เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Winter MechanicTippuri~ii*
Chapter 2
  • Chapter 2

     

     

     

     

     

     “แล้วตอนนี้คุณลุงสตีฟได้ไปเดทรึยังล่ะคะ?”

                   

     

     

     

     

    นี่คือคำถามจากปากหนูน้อยเมแกน โรมานอฟฟ์-บาร์ตันที่กำลังกระโดดเชือกเป็นจังหวะช้าๆ ตามที่คุณอาแซม วิลสันไกวให้อยู่ ตอนนี้เด็กหญิงวัยสิบขวบต้องมาค้างบ้านเพื่อนของผู้เป็นแม่เป็นเวลาสี่วันเพราะสองสามีภรรยาโรมานอฟฟ์-บาร์ตันมีทริปเรื่องงานและจำเป็นต้องบินด่วนไปบูดาเปสต์แบบสายฟ้าแล่บ…ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับทั้งแซมและสตีฟเลยเพราะหนุ่มโสดทั้งสองนี้ต่างก็เอ็นดูสาวน้อยผมแดงคนนี้อยู่แล้ว

                   

     

     

     

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นาตาชาฝากลูกสาวของตนให้สองหนุ่มช่วยดูให้…เพียงแต่ว่าวันนี้แปลกไปกว่าทุกทีตรงที่สตีฟ โรเจอร์สไม่ได้อยู่เล่นด้วยอย่างทุกที ทำให้ปลายเชือกอีกด้านต้องถูกผูกไว้กับต้นไม้แทน…แต่ในเมื่อมันก็ยังเล่นได้ไม่มีปัญหาและคุณอาแซมได้ขายเรื่องเพื่อนพยายามจีบหนุ่มช่างเครื่องให้สาวน้อยฟังจนหมดสิ้นแล้ว เมแกนจึงไม่ได้น้อยใจอะไรนัก…แถมยังสนุกด้วยซ้ำในการได้จินตนาการคุณลุงสตีฟผู้แสนใจดีขี้อายพยายามทำให้รถสุดห่วงของตัวเองพังนิดๆ หน่อยๆ แล้วลากมันไปที่อู่ซ่อม

                   

     

     

     

     

    “ยังเลย” แซมส่ายหน้า แกว่งเชือกให้เป็นจังหวะเอื่อยๆ

                   

     

     

     

     

    “แต่คุณบัคกี้เขาก็ดูโอเคแล้วนี่คะ?” เมแกนมุ่นคิ้วนิดๆ “หรือว่าไม่โอเค?”

                   

     

     

     

     

    “นั่นแหละประเด็น” หนุ่มผิวสีถอนหายใจ…เพราะตามที่สตีฟเล่า บัคกี้แค่พูดว่าตัวเองไม่เคยมีใครมาชวนไปเดทเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าตนจะไปหรือไม่ไปตามคำชวนของเพื่อนผมทองของเขา “นี่แหละที่เรียกว่าคุยกันจบแต่ไม่มีใครรู้เรื่องสักคนของจริงเลย”

                   

     

     

     

     

    “ถ้างั้น…” เสียงของสาวน้อยขาดช่วงเพราะเธอสูดลมหายใจแล้วออกแรงกระโดด ก่อนจะพูดต่อเมื่อเท้าเหยียบพื้นอีกครั้ง “ถ้างั้น…วันนี้ลุงสตีฟจะไปเจอคุณบัคกี้ทำไมล่ะคะ?”

                   

     

     

     

     

    แซมหัวเราะหึหึเมื่อคิดถึงเพื่อนซี้และการลงทุนในวันนี้ของเจ้าตัว…ก่อนจะตอบเด็กหญิง

                   

     

     

     

     

    “…ก็ไปทวงคำตกลงน่ะสิ”

     

     

     

     

     

     

     

    * * * * *

     

                   

     

    สตีฟ โรเจอร์สรู้ตัวว่าตนไม่ใช่คนที่ได้ชื่อว่าโชคดีอะไรนัก…แต่ในวันนี้ มันเหมือนกับว่าความอับโชคทั้งหมดทั้งปวงที่เขาจะพึงเจอได้มารุมกันบดบังเรื่องดีๆ ราวกับเมฆหมอกหนาทึบที่ทำให้วันมืดครึ้มไปหมดเสียจริง

                   

     

     

     

     

    เพราะการลงทุนที่เลื่อนขั้นมากขึ้น…กว่าชายหนุ่มจะลากเจ้าดูคาติคันใหญ่มาจนถึงอู่วินเทอร์เมคานิคได้ก็เล่นเอาหอบแฮ่กแล้ว แถมพอมาถึง…เขาก็ต้องนั่งรอเป็นชาติเพราะคิวก่อนหน้าเป็นรถสิบล้อคันเบ้อเริ่มที่พ่นควันโขมง สตีฟร่ำๆ จะหลับคาตรงม้านั่งรอที่จัดไว้ให้ตรงที่ว่างข้างบันไดขึ้นไปตรงส่วนบ้านของคุณช่างเครื่องแล้วตอนที่ชายหนุ่มผมสีเข้มโผล่มายืนตรงหน้าตอนไหนก็ไม่รู้

                   

     

     

     

     

    “ขอโทษที่ให้รอนะ…รถนายเป็นอะไรเหรอ?”

