เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นิยายจีนmenalin
เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน (月都花落,沧海花开)
  • "สิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิต คือรู้ว่าท่านเองก็รักมั่นลึกซึ้งเหมือนข้า
     สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต คือรู้ว่ารักมั่นของท่านอยู่ที่ใด"
    - ลั่วเวย
    (หน้า 7, เล่ม 1)



    "เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน (月都花落,沧海花开)"

    ผู้เขียน: จวินจื่ออี่เจ๋อ (君子以泽)
    ผู้แปล: อัญชลี เตยะธิติกุล
    สนพ. อรุณ, พิมพ์ครั้งแรก, กรกฎาคม 2559
    (2 เล่มจบ)

    cr. ภาพ cover 51camel.com
    cr. ภาพปก samsenbook.com

              "ข้าครุ่นคิด โชคชะตากับความแค้น ความรักความชังทุกอย่างนับจากนี้ ล้วนมาจากความใฝ่ฝันอันไร้เดียงสาในช่วงแรกสุดของชีวิตข้านั้นทีเดียว" (หน้า 6, เล่ม 1) ลั่วเวยคือองค์หญิงเล็กแห่งซู่เจา เมืองอันแสนงดงามที่มหาเทพอิ้นเจ๋อเป็นผู้สร้าง เดิมทีนางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็นองค์หญิงเล็กจอมแก่นสร้างวีรกรรมไม่เว้นวัน แต่แล้วแคว้นซู่เจาก็ถูกกวาดล้างในชั่วข้ามคืนโดยเซียนชั้นสูงด้วยข้อหาว่าพวกนางเป็นปีศาจ นางกลายเป็นกำพร้าและถูกจับโยนหน้าผาจนบาดเจ็บสาหัส ลั่วเวยระหกระเหินไปจนถึงแดนเซียน ท่ามกลางความโชคร้ายนางยังประสบเคราะห์ดี (บวกกับความหน้าทน และความลื่นไหลนิดหน่อย) ลั่วเวยได้เป็นศิษย์ของท่านเทพสมุทร หรือก็คือมหาเทพอิ้นเจ๋อที่ชนเผ่าของนางนับถือ ไม่เพียงเท่านั้นท่านมหาเทพยังเป็นอาจารย์ของพี่ชายของนาง และยังเป็นคนเดียวกันกับชายหนุ่มรูปงามที่มักปรากฏกายมาช่วยนางในยามทุกข์เข็ญเสมอ แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อมาอยู่ด้วยกันเขาถึงได้กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวจิตหัวใจขนาดนี้ ลั่วเวยมุ่งมั่นกับการฝึกตนเพื่อบรรลุเป็นเซียน นางตั้งใจจะกลับไปแก้แค้นและล้างมลทินให้บ้านเกิด แต่พลังฝีมืออันน้อยนิด อายุขัยอันแสนสั้น แล้วยังความโหดของท่านอาจารย์มหาเทพอีก ลั่วเวยจะสำเร็จเป็นเซียนได้เมื่อไรกันเล่าหนอ...

              月都花落, 沧海花开 (เยว่ตูฮวาลั่ว ชางห่ายฮวาคาย) หรือในชื่อไทยแสนยาวว่า เมืองจันทราดอกไม้ร่วง มหาสมุทรดอกไม้บาน (Blossom in the Moon Kingdom) นี้วางจำหน่ายพร้อมกันกับ บุหลันไร้ใจ (冷月如霜 minimore.com) เมื่อไม่นานมานี้  เราซื้อมาพร้อมกัน จริง ๆ อ่านจบมาสองวันละ แต่เพิ่งมีจังหวะมาเขียนบันทึก ต้นฉบับภาษาจีนมีเล่มเดียวจบ แต่สนพ. อรุณนำมาแปลไทยแล้วแบ่งเป็น 2 เล่ม โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความสะดวกในการอ่าน

              สไตล์การดำเนินเรื่องของเรื่องนี้เป็นแบบนิ่ง ๆ ให้นางเอกเป็นคนเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ อารมณ์นึกย้อนความหลังไป ดังนั้น เนื้อหาในเล่มแรกซึ่งเป็นช่วงปูเรื่องก็เลยออกจะน่าเบื่ออยู่สักหน่อย เรารู้สึกเหมือนอ่านตำรา ฮาา คือผู้เขียนอธิบายเกี่ยวกับลำดับชั้นเทพเซียน ตำนานต่าง ๆ แทรกเป็นเกร็ดความรู้ด้วยนิดหน่อย เหมือนฟังเพื่อนเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วมันให้รายละเอียดเยอะให้เราเห็นภาพเรื่องที่เล่าชัดเจนอะ แต่พอมันเยอะไปเราก็เลยรู้สึกแบบนี่จะเข้าเรื่องแล้วยัง (สำนวนแปลบางช่วงก็ไม่ค่อยลื่นไหล อาจจะแปลตรงตามต้นฉบับไม่ได้ปรับมาก บางจุดก็เหมือนจะขาดคำเชื่อมไป แต่เป็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ อะนะ ไม่ถึงกับทำให้เสียอรรถรสมากมาย) อีกอย่างคือ ดูจากความหนาสองเล่มรวมกันแล้ว เราว่าสามารถพิมพ์เป็นเล่มเดียวจบได้อะ ไม่น่าจะต้องแยกเป็นเล่มหนึ่ง เล่มสอง

