เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้คืออะไร
ความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ เขาอธิบายมันไม่ได้ เหมือนกำลังไต่เชือกจากตึกสูงสี่สิบชั้นไปยังตึกที่อยู่อีกฝั่ง เขาไม่รู้ตัวว่าเริ่มออกเดินตอนไหนด้วยซ้ำ แดเนียลกำลังกลายเป็นตัวละครสมมติในเพลงที่เขาเขียนขึ้นเอง สิ่งที่เขาเคยปรามาสว่าโง่เง่าสิ้นดี
I feel like I'm walking on a tightrope
My heart is in my throat
I'm counting on high hopes to get me over you
หลายวันก่อนพวกเขาขลุกตัวอยู่ที่สตูดิโอเพื่อซ้อมดนตรีสำหรับโชว์ในรายการโทรทัศน์ ตอนพักกลางวัน เกล็นวางกระบอกเก็บความร้อนลงตรงหน้าเบนจามิน มือเบสแบคอัพที่เป็นเพื่อนร่วมวงของเขามายาวนาน
“ซุปฟักทอง อลิสาทำไว้เมื่อคืนเลยให้เอามาฝาก”
อาหารกลางวันอยู่ตรงนี้แล้ว แต่เมื่อเขาเริ่มวอร์มเสียง แดเนียลก็กินอะไรไม่ได้จนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น เขาจึงได้แค่จิบน้ำเปล่า มองเพื่อนสามคนซดซุปฟักทองรสเยี่ยมที่เหลือจากเมื่อคืน จบวันพวกเขาแยกย้าย แดเนียลเหลือบไปเห็นพวงกุญแจอันน้อยที่ห้อยอยู่กับกุญแจรถของเบน มันส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งยามกระทบกัน ลักษณะคุ้นตาเหมือนสิ่งที่เขาเก็บไว้ในกระเป๋าเครื่องดนตรีเสมอ
“ไอ้นั่นอะไร” แดเนียลชี้
เบนชูกุญแจขึ้นพร้อมทำหน้าเหมือนกำลังตัดสิน บนหน้าผากเขาเขียนว่า ก็กุญแจรถไง ไอ้งั่ง แดเนียลเอื้อมมือไปสะกิดพวงกุญแจเรซิ่นรูปใบโคลเวอร์อีกครั้ง
“อ๋อ ลิซให้มาน่ะ” เบนบอกว่าอลิสาให้เขาก่อนจะไปทัวร์เมื่อเดือนที่แล้ว หากไม่เอามาใช้ก็กลัวว่าจะหาย เขาอุตส่าห์ทิ้งท้าย “เป็นเด็กที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อดีนะ”
แดเนียลเผลอนึกไปถึงกลางดึกคืนนั้น เขาพึมพำเสียงอ่อย “นายก็ได้เหรอ…” พวงกุญแจที่เขาคิดว่าเป็นคนเดียวที่ได้ครอบครอง สิ่งเดียวที่ทำให้เขาพิเศษกว่าใครอื่น เครื่องรางประจำตัวของเขา
แต่เสียงของเกล็นปลุกเขาจากภวังค์
“เราได้ทุกคน นายไม่รู้เหรอ” เกล็นที่กำลังม้วนสายไฟอยู่กล่าวลอย ๆ เหมือนบอกดินฟ้าอากาศ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ คนหูไวตาไวอย่างหมอนั่นคงจะฟังอยู่นานแล้วจึงได้พูดออกมาง่ายดาย ความรู้สึกซึ่งอธิบายไม่ได้โจมตีแดเนียลเข้าอย่างจัง นั่นทำให้เขาอยากจะเดินไปตบกระบาลเกล็นสักป้าบ
ความรู้สึกนี้ละม้ายคล้ายความเจ็บใจแต่พ่วงมาด้วยความผิดหวัง ผิดหวังที่ไม่ได้เป็นคนพิเศษกว่าใครอย่างที่เคยคิดเอาไว้ แดเนียลพร่ำถามตัวเองว่าเพราะอะไรมันจึงเกิดขึ้น เขาเคยปรึกษาเรื่องนี้กับมาร์ค แต่นอกจากจะโดนเย้ยหยันกลับมาแล้วคำตอบที่ได้รับก็ไร้ประโยชน์ มาร์คตบบ่าเขาสองสามครั้ง ก้มลงกระซิบข้างหูว่า “ไอ้โง่” จากนั้นก็เดินจากไป
ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งในเช้าวันนี้
พวกเขาสามคนกำลังกินอาหารเช้าที่โต๊ะ มีไส้กรอก ขนมปังปิ้ง และชา เสียงช้อนกระทบแก้วดังคลอไปกับเสียงเพลงของวงบีจีส์ที่เปิดจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง ตอนนั้นแดเนียลได้ยินเสียงรองเท้าใกล้เข้ามาจึงหันไปมอง
“โอ้”
มาร์คอุทานเมื่อเห็นว่าเธอใส่ชุดกระโปรงสีครีมอ่อนหวาน ผมลอนดัดหยิกถูกรวบเข้าที่เข้าทางแถมยังผูกผ้าพริ้ว ๆ นั่นอีกต่างหาก เป็นภาพแปลกตาสำหรับพวกเขา ปกติเขาจะเห็นเธอใส่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่กับกางเกงขายาวออกไปทำงาน ผมฟูอย่างไรก็ปล่อยให้ฟูอยู่อย่างนั้น และเมื่ออยู่บ้านเธอมักจะใส่อะไรก็ได้ที่อยู่ในตู้โดยไม่ได้สนใจว่าเข้ากันหรือไม่ บางทีก็หยิบเสื้อยืดของเกล็นไปใส่อยู่บ่อยครั้ง
“ฉันว่าฉันต้องพบจักษุแพทย์”