                   

     

     

     

     

    สตีฟสะดุ้งจากอาการเคลิ้มหลับ…และก็แอบปลื้มโง่ๆ เองไม่ได้กับคำทักทายที่แต่ก่อนไม่เคยมี ก่อนจะเตะตัวเองให้หายบ้าในใจแล้วเริ่มต้นเอ่ยคำ…ยิ้มอ่อนโยนตามนิสัยระบายบนเรียวปากอย่างไม่รู้ตัว

                   

     

     

     

     

    “เอ่อ…รถฉันมัน…” พูดก็พูดเถอะ…เขายังคงอยากจะร้องไห้กับการลงทุนครั้งนี้ของตัวเองอยู่เลย แต่ช่วยไม่ได้ในเมื่อมันจำเป็นจริงๆ “…ยางแบนน่ะ ดูให้หน่อยได้มั้ยว่าต้องเปลี่ยนยางรึเปล่า?”

                   

     

     

     

     

    คุณช่างเครื่องพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเริ่มต้นเดินไปสำรวจล้อหลังของมอเตอร์ไซค์ของเขาอย่างเงียบๆ เหมือนทุกที…ทำให้คนที่ลงทุนเจาะยางรถตัวเองได้รับสิ่งปลอบใจเล็กๆ น้อยๆ เป็นโอกาสในการแอบมองอีกฝ่ายแบบเต็มที่ วันนี้บัคกี้ก็ยังคงสวมเครื่องแต่งกายเรียบๆ เหมือนทุกครั้ง…เสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม แต่ผ้าเนื้อนิ่มที่แนบไปกับตัวและคอเสื้อที่เป็นรูปตัววีนี่ก็ทำให้สตีฟรู้สึกหาที่วางสายตาได้ยากอีกแล้ว

                   

     

     

     

     

    “นี่ ได้ยินฉันไหมน่ะ??”

                   

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมทองหันจากการนับขั้นบันไดเพื่อสงบจิตใจมาตามต้นเสียง…สบตากับดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่มองมาอย่างเบื่อๆ เนือยๆ เหมือนแรคคูนเซ็ง จึงได้แต่ยิ้มแหะๆ แล้วพูดความจริงเสียงจ๋อย “ง่า…ไม่น่ะ นายพูดว่าไงนะ?”

                   

     

     

     

     

    บัคกี้ถอนหายใจแบบไม่ปิดไม่บัง แต่ก็คงจะชินแล้วกับอะไรแบบนี้จากเจ้าหนุ่มตรงหน้าตน…เลยพูดซ้ำ “ฉันบอกว่ายางรถนายจะปะก็ได้นะ แต่คงต้องรอนาน…วันนี้เปลี่ยนยางอะไหล่ไปก่อนแล้ววันอื่นค่อยกลับมาเอาตัวจริงคืนไปดีมั้ย?”

                   

     

     

     

     

    นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่อีกฝ่ายเคยพูดกับสตีฟ เป็นความจริงที่สุดในสถานการณ์ที่รถบรรทุกคันก่อนหน้าก็ยังซ่อมไม่ได้ที่เลยแบบนี้ และเป็นข้อเสนอที่ยื่นโอกาสในการมาอู่วินเทอร์เมคานิคนี่ให้เขาได้อีกรอบแบบสวยๆ เลยทีเดียว…สตีฟ โรเจอร์สจึงรู้สึกในนาทีนั้นว่าเมฆหมอกแห่งความโชคร้ายของตนอาจจะเริ่มจางลงแล้วก็ได้ ชายหนุ่มเลยขอบคุณฟ้าดินในใจแล้วพยักหน้า พยายามอย่างยิ่งในการเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มกว้างโง่ๆ ที่ตนรู้ดีว่าจะระบายเต็มหน้าแน่ๆ ถ้าเผลอตัว

                   

     

     

     

     

    เมื่อเห็นว่าคุณลูกค้าตกลง…คุณช่างเครื่องก็จัดแจงไปเอาอุปกรณ์ทำงานและยางอะไหล่มา ซึ่งก็ตามประสาคนพอซ่อมรถเป็น…สตีฟขยับเข้าไปช่วยอีกฝ่ายยกตัวรถให้ลอยขึ้นแล้ววางขาตั้งเข้าไปยันไว้เพื่อจะได้ถอดยางเก่าออกมาได้ บัคกี้ไม่ได้พูดขอบคุณอะไรกับการช่วยเหลือนี้…คุณช่างเครื่องทำหน้าตาเฉยเมยติดจะบึ้งตึงเป็นกรัมปี้แรคคูนอย่างทุกทีตลอดกระบวนการเปลี่ยนยางรถ สตีฟมองคนที่ตั้งใจทำงานแล้วก็ได้แต่ขยับตัวยุกยิกแบบไม่รู้จะทำไงต่อดี…แต่เมื่อคิดๆ แล้วเห็นว่าการยืนค้ำศีรษะอีกฝ่ายคงเป็นเรื่องไม่เหมาะนัก ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งบ้าง