              พอเข้าช่วงที่นางเอกเข้าสำนักไปเป็นศิษย์ของมหาเทพแล้วนั่นแหละ ถึงเริ่มสนุกขึ้น นางเอกโก๊ะมาก ซื่อบื้อสุด ๆ นึกถึงป๋ายเฉี่ยนใน สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ (三生三世, 十里桃花 menalin.blogspot.com) อะ แต่ลั่วเวยนี่บื้อกว่า ผสมกับความเจียมตัวแบบฮวาเชียนกู่ ใน ตำนานรักเหนือภพ (花千骨 menalin.blogspot.com) แถมหลงรักอาจารย์ตัวเองเหมือนกันอีก (แต่ชีวิตลั่วเวยไม่ดราม่าเท่า) อาศัยความกะล่อนเอาตัวรอด ประจบเอาใจอาจารย์ ส่วนพระเอกนี่ก็พวกหน้าน้ำแข็งฟอร์มจัด (แต่แอบหื่น) ไม่ได้เป็นพวกเคร่งศีลธรรมจ๋าจนน่าเบื่อ มีความดาร์กในตัว เป็นมหาเทพอายุเป็นหมื่นปีแล้ว อ่อยนางเอกอ้อม ๆ แต่นางซื่อบื้อไม่รู้ความพี่ท่านก็ไม่ได้พยายามรุกต่อแต่อย่างใด ลุ้นกันไปค่ะ 55

              ส่วนบทตลกเราว่ายังไม่สุด ยังไม่ฮาเท่าไร แล้วก็ไม่ใช่แนวตามล้างแค้นจ๋านะ ความแค้นนี่เหมือนเป็นแค่ปมหนึ่งของเรื่อง เน้นไปทางความรักมากกว่า พอเข้าช่วงดราม่าเท่านั้นแหละ บ่อน้ำตาแตกคว้าทิชชู่แทบไม่ทัน คือมันเป็นความดราม่าที่ค่อย ๆ ซึมลึกเข้าในใจอะ เราว่านักเขียนคนนี้เขาเก่งตรงจุดนี้ เขาทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับนางเอก ค่อย ๆ กระจ่างไปพร้อม ๆ กัน คือในเรื่องตัวนางเอกก็เหมือนจะรู้เค้าลางบางอย่างแหละ ตัวเราเองก็จะรู้สึกแบบนั้น คนอ่านน่าจะเดากันได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ด้วยความที่มันไม่ชัดเจน เลยเลือกที่จะเชื่อสิ่งที่เห็น พอโป๊ะเชะ ความจริงค่อย ๆ ลอยชัดขึ้นมาตรงหน้า หวิวเลย ปวดไตขึ้นมาทันที

              เวลามีปัญหาหรือทุกข์ใจ เราอาจจจะมองความทุกข์ความเจ็บปวดนั้นใหญ่กว่าความจริง มองว่ามันมากกว่าของคนอื่นเสมอ รู้สึกว่าเราเนี่ยทุกข์ที่สุดแล้ว เหมือนอย่างตอนที่ลั่วเวยรำพึงรำพันว่า "เรื่องของความรู้สึกนั้น แท้จริงแล้ว ผู้ที่เริ่มมีใจก่อน ผู้ที่รักมากกว่า ผู้นั้นก็จะพ่ายแพ้จนหมดท่า" (หน้า 95, เล่ม 2) เวลานั้นลั่วเวยเจ็บปวดและผิดหวัง แต่แท้จริงแล้วนางไม่รู้อะไรเลย เราจะเอาอะไรมาวัดล่ะ ว่าเราคือคนที่มีใจก่อน เป็นเราที่รักมากกว่า แล้วเราคือคนที่เจ็บปวดที่สุดในความรักนั้น ลั่วเวยเองก็เคยให้คำมั่นไม่ใช่หรือ ว่าจะกลับไปอยู่กับเขา จะไม่ปล่อยให้เขาต้องโดดเดี่ยว แล้วตัวนางได้ทำตามคำมั่นสัญญานั้นหรือเปล่า? ในขณะที่อิ้นเจ๋อ ก็รักลั่วเวยในแบบของเขา ยึดมั่นในรักมากเกินไป มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ต่างคนต่างก็มีรูปแบบความรักของตัวเองก็เท่านั้น

    "มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้ารู้สึกว่ายากจะทน แต่สำหรับคนอื่นแล้วกลับยิ่งยากเป็นร้อยเท่าพันทวี สุดท้ายเมื่อตายไปแล้วก็หมดกังวล คนมีชีวิตอยู่ต่างหากที่เจ็บปวดทรมาน หากเจ้าไม่บอก ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ไหนดี"
    - อิ้นเจ๋อ (หน้า 244, เล่ม 1)

              ใครชอบแนวโรแมนติกดราม่า ก็ลองรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาดู แม้จะเดินเรื่องเรียบ ๆ แต่ก็มีความกินใจ อันตัวเรานี้ก็ #ทีมอิ้นเจ๋อ ค่ะ ไม่รู้จะมีเพื่อนร่วมทีมไหม :p
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in