต่างเดินไปในเส้นทางของตัวเองโดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกแต่ก็ยังอยู่ใกล้ๆกันนี่แหละ เป็นธีมความโดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดายของวัยรุ่นอีกครั้ง
เราชอบตรงที่ผกก ใช้ฉากเดิม แต่ทำให้ตอนแรกไม่มีคน พอหลับตาเพื่อนก็โผล่มา เหมือนภาพแรกฉายภาพเราอยู่คนเดียวตามที่เราคิด ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นภาพที่มีคนอื่นอยู่ด้วย อาจจะเป็นการมองว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้อยู่คนเดียวมีคนอื่นอยู่ด้วย หมุนวนอยู่กับวงจรชีวิตเขาใกล้ๆเรานี่แหละ
ตัวอย่างการตัดฉากระหว่างตอนที่อยู่คนเดียวกับอยู่กับเพื่อนก็เช่น ฉากที่จองกุกหลับตาแล้วเห็นม้าหมุนเริ่มทำงาน ชีวิตเริ่มต้นแล้วก็มีภาพทุกคนเดินสวนกันหน้าม้าหมุน
อีกฉากคือชูก้ากับกองผ้าในเครื่องซักผ้าที่ตอนแรกเหมือนอยูคนเดียว แต่จริงๆแล้วอยู่ด้วยกันทุกคนแต่มองไม่เห็น
*พูดถึงตรงนี้แล้วขออวยความละเอียดของผกก นิดนึง ตรงนาที 2.28 จินหันไปมองในเครื่องซักผ้า ฉากหลังของจินคือภูเขา มองเข้าไปผ้าให้เครื่องก็กองอยู่เป็นภูเขาเหมือนกันเลย เป็นดีเทลเล็กๆน้อยๆที่ทำให้งานดูมาสเตอร์พีซมากค่ะ
และฉากสุดท้ายบันไดวนของจิน ที่ตอนแรกมีหลายคนก่อนจะมีคนเดียวค่ะ ทางทีเส้นทางเดินของเราก็อาจจะเป็นแบบนั้นวนๆอยู่รอบๆกัน ไม่ได้หายไปไหนหรอก
ท้องฟ้า / ทะเล / หิมะ
ตรงข้ามกับม้าหมุน เครื่องซักผ้า บันไดเวียน ที่ทำให้เรามองเห็นภาพกว้างๆว่าแท้จริงแล้วเราอาจจะไม่อยู่โดดเดี่ยว ความเวิ้งว้างของฉากท้องฟ้า ทะเล หิมะ เหมือนสร้างมาตัดกับความหวังที่ว่าเราอาจเดินสวนกันอยู่บ่อยๆ แล้วย้ำอีกครั้งว่า ไม่ว่าอย่างไร เราก็จะยังมีมุมที่ต้องอยู่คนเดียว ต่อสู้คนเดียวและทำตามเส้นทางของตัวเอง การใช่ฉากพวกนี้ลงไปมันทำให้เอ็มวีมันยังคงความขุ่นไว้ได้ ไม่ได้ให้ความหวังไปซะทีเดียว เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีความโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญ ประทับผกก จริงๆที่ยังพยายามรักษาธีมนี้เอาไว้และไม่ได้ทำให้เอ็มวีมันดูสดใส ให้ความหวังมากเกินไปเหมือนเอ็มวีเรื่องเพื่อนที่เห็นบ่อยๆ
สำหรับฉากเปิดตัวฉากแรกที่วีแนบหน้าลงกับรางรถไฟแล้วเหมือนรถไฟวิ่งเข้ามาชน เราว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตายอะไรหรอกค่ะ แอบคิดว่าเป็นการแสดงความคิดถึงถึงเพื่อนๆที่นั่งอยู่ด้วยกันบนรถไฟรึเปล่า ? หรือมองดูรถไฟที่วิ่งจากไปมากกว่าจะมาชน มองโลกในแง่ดีมากค่ะ 555 จริงๆ คงเป็นแค่ภาพที่วีย้อนคิดถึงตัวเองสมัยวัยรุ่น ที่อาจจะมีปัญหา คิดฆ่าตัวตายอะไรพวกนี้ แต่ก็เป็นแค่ความทรงจำ ส่วนตัวเราว่าเป็นการเปิดฉากแรกของเอ็มวีที่ดีนะคะ ใส่ความเหงาลงไปอย่างเต็มทีแถมยังเอาไปโยงกับรถไฟธีมหลัก แล้วก่อให้เกิดข้อสงสัยในใจนิดหน่อยว่าฉากนี้จะฆ่าตัวตายรึเปล่า ถึงตอนหลังจะเฉลยว่าไม่ฆ่า ก็นับว่าเป็นฉากแรกที่ทิ้งฮุกไว้ให้คนดูได้อย่างดีเลยค่ะ (อวยหนักไป ขอโทษค่ะ)
รองเท้าผ้าใบ