                   

     

     

     

     

    บัคกี้ที่หันข้างให้เขาขยับกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งตอนที่เปลี่ยนยางเส้นใหม่เข้าวงล้อแล้วเรียบร้อย สตีฟหยัดตัวมานั่งกึ่งๆ คุกเข่าตามอีกฝ่ายเพื่อช่วยในการยึดจับเจ้าดูคาติไว้ให้ไม่โงนเงนระหว่างการใส่วงล้อเข้าไปใหม่…ความช่วยเหลือที่ไม่ได้รับคำขอบคุณอีกแล้ว

                   

     

     

     

     

    ขยับไปมานิดๆ หน่อยๆ…แล้วสุดท้าย ล้อของเจ้ามอเตอร์ไซค์คันงามนี่ก็หมุนเป็นวงได้อย่างปกติ สตีฟมองตรงไป…เส้นเงินบางเฉียบของซี่ล้อที่ทาบทับกันมากมายอาจทำให้ไม่เห็นได้ชัดเจน แต่ไม่ได้บดบังภาพของวงหน้าของบัคกี้ บาร์นส์ที่อยู่อีกด้านไปเลยสักนิด…แสงและเงาของซี่ล้อที่ตกกระทบบนผิวแก้มนั้นเปลี่ยนไปตามจังหวะการหมุน ทำให้สีน้ำเงินของดวงตาดูเข้มและอ่อนต่างกันไปในแต่ละเสี้ยววินาที

     

     

     

     

     

    …และความจริงที่ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ใกล้กันจนเขาสามารถรับรู้ถึงทุกเฉดสีและความสงบนิ่งหากสั่นระริกของนัยน์ตาตรงหน้าก็ทำให้ประสาทส่วนการตระหนักรู้ของสตีฟติดขัดเหมือนมีกระแสไฟฟ้าเกินพอดีแล่นปราดเข้ามา

     

     

     

     

     

    บัคกี้เองก็สบสายตาเขาผ่านช่องว่างเล็กน้อยหากมากมายที่กั้นกลางระหว่างกันอยู่…สตีฟสาบานได้ว่าเขาเห็นความสงบนิ่งในดวงตาสีน้ำเงินนั่นค่อยๆ ปริร้าวลง ซึ่งเจ้าตัวเองก็คงจะรับรู้เช่นกัน…เพราะวินาทีถัดมา บัคกี้ บาร์นส์ก็ลุกพรวดขึ้น ก้าวฉับๆ ไปทางรถบรรทุกคันเดิม

     

     

     

     

     

    “…ค่าซ่อมไว้รอวันนายมารับยางเดิมนะ”

     

     

     

     

     

    ชิงพูดเสียงตวัดห้วนใส่ทุกประโยคที่สตีฟคิดจะเอ่ย…ทิ้งชายหนุ่มผมทองไว้กับหัวใจที่สับสนและคำชวนไปเดทที่ไร้การตอบรับยืนยันเช่นเดิม

     

     

     

     

     

     

     

    * * * * *

     

     

     

    “โอ๋ๆ…อย่าเศร้าไปนะคะคุณลุงสตีฟ”

     

     

     

     

     

    สาวน้อยเมแกนที่กำลังขี่จักรยานอยู่เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่เดินอยู่ข้างๆ ตนพร้อมพูดปลอบใจหลังได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกโตเป็นครั้งที่เกินจะนับแล้วในการออกมาขี่จักรยานเล่นเช้านี้ คำปลอบใจทำให้สตีฟลืมความรู้สึกหงอยๆ ในหัวใจไปได้ชั่วครู่…ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีแดงเหมือนแม่ของสาวน้อยเบาๆ แทนการขอบคุณ

     

     

     

     

     

    “ลุงไม่ได้เศร้าหรอกเมแกน…” ปากพูดอย่างนี้ แต่เจ้าตัวก็ถอนหายใจอีกเฮือกซ้ำแบบโต้แย้งตัวเองสุดๆ “ลุงแค่…ไม่เข้าใจเขา…”

     

     

     

     

     

    “นั่นแหละค่ะ…ก็โอ๋ๆ หมดแหละค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าเล็กน้อยให้ปอยผมสีแดงสว่างยาวสลวยไม่บังตา ก่อนจะพยายามชี้แจงถึงความเป็นไปได้อื่น “คุณบัคกี้เขาอาจจะกำลังเหนื่อยอยู่ ไม่ก็กำลังเครียดเรื่องซ่อมรถบรรทุกคันนั้นก็ได้นะ…เลยไม่ว่างคุยกับลุงสตีฟไงคะ”

     

     

     

     

     