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง” เธอย่นจมูก รองเท้าส้นสูงส่งเสียงเป็นจังหวะตอนเดินไปหยิบถ้วยชาในตู้ “เพลย์ลิสต์เช้านี้เป็นของเกล็นแหง”
“ถูกต้อง” ชายที่ฮัมเพลงอยู่หันมายักคิ้ว
“ก็ยังดีที่พี่ไม่เปิดเพลงตัวเองในบ้านน่ะนะ”
“ขอเถอะ ขอเว้นไว้ที่นึงแล้วกัน ไม่อย่างนั้นพี่คงรู้สึกเหมือนกำลังทำงานอยู่ตลอดเวลา”
แดเนียลยิ้มขณะที่มองเด็กสาวอย่างช่วยไม่ได้ เขาเป็นเช่นนี้เสมอ โกรธเธอได้ไม่นาน หรือความจริงแล้วเขาแทบไม่เคยโกรธเธอเลย มาร์คมักจะบอกว่าแดเนียลเหมือนสุนัขตัวโต แค่โดนเจ้าของลูบหัวหน่อยหางก็กระดิกแล้ว อลิสาก็คงเห็นด้วยเช่นนั้น เธอมักจะเรียกเขาว่า หมาโง่ ไม่ก็ ตาบื้อ เธอเด็กกว่าเขาสิบกว่าปีแต่เขาไม่เคยมีปัญหาหรือตั้งคำถามกับความหยาบคายนี้ด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ
“เธอสวยมาก” เสียงของเขาเบาเหมือนกับกำลังรำพึง เธอสวมชุดกระโปรงสีครีมตัดกับรองเท้าคัตชูสีแดงสด ดวงตากลมโตถูกแต้มสีสัน เหมือนลูกแก้วสองลูกที่ระยิบระยับอยู่บนใบหน้า ขนตางอนขยับขึ้นลงตอนกะพริบตา ชั่วขณะหนึ่งเขาเห็นเธอยิ้มน้อย ๆ เหมือนเบิกบานจากนั้นก็หลุบตาลงต่ำและบอกขอบคุณ เธอหยิบขนมปังปิ้งในจานยัดเข้าปาก แดเนียลเห็นแก้มตุ่ย ๆ เวลาเคี้ยวและเศษขนมปังหล่นลงเปื้อนชุดเธอจึงพูดต่อ “แต่กินเหมือนเด็ก”
เธอเบ้หน้าใส่เขาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่มหัวเราะที่แกล้งเธอได้ เขายื่นกระดาษทิชชู่ให้
“วันนี้จะไปไหนเหรอ”
“หอศิลป์” เธอบอก “มีงานเสวนาเปิดนิทรรศการน่ะ”
“ให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเคนมารับ”
เคน? ไอ้หนุ่มฟักทองข้างบ้านน่ะนะ เขาได้ยินชื่อนี้มาสองครั้งแล้ว
“ฟังดูเหมือนเธอกำลังจะไปเดทเลย” มาร์คพูดติดตลก เขาคงไม่คิดว่ามันจะจริงอยู่แล้ว อลิสาไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ด้วยซ้ำ ในหัวเด็กสาวคิดแต่เรื่อง ทำยังไงถึงจะเขียนงานจบ และ ทำยังไงถึงจะมีงานชิ้นใหม่
แดเนียลเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่บอกว่า นักเขียนไม่มีวันหยุด เห็นจะจริง เพราะทุกอย่างที่อยู่รอบตัวกลายมาเป็นงานเขียนได้ทั้งนั้น อลิสาเคยเล่าให้เขาฟังว่าในหัวของเธอสร้างเรื่องราวสมมติขึ้นอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในยามหลับความฝันก็สามารถกลายมาเป็นเรื่องสั้นที่ร้อยเรียงจนเป็นเล่มได้ (กรณีที่จำได้ว่าฝันเรื่องอะไร) บางทีเธอก็ทรมานที่หยุดคิดไม่ได้ มันเหมือนกับมีพายุถาโถมอยู่ในหัว แต่การที่ไม่คิดอะไรเลยนั้นทรมานยิ่งกว่า
อลิสายักไหล่ ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับ มาร์คหุบยิ้ม
“นี่เธอจะไปเดทจริง ๆ เหรอ”
“แล้วพี่คิดว่ายังไง”
“ให้ตายสิยัยลิซ” มาร์คอุทานเป็นรอบที่สอง
เกล็นแค่จิบชาของตัวเอง เขาอาจจะกำลังสงสัยแต่เพราะไม่ชอบซักไซ้อะไรให้มากความจึงทำเหมือนไม่สนใจไปอย่างนั้น ส่วนแดเนียลเหลือบมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไอ้ความรู้สึกบัดซบที่ว่าโจมตีเขาอีกครั้ง ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ เหมือนโดนหมัดหนักต่อยเสยคางเข้าให้ มันแรงจนกระทั่งเขาได้สติ
I've got my eyes closed
As long as the wind blows
I'm counting on high hopes to get me over you
เขายังคงยืนอยู่บนเชือกเส้นนั้น พอตระหนักได้ว่าความรู้สึกนี้แท้จริงคืออะไร เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ตรงกลางทางและไม่มีทางให้ย้อนกลับแล้ว ลมพัดเชือกให้แกว่งไกวไปมา มันสูงขึ้นจากพื้นทุกครั้งที่เขาก้าวเท้า แถมข้างล่างยังไม่มีอะไรมารองรับ
ชายหนุ่มหลับตา เขาเดินต่อไม่ได้ ถอยกลับไม่ได้ หากตกลงไปก็คงตายอย่างเดียว
Because I'm a man on a wire
I'm a man on a wire
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in