ไอเท็มสำคัญอย่างสุดท้ายของเอ็มวี รองเท้าผ้าใบค่ะ เรามองว่ามันเป็นตัวแทนของความทรงจำทั้งหมดของวัยรุ่น ที่เลือกรองเท้าอาจจะเป็นเพราะมันสิ่งที่ช่วยพาเราเดินทางผ่านเวลาวัยรุ่นของเรา เมื่อถึงสถานีปลายทางที่ต้องบอกลาการเป็นวัยรุ่น มันก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรองเท้าและทิ้งรองเท้าคู่เดิมไว้พร้อมๆกับความทรงจำ
อีกอย่างที่ประทับใจในเอ็มวีนี้คือการที่ทุกคนแสดงสีหน้าดีมาก มันเป็นสีหน้าของการรำลึกความหลังแล้วรู้สึก nostalgic เสียใจและดีใจที่มันผ่านมาได้ แล้วทุกคนจะทำหน้าแบบนี้กันตั้งแต่ต้นจนจบเอ็มวี ถึงสุดท้ายจะมาเจอกันแล้ว แต่ความรู้สึกถึงอดีตที่ผ่านมามันก็ยังทำให้รู้สึกหวานขนมากกว่าจะยิ้มออกได้จริงๆ ไม่รู้จะพูดไงค่ะ ประทับใจ ผกก ที่เลือกจะแสดงออกมาแบบนี้นะคะ มั่นคงในธีมโดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย ชีวิตหวานขมจริงๆค่ะ
Twilight
มาถึงฉากจบค่ะ อันนี้ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจที่ฉากสุดท้ายถูกใส่เอฟเฟคให้เป็นสีท้องฟ้าช่วงทไวไลท์และรูปสุดท้ายที่ไม่ได้ถูกกดสีให้ขุ่นเหมือนฉากอื่นในเอ็มวี แต่ทำเป็นให้แสงเข้ามาด้านนึง ไม่เข้าอีกด้าน
จริงๆแล้วหลายเอ็มวีของบีทีเอสจบในฉาก Twilight เยอะมากค่ะ แล้วเราก็ได้เขียนเรียนฉากทไวไลท์ลงในอีกบทความที่เป็นทฤษฎีเอ็มวีอื่นๆของบังทันแล้ว แต่อยากจะย้ำในนี้อีกรอบว่า เราคิดว่าผกก เปรียบช่วงวัยรุ่นของเราเป็นช่วงท้องฟ้าทไวไลท์ค่ะ มีทั้งมืดและสว่างปนกันไป แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุดของวันเช่นกันค่ะ ถ้าเราไม่ได้มโนไปเอง ก็ต้องขอปรบมือให้กับผกก ที่จบทิ้งท้ายได้สวยแบบนี้มากๆเลยค่ะ
สุดท้ายแล้วเราก็ฝากเพลงนี้กับบีทีเอสกันด้วยนะคะ ที่มาเขียนอวยเพราะเราชอบเพลงและรายละเอียดศิลปะในเอ็มวีมากจริงๆ นี่ไอดอลเกาหลีเหรอ ทำไมทำเพลงกับเอ็มวีดีงามขนาดนี้ อีกอย่างเราเองอยู่ช่วงใกล้จบเเต่ก็มีเพื่อนเก่าๆที่จบไปแล้วเลยรู้สึกอินกับความรู้สึกคิดถึงเพื่อนและความจริงที่ว่าต้องห่างกันไปแบบนี้ค่อนข้างมาก เจอเพลงนี้แล้วอินมากๆ ค่ะ
สำหรับใครที่ชอบงานอาร์ตของบีทีเอส จะบอกว่าวงนี้เขาทำเพลงกับเอ็มวียิ่งใหญ่มาก โปรเจคระดับจักรวาลนะคะ หลังจากเดบิวส์เมื่อหลายปีก่อนเขาก็ปล่อยเพลงออกมาเป็นเซทๆค่ะ เซทแรกคือชีวิตไฮสคูล ตอนนี้มาเซทชีวิตวัยรุ่นค่ะที่ปล่อยเอ็มวีต่อกันเป็นหนังสั้นตั้งปี 2015 จากเพลง I need U จนถึงเพลง Spring Day ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเอ็มวีสุดท้ายในเซทวัยรุ่นค่ะ เนื้อหาในเอ็มวีก็อลังการนะคะ เราเขียนไว้แล้วในอีก
บทความ ขอขายของต่ออีกรอบ สปอยสั้นๆว่า เอ็มวีเซทวัยรุ่นของเขาพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องพยายามต่อสู้กับโลกมืดเวลาที่พูดปีศาจในใจตัวเองเรียกหา ขอบอกว่าเล่นใหญ่ สมควรแก่การไปดูมากเช่นกันค่ะ
ถ้ามาอ่านถึงตรงนี้ ก็ขอบคุณที่อ่านเราอวยจบนะคะ เราเองก็เพิ่งมาตาม BTS ตอนเพลง Spring Day เลย ตอนนี้หลงกระต่ายมาก 555 ถ้าเราเขียนผิดพลาดตรงไหนช่วยตักเตือนด้วยนะคะ :)
ดูแล้วรู้สึกว่าสื่อความมายค่อนข้างดี
แต่พอมาอ่านวิเคราะห์อันนี้ ยิ่งมีความรู้สึกแบบอินมากกว่าเดิม
ชอบการวิเคราะห์ค่ะ : )
แต่แอบพิมผิดนิดหน่อยนะคะ สู้ๆค่ะ รอติดตามค่ะ ♥