    สตีฟได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ตอบสาวน้อย…เพราะเขาไม่ได้เล่าเรื่องไปจนถึงส่วนของวินาทีสั้นๆ ที่สายตาของตนและบัคกี้สบประสานกันผ่านช่องว่างเล็กน้อยมากมายของวงล้อรถ จึงไม่น่าแปลกใจที่เมแกนจะให้คำปลอบใจแบบไม่คิดมากอย่างนี้…และถึงจะหนักใจแค่ไหน สตีฟก็อยากเก็บวินาทีสั้นๆ ที่ตนได้มีกับคนที่แอบชอบไว้ให้เป็นเรื่องที่ตัวเองเท่านั้นที่รู้…ทำให้เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับคำกับสาวน้อยโดยดี

     

     

     

     

     

    “ลุงสตีฟคะ…นั่นใช่บ้านคุณบัคกี้รึเปล่า?”

     

     

     

     

     

    คำถามนี้ดึงสติของชายหนุ่มผมทองกลับมาได้ไว้ยิ่งกว่าโดนไฟจี้ ก่อนจะพบว่าการเดินเล่นครั้งนี้ดำเนินมาในทิศทางที่ตนไม่ได้ตั้งใจหากจิตใต้สำนึกก็เคยชินไปแล้ว…และถัดจากตรงนี้ไปอีกในระยะของเขตบ้านไม่กี่หลังข้างหน้าก็คืออู่วินเทอร์เมคานิคของบัคกี้ บาร์นลส์ มนุษย์ที่กำลังทำให้เขารู้สึกหงอยๆ สุดชีวิตอยู่แบบนี้นี่เอง

     

     

     

     

     

    “ชะ ใช่เลยเมแกน…” มือใหญ่จับแฮนด์จักรยานเพื่อรั้งสาวน้อยเอาไว้ “อย่าไปต่อเลย รีบกลับบ้านเราดีกว่า…”

     

     

     

     

     

    เมแกนขยับแฮนด์จักรยานยุกยิกเพื่อให้หลุดจากการรั้งของคุณลุงหากก็ยอมหยุดรถนิ่งๆ…แต่ไม่ได้หมายความสาวน้อยจะยอมไม่กล่าวอะไรสักหน่อย “ทำไมล่ะคะ? เข้าไปดูหน่อยสิคะ…เผื่อจะได้คุยกันไง…”

     

     

     

     

     

    ประโยคขาดหายเพราะสองลุงหลานต้องรีบขยับมาหลบหลังต้นไม้ใหญ่…ด้วยตอนนี้คุณช่างเครื่องได้เดินออกมาตรงลานกว้างหน้าอู่ เมแกนแอบโผล่หน้าไปดูนิดนึงก่อนจะผลุบกลับมา

     

     

     

     

     

    “นั่นคุณบัคกี้ใช่มั้ยคะ?”

     

     

     

     

     

    สตีฟผู้รู้ดีว่าอู่นี้มีคนทำงานอยู่คนเดียวสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนพยักหน้า “ใช่…นั่นล่ะบัคกี้”

     

     

     

     

     

    สาวน้อยยิ้มร่าเริงออกมา “งั้นก็เข้าไปทักสิคะ”

     

     

     

     

     

    “ไม่ล่ะ…” สตีฟส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ดีกว่า…เขาอาจจะไม่อยากเจอลุง…”

     

     

     

     

     

    “ก็ถ้าลุงบอกว่าไม่แน่ใจว่าคุณบัคกี้โกรธลุงรึเปล่า…ก็ต้องลองเข้าไปคุยๆ ดูสิคะว่าจริงมั้ย” เมแกนชี้แจงอย่างมีเหตุมีผลด้วยเสียงสบายๆ…มือเล็กๆ ตบท่อนแขนที่แข็งแรงด้วยมัดกล้ามของคนเป็นลุง “จะได้เลิกถอนหายใจซะทีไงคะ…ไม่ดีเหรอ?”

     

     

     

     

     

    สตีฟทำตัวได้ขัดแย้งกับประโยคสุดท้ายนี้เป็นที่สุดด้วยการถอนหายใจเฮือกโตออกมาอีก…แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้สิ่งที่สาวน้อยพูดคือสิ่งที่เขาเองก็คิดมาแต่แรกแล้วว่าน่าจะทำ การกระทำของชายหนุ่มผมสีเข้มทำให้เขางงงวย…เพราะงั้นมันคงดีกว่าถ้าจะได้รู้สักหน่อยว่าอีกฝ่ายไม่พอใจอะไรตนอย่างจริงๆ จังๆ หรือเปล่า

     

     

     

     

     

    สตีฟจึงพยักหน้าในที่สุด…แต่สีหน้าที่เริ่มดีขึ้นมานิดหน่อยแล้วก็หม่นลงเมื่อนึกได้ถึงความจริง

     

     

     

     

     

    “แต่จะเข้าไปคุยได้ไง…ลุงไม่ได้เอารถมาให้เขาซ่อมสักหน่อย…”

     

     

     

     

     

