“ฉันบอกนายไปแล้วรึยังน่ะว่านี่มันเป็นไอเดียที่โง่มาก??”
แซม วิลสันถามอย่างเสียดสีขณะที่ยืนมองเพื่อนผมทองที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงข้างๆ มอเตอร์ไซค์ดูคาติของเจ้าตัว…ถ้าเพื่อนของเขาจะมีอะไรสักอย่างที่มันรักเหมือนลูกแท้ๆ ล่ะก็ แซมก็คงลงความเห็นว่าคงจะเป็นเจ้าพาหนะคันงามสีดำปนเงินนี่แหละ
“บอกแล้วเพื่อน…นายบอกฉันแล้ว…” สตีฟ โรเจอร์สตอบช้าๆ และขาดเป็นช่วงๆ เพราะชายหนุ่มกำลังค่อยๆ ตั้งใจในการไขน็อตส่วนที่ยึดท่ออะไรสักอย่างไว้อยู่ “แล้วฉันก็บอกนายไปแล้วด้วย…ว่าช่วยยืนเงียบๆ ไปซะนะ”
แซมถอนหายใจแต่ก็ขำก้ากเล็กๆ…สตีฟเด้งตัวขึ้นมายืนตรงๆ เมื่อน็อตหลุดออกมาได้ในที่สุด ทำให้เจ้าท่อที่ควรติดชิดกับตัวรถเค้เก้ออกมานิดๆ…ไม่ได้ทำให้รถเสียหายหักพังยังไง แต่ก็ดูไม่น่าไว้ใจมากพอที่ควรจะเลี่ยงการขับมันไปจนกว่าจะได้ซ่อมเสียก่อน สภาพที่คงเป็นอย่างที่ชายหนุ่มผมทองต้องการ…เพราะเจ้าตัวยิ้มฮุฮิอย่างชอบใจ เก็บน็อตตัวจริงเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วขยับไปจับแฮนด์รถอย่างเตรียมจะลากมัน
แซมหัวเราะพรืดกับท่าทีร่าเริงออกนอกหน้าอันหาดูได้ยากนี้ ส่ายหัวหน่ายๆ ตอนพูดแซะอีกรอบ “ให้ตายเหอะ อะไรดลใจให้นายคิดแผนนี้วะ…ทำรถให้พังแล้วจะได้ไปให้เขาซ่อมเนี่ยนะ?? ทำไมนายต้องลงทุนขนาดนี้เลยวะ…ชวนเขาไปเดทเฉยๆ เลยไม่ได้รึไง??”
ความร่าเริงจางหายไปครึ่งหนึ่ง…กลับมาเป็นสตีฟผู้ประหม่าเสมอในเวลาที่ต้องเผชิญกับเรื่องหัวใจ “ฉันไม่เคยคุยกับเขาเลยนะ…อยู่ๆ จะไปชวนอย่างงั้นได้ไง…”
แซมแอบถอนหายใจกับตัวเอง…สตีฟ โรเจอร์สเพื่อนซี้ของเขานั้นเป็นคนจิตใจดีและก็มีอารมณ์ขันน่าคบหา แต่น่าเสียดายนักที่ไม่มีใครได้รับรู้นิสัยตรงนี้เลยเพราะสตีฟ โรเจอร์สไม่เคยกล้าหาญจะไปจีบใครได้อย่างจริงจัง นั่นจึงทำให้แซมคิดว่าต่อให้แผนการโง่ๆ ครั้งนี้จะดูไร้สติแค่ไหน…ตนก็ควรเลิกชี้แจงถึงตรงจุดนั้นแล้วสนับสนุนสตีฟแทนได้แล้ว เพราะนี่เป็นการลงทุนครั้งหายากของสตีฟในการจะจีบใครสักคน
“โอเคๆ…ไม่ต้องรีบชวนก็ได้ แบบที่นายคิดจะทำก็ดีแล้วล่ะ” หนุ่มผิวสียิ้มให้กำลังใจพร้อมตบบ่าเพื่อน “โชคดีนะเว้ย”
ทั้งๆ ที่เป็นคนคิดแผนเอง…แต่นาทีนี้ สตีฟ โรเจอร์สก็ดูหวั่นๆ ขึ้นมาชอบกล หากชายหนุ่มผมทองก็สูดลมหายใจแบบฮึดสู้แล้วยิ้มตอบแซม พยักหน้าหงึกๆ พร้อมเริ่มเข็นมอเตอ์ไซค์ออกไปจากตรงสนามหน้าบ้าน
…ซึ่งคนเป็นเพื่อนก็มองตามสักพักแล้วตะโกนตามไปเสียงลั่น
“เฮ้ยสตีฟ!! จะไปไหนหา?!! วินเทอร์เมคานิคมันทางนี้ต่างหาก!!”