    คราวนี้เป็นเมแกนบ้างแล้วที่ถอนหายใจ แต่ดูแล้วไม่ได้หงอยๆ อย่างสตีฟเลย…เพราะมันเป็นการถอนหายใจที่มาพร้อมรอยยิ้มยิงฟันอย่างซุกซนและการขยับตัวลงจากจักรยานของตนมายืนบนพื้นดีๆ แทน

     

     

     

     

     

     

     

    * * * * *

     

     

    “หวัดดี…”

     

     

     

     

     

    บัคกี้ บาร์นส์เงยหน้าขึ้นจากการกวาดใบไม้ตรงลานหน้าอู่เพื่อมองหาต้นเสียงที่คุ้นหูนี้…ก่อนจะพบตัวคนพูดยืนยิ้มอย่างเกรงใจอยู่ไม่ห่างออกไปนัก…ข้างๆ ร่างสูงใหญ่คือเด็กหญิงตัวผอมบาง ผมสีแดงสว่างยาวล้อมกรอบหน้ารูปหัวใจ…ส่งให้ผิวแก้มสีน้ำนมนั้นดูขาวใสกว่าเก่า

     

     

     

     

     

    “ว่าไง?”

     

     

     

     

     

    คุณเจ้าของอู่ตอบรับคำทักของเขาด้วยประโยคห้วนๆ เจ้าประจำ…แต่อย่างน้อยท่าทางที่เป็นแค่กรัมปี้แรคคูนระดับปกติไร้ความหมางเมินเย็นชาเพิ่มเติมมาก็ทำให้สตีฟใจชื้น ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดอย่างพยายามยื่นไมตรีตอนเอ่ยเหตุผลที่ตนใช้ในการจะมาหาเรื่องคุยกับคนตรงหน้าในวันนี้

     

     

     

     

     

    “ง่า…นายพอจะซ่อมจักรยานได้มั้ย?” พยักเพยิดไปที่จักรยานสีขาวคันเล็กที่ตนลากมา “คือจักรยานหลานฉัน…โซ่มันคงหลุดมั้ง…”

     

     

     

     

     

    เมแกนพยักหน้าสนับสนุน แต่เอื้อมมือมาจับมือข้างที่ว่างของสตีฟไว้แน่น…สัญญาณที่บอกให้เขาโกหกให้มันเนียนๆ หน่อย

     

     

     

     

     

    บัคกี้มองหน้าเขา หน้าสาวน้อย จักรยานสีขาว แล้วก็กลับมามองหน้าเขา…สายตาสงบนิ่งที่ติดๆ จะบึ้งตึงนิดๆ แบบนี้ทำให้สตีฟแอบสติแตกชอบกลเพราะรู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าเขาปั้นน้ำเป็นตัวทั้งเพ(อย่างที่กำลังทำอยู่จริงๆ) เลยพยายามยิ้มให้อย่างทำใจดีสู้แรคคูน…แอบสังเกตว่าวันนี้บัคกี้ดูแปลกตาไปด้วยผ้ากันเปื้อนเรียบๆ สีดำสนิทที่เจ้าตัวสวมทับเสื้อยืดขาวกับกางเกงยีนไว้อยู่ ผมยาวนั่นถูกมัดลวกๆ ไว้สูงแทนแค่ระต้นคอ…ทำให้มันดูเหมือนจุกยุ่งๆ มากกว่าผมทรงหางม้าอย่างที่ควร แต่ก็ส่งให้อีกฝ่ายดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นบ้าในยามที่เจ้าตัวยืนกอดไม้กวาดกวาดใบไม้อยู่แบบนี้

     

     

     

     

     

    ความเงียบที่ทิ้งตัวแค่ไม่กี่นาทีนั้นยาวนานเหมือนศตวรรษในความรู้สึกของคนมีชนักปักหลังอย่างสตีฟ…แต่ในที่สุด บัคกี้ บาร์นส์ก็พยักหน้า พูดประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ชายหนุ่มผมทองดีใจมากจนน่าหัวเราะ

     

     

     

     

     

    “มาสิ…เดี๋ยวฉันดูให้”

     

     

     

     

     

     

     

    * * * * *

     

     

     

    คงเพราะการซ่อมจักรยานไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรในสายตาเจ้าตัว…คุณช่างเครื่องเลยเดินนำและชี้บอกให้สตีฟจอดจักรยานตรงพื้นที่หน้าโรงจอดรถก็พอแล้ว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นแล้วทำการสำรวจอาการของเจ้าโซ่ตัวปัญหาหลังเอาเครื่องมือที่ต้องการจะใช้มาอยู่ใกล้มือหมดแล้ว

     

     

     

     

     

    ความเงียบทิ้งตัวระหว่างพวกเขาอีกครั้งเพราะเมแกนได้ขออนุญาตคุณช่างเครื่องเข้าไปเดินดูภายในโรงรถแล้วเรียบร้อยและสตีฟก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไร เขาเลยแค่ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างๆ บัคกี้…ทำเป็นมองไปทางอื่นในขณะที่จริงๆ แล้วใช้หางตาในการแอบมองเจ้าตัว ในประกายแดดยามสายแบบนี้…สตีฟพบว่าเส้นผมสีเข้มของอีกฝ่ายแท้จริงแล้วเป็นสีบรูเนตต์เข้ม สีน้ำตาลไหม้อมแดงนิดๆ นี้ตัดกันกับนัยน์ตาหากก็เข้ากันได้อย่างน่าประหลาด…ดวงตาสีน้ำเงินลึกล้ำที่จ้องแน่วแน่ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเหลือแค่ตนเองกับงานในมือเท่านั้น

     

     

     

     

     

    ทำให้สตีฟกล้าเอ่ยคำเอาก็ตอนที่บัคกี้สูดลมหายใจเข้าและออกลึกๆ พร้อมหยัดตัวให้คลายความเมื่อยขบนั่นเลยทีเดียว

     

     

     

     

     

    “เอ่อ…เมื่อวานน่ะ…”

     

     

     

     

     

    ดวงตาโตคู่นั้นเบือนมามองเขา เลิกคิ้วนิดๆ “เมื่อวานทำไม?”

     

     

     

     

     

    “ฉัน…” สตีฟพยายามเรียบเรียงคำให้ฟังแล้วนุ่มหูและไม่ชวนให้อึดอัดใจที่สุดในการถาม “ฉันทำอะไรให้นายไม่พอใจรึเปล่า…คือฉันรู้สึกน่ะว่านายอาจไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง โทษทีนะถ้าฉันทำอะไรไม่ดีไป…แต่ฉันไม่รู้จริงๆ”

     

     

     

     

     

    บัคกี้ไม่ได้ตอบในทันที…การนิ่งไปบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังคิดอยู่ ก่อนที่ประกายของการนึกออกจะฉายแว่บในแววตา…ตามมาด้วยประโยคเรียบๆ

     

     

     

     

     

    “อ๋อ…ไม่มีอะไรหรอก”

     

     

     

     

     

    “แต่นายลุกพรวดไปเลยนะ” สตีฟเผลอพูดตรงๆ ออกไป ก่อนจะรีบเสริม “คือ…อยู่ๆ นายก็เดินไปเลยน่ะ ฉันเลยคิดว่าตัวเองทำอะไรให้นายโกรธรึเปล่า…”

     

     

     

     

     

    “ไม่”

     

     

     

     

     

    แล้วบัคกี้ก็ถอนหายใจเล็กๆ…คราวนี้ดูไม่ใช่เพราะรู้สึกไม่พอใจหรือเซ็งอะไร แต่เหมือนหน่ายใจกับตัวเองมากกว่า แล้วในที่สุด…เสียงทุ้มก็พูดเบาๆ หากไม่สะดุดเลย

     

     

     

     

     

    “คือ…” เรียวปากสีสดนั่นเม้มเข้าหากันและยกขึ้นนิดๆ…เหมือนกับตอนที่บอกเขาเรื่องคำชวนไปดื่มกาแฟเป๊ะๆ “…ฉันแค่ไม่เคยโดนมองหน้าแบบนั้นมาก่อนเลยน่ะ”

     

     

     

     

     

    บัคกี้หันกลับไปมองแค่งานในมืออีกครั้งทันทีที่กล่าวจบ…ริมฝีปากยังคงเม้มเข้ากันเป็นการบอกให้รู้ว่าตนจะไม่พูดอะไรอีกทั้งนั้น ซึ่งสตีฟก็ไม่มีแก่ใจจะไปว่าอะไรอีกฝ่ายทั้งนั้น…เพราะเขาเองก็กำลังเม้มปากตัวเองไม่ให้อ้าค้างเป็นรูปตัวโอจากทั้งคำพูดที่ได้ฟัง กริยาที่ได้เห็น และอีกสิ่งที่โผล่มาดึงความสนใจและทำให้ฉงนว่าตนมองผิดไหมอยู่

     

     

     

     

     

    นั่น…เขาไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม…

     

     

     

     

     

    แต่ก่อนที่สตีฟจะได้สังเกตให้ชัดขึ้นหรือรุกพูดอะไรต่อ…เสียงใสๆ ของเมแกนก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าตัววิ่งเข้ามา หน้าตามู่ทู่อย่างเสียใจ

     

     

     

     

     

    “คุณลุงสตีฟ…คุณอาแซมเพิ่งโทรมาค่ะ” เมแกนมีโทรศัพท์มือถือราคาแพงติดตัวแล้วเพราะนาตาชาและคลินท์วางใจในสามัญสำนึกของลูกสาว…และเด็กหญิงก็ไม่เคยทำให้ทั้งสองผิดหวัง “คุณอาบอกว่าคงไปกับเราพรุ่งนี้ไม่ได้แล้ว…มีบรรยายพิเศษที่กรมทหารผ่านศึกค่ะ”

     

     

     

     

     

    สิ่งที่เด็กหญิงพูดถึงคือแผนการไปเที่ยวสวนสัตว์ในวันพรุ่งนี้ตามโควต้าตั๋วฟรีที่นาตาชาหามาได้เพราะหญิงสาวรู้ว่าเมแกนอยากดูหมีแพนด้าที่สวนสัตว์ประจำเมืองได้ตัวมาจัดแสดงในช่วงนี้…ตั๋วที่ว่านี้มีสามใบ แต่ท่าทางคงจะได้ถูกทิ้งให้เหลือเป็นแน่แท้แล้วในเมื่อแซมมามีงานเข้ากะทันหันแบบนี้

     

     

     

     

     

    “งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ” สตีฟยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบๆ หัวเมแกนเพื่อปลอบใจ พูดเสียงอ่อน “เราไปดูแพนด้ากันสองคนก็ดะ—”

     

     

     

     

     

    ประโยคขาดหายดื้อๆ เพราะจู่ๆ ก็มีสัมผัสของปลายนิ้วที่ไม่คุ้นเคยตะปบหมับลงมาที่แขนอีกข้างของเขา…มันจับแน่น ติดตามมาด้วยคำถามที่เสียงถูกกดต่ำแข็งขึงและเชื่องช้า

     

     

     

     

     

    “นาย…พูด…ว่า…แพนด้า…เหรอ…???”

     

     

     

     

     

    สตีฟคงดีใจยกใหญ่แล้วที่ได้ถูกคุณช่างเครื่องจับไม้จับมือถ้าไม่ติดว่าเขากำลังอยากสะดุ้งโหยงอยู่กับกริยาปุบปับนี้อยู่ แต่ก็ยิ้มนุ่มๆ พร้อมเอ่ยอย่างอ่อนโยนตามนิสัยใจดี “ใช่…นี่พวกเรามีตั๋วฟรีน่ะ กะจะไปดูกันพรุ่งนี้…แต่เพื่อนฉันเขาคงไปไม่ได้แล้ว”

     

     

     

     

     

    บัคกี้ดูจะรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปเอาในนาทีนี้…จึงรีบหดมือออกจากแขนเขา พึมพำเสียงเบา “โอเค…โทษทีนะ…”

     

     

     

     

     

    เมแกนเอียงคอนิดๆ แล้วถามอย่างมีน้ำใจ “คุณบัคกี้ชอบแพนด้าเหรอคะ?”

     

     

     

     

     

    คนถูกถามยิ่งก้มหน้าให้ปอยผมร่นๆ มาปรกตา พูดเสียงเบายิ่งกว่าเดิมตอนตอบ

     

     

     

     

     

    “…มากๆ”

     

     

     

     

     

    หัวใจของสตีฟโลดขึ้น…แต่สมองแบบผู้ใหญ่ที่ต้องคิดคำนึงถึงความเหมาะสมต่างๆ นาๆ มากมายก็รั้งให้เขาเอ่ยคำที่อยากเอ่ยออกไปไม่ได้ ผิดกับสมองแบบเด็กน้อยที่ใส่ซื่อจนไม่ใส่ใจข้อควรระวังจุกจิกใดๆ…เมแกนถามด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

     

     

     

     

     

    “งั้นคุณบัคกี้จะมามั้ยล่ะคะพรุ่งนี้? เมแกนมีตั๋วว่างอีกใบแล้วพอดีเลย”

     

     

     

     

     

    บัคกี้สบสายตากับดวงตาสีฟ้าของเด็กหญิงนิ่งๆ…ก่อนที่จะเลื่อนไปมองหน้าสตีฟผู้นิ่งเงียบอยู่…คิดอะไรสักอย่างอยู่ชั่วครู่ แล้วสุดท้ายก็พูดเสียงเรียบ

     

     

     

     

     

    “ไม่ดีกว่า…สตีฟเขาบอกว่าพวกเธอจะไปกันเองนี่…”

     

     

     

     

     

    “ไม่ใช่นะ!”

     

     

     

     

     

    คราวนี้เป็นชายหนุ่มผมทองบ้างแล้วที่ทำกริยาปุบปับ…มือใหญ่เอื้อมออกไป คว้าข้อมือสีขาวสะอาดนั่นไว้…เกี่ยวรั้งหากก็ลังเลที่จะเพิ่มแรงด้วยรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์ สองมือจึงค้างเติ่งกลางอากาศ…เติมเต็มความเงียบด้วยเสียงแผ่วค่อย

     

     

     

     

     

    “มาเถอะ…” น้ำเสียงนั้นขอร้องมากพอๆ กับแววตา “…ฉันอยากให้นายมา”

     

     

     

     

     

    บัคกี้ชะงักนิ่ง…ไม่ได้หน้าแดง ไม่ได้เอ่ยคำปฏิเสธตะกุกตะกักใด…แค่อยู่นิ่งๆ อยู่แบบนั้นชั่วนาที ก่อนที่จะขยับข้อมือเล็กน้อยให้หลุดจากการเกี่ยวรั้ง…กริยาที่ไม่ได้กระแทกกระทั่นหรืออ่อนโยนเป็นพิเศษแต่อย่างใด เช่นเดียวกับเสียงอันราบเรียบที่ตอบมาในที่สุด

     

     

     

     

     

    “ถ้างั้น…” ดวงตาสีน้ำเงินช้อนขึ้นมอง “…พรุ่งนี้จะเจอกันกี่โมง?”

     

     

     

     

     

    สตีฟมองคนตรงหน้าตน…สังเกตเห็นสิ่งเดิมอีกแล้ว แต่ก็แค่จำไว้ในใจแล้วบอกเวลากับสถานที่นัดให้อีกฝ่ายได้รู้…ก่อนจะกระแอมกระไอ พยายามพูดเสียงสบายๆ ให้แนบเนียนที่สุดตอนยื่นมือถือของตัวเองออกไป

     

     

     

     

     

    “ง่า…ขอเบอร์นายไว้ด้วยได้มั้ย…แบบ…พรุ่งนี้ไง…เผื่อหากันไม่เจอ…ได้มั้ย…หรือว่า…”

     

     

     

     

     

    บัคกี้ยักไหล่แบบไม่คิดอะไรมากเลยแล้วรับมือถือเขาไป…สตีฟใช้ช่วงที่อีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์เบอร์อยู่ในการแอบเขยิบตัวไปชนเด็กหญิงที่ขำคิกคักในลำคอพร้อมทำสายตาอู้อ้าห์ใส่เขาอยู่อย่างหมั่นเขี้ยว

     

     

     

     

     

    “ฉันขอยิงเข้าเครื่องฉันนะ?”

     

     

     

     

     

    สตีฟพยักหน้าตอบรับเสียงเรียบกริบที่ขออนุญาตตน…ก่อนที่ทั้งชายหนุ่มผมทองและเด็กหญิงผมแดงจะกระพริบตาปริบๆ พร้อมทำหน้าเหลือจะเชื่อใส่กันเมื่อได้ยินริงโทนของคุณช่างเครื่องผู้มีสีหน้าทะมึนราวกรัมปี้แรคคูนตลอดเวลาคนนี้

     

     

     

     

     

    “…ชูการ์ รัช??”

     

     

     

     

     

    สตีฟพูดออกมาก่อน…เพราะเขาหลอนกับเจ้าเพลงจังหวะแบ๊วนี่ตั้งแต่วันที่นั่งดู Wreck-It Ralph กับเมแกนและเล่นเกมส์ตามหนังกับเธอแล้ว ไม่ใช่ว่าเพลงนี้ไม่เพราะอะไรหรอก…แต่มันเป็นเพลงสุดท้ายในโลกเลยที่สตีฟจะคิดว่าเป็นริงโทนของหนุ่มกรัมปี้แรคคูนตรงหน้าตน

     

     

     

     

     

    “ฉะ ฉัน…” ริมฝีปากสีแดงเรื่อถูกเม้มเข้าหากันและยกขึ้นนิดๆ อีกแล้ว เสียงก็เบาหวิวแต่กดต่ำและฟึดฟัดแบบพร้อมโจมตีกลับแน่ถ้าได้ยินคำวิจารณ์ไม่ถูกหู “…ฉันชอบรถแข่ง”

     

     

     

     

     

    ด้วยมารยาทที่ดี…สาวน้อยและหนุ่มผมทองแค่พยักหน้ารับหงึกๆ เท่านั้นและพยายามสุดชีวิตในการไม่ขำออกมากับความน่ารักนี้ และในระหว่างทางที่กลับบ้าน…สตีฟก็ได้ใช้เวลาในการเรียบเรียง แล้วก็สรุปอย่างมั่นใจได้จากภาพจากทุกช่วงนาทีที่ตนได้เห็น…ภาพใบหูที่ถึงจะถูกซ่อนไว้ใต้เรือนผมสีเข้มที่ปรกทับแต่เขาก็เห็นมันได้อยู่ดี ภาพใบหูที่จะขึ้นสีจนแดงแปร๊ดแทนแก้มทุกทีที่เจอเรื่องที่ทำให้เขิน

     

     

     

     

     

    ไม่ใช่คนที่เวลาเขินจะหน้าแดง…แต่เป็นคนที่เวลาเขินจะหูแดงเหรอเนี่ย…

             ซึ่งสตีฟก็ไม่แน่ใจว่าอะไรทำให้เขาดีใจได้มากกว่ากัน…ระหว่างการที่ได้มั่นใจกับข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ แต่แสนสำคัญแบบนี้ การที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธเขา การที่พรุ่งนี้กำลังจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน หรือข้อเท็จจริงที่ว่า…ในทุกบทสนทนาที่ทำให้ตัวเขารู้สึกเขินเองอยู่ในใจนั้น…ใบหูของบัคกี้ บาร์นส์เองก็แดงแปร๊ดไปด้วยหมดทุกครั้งเช่นกัน                     tbc.
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in