ชายหนุ่มผมทองหันกลับมา พบว่าตนกำลังเดินไปในทิศตรงข้ามสุดโต่งของถนนที่แซมชี้…ซึ่งหนุ่มผิวสีก็แอบอยากยกมือมาปิดหน้าแบบสิ้นหวังกับความไม่ได้เรื่องในส่วนนี้ของเพื่อนนัก แต่ก็ได้แต่พยักหน้าอย่างสนับสนุน…รอจนร่างสูงๆ นั่นจูงมอเตอร์ไซค์ลับไปในทิศที่ถูกต้องแล้วจึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
ให้ตายเถอะ…มันจะไปรอดไหมนี่…
* * * * *
ถึงอู่รถวินเทอร์เมคานิคนี่จะอยู่ห่างจากบ้านเขาแค่ราวๆ สามบล็อก…แต่เพราะสตีฟต้องลากเจ้าดูคาติคันใหญ่นี่มาด้วย จึงใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีในการจะมาถึง
อู่แห่งนี้ประกอบด้วยสนามหญ้าและโรงรถที่ไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก…จอดรถยนต์ได้อย่างมากที่สุดก็สามถึงสี่คันเท่านั้น โรงรถมีบันไดเดินให้ขึ้นไปส่วนที่คงเป็นออฟฟิศตรงชั้นสองได้ และตัดสินจากที่อู่นี้มีคนทำงานอยู่แค่คนเดียว…เลยเดาได้ไม่ยากว่าคุณเจ้าของอู่นี่ก็คงนอนค้างที่นี่เลยนี่แหละ
สตีฟกระแอมกระไอแล้วพยายามดูจากกระจกมองข้างของมอเตอร์ไซค์ของตนว่าผมยุ่งไหม…และเมื่อพบว่ามันก็พอดูจะโอเคอยู่ ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ลากพาหนะเข้าไปพื้นที่ใต้หลังคาของโรงรถ
“ขอโทษครับ…มีใครอยู่ไหม…”
เสียงของเขาสะท้อนดังก้องกว่าจริงภายใต้หลังคาอันโค้งสูงนี้…ทำให้ในไม่กี่อึดใจถัดมา ร่างของคุณเจ้าของอู่ผู้เป็นคนงานคนเดียวของอู่วินเทอร์เมคานิคนี้ก็ปรากฏขึ้น…ผมยาวสีดำนั้นถูกมัดไว้เป็นหางม้ายุ่งๆ ตรงต้นคอ ผ้าปิดปากกันฝุ่นถูกสวมครอบกรอบหน้า…ขอบของมันทาบอยู่ใต้ดวงตาโตของคนสวม สีเข้มของนัยน์ตาคงขับให้ผิวดูขาวจัดกว่าเดิม…ถ้าไม่ติดว่ามีคราบฝุ่นขะมุกขะมอมเปื้อนอยู่บนนั้นเสียแล้ว
“ว่าไง?”
ถ้อยคำห้วนสั้นและไร้หางเสียง…แต่คนแถบนี้ก็ชินกันหมดแล้ว ถึงจะพูดจาได้เย็นเจี๊ยบสมชื่ออู่…หากฝีมือการซ่อมเครื่องยนต์ของเจมส์ บาร์นส์ก็เป็นที่ยอมรับของลูกค้าทุกคนว่าเรียบร้อยไร้ที่ติและใส่ใจในทุกรายละเอียดยิ่งนัก และสำหรับสตีฟในตอนนี้…เขาก็กำลังตื่นเต้นจนไม่มีแก่ใจมารู้สึกไม่ดีอะไรเลยด้วย
“ง่า…คือ…นี่น่ะ…” หนุ่มตัวโตได้แต่ขยับมือชี้ไปชี้มาอย่างเงอะงะ “ท่อมอเตอร์ไซค์ฉัน…มันแปลกๆ…”
ผ้าปิดปากที่คุณช่างเครื่องสวมอยู่อาจช่วยซ่อนสีหน้าของเจ้าตัวได้…แต่ไม่ใช่แววตา ดวงตาโตสีดำที่ปกติจะไร้แววยิ้มแย้มแถมติดๆ จะดูไม่เป็นมิตรอยู่แล้วนั้นยิ่งดูรำคาญใจมากกว่าเก่า…ดูแล้วคล้ายกรัมปี้แคทอันโด่งดังในอินเตอเน็ตยิ่งนัก หากแต่เพราะวงหน้าของเจ้าตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่นดำๆ…สตีฟเลยคิดว่าคำเปรียบเทียบที่ถูกต้องคงจะต้องเป็นกรัมปี้แรคคูนมากกว่า
“ไหน…หลบซิ”
คุณช่างเครื่องโบกๆ มือให้ชายหนุ่มผมทองถอยไปก่อนที่ร่างสูงสันทัดนั้นจะเดินเข้าไปก้มๆ มองๆ เจ้าดูคาติคันงามนี่ แล้วสตีฟก็ต้องเบือนสายตาไปหาอะไรอย่างอื่นมองตอนที่อีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเพื่อสำรวจท่อตัวปัญหานั่นใกล้ๆ…เสื้อยืดดำที่ซีดเพราะการซักนั้นถลกขึ้นจนเห็นแผ่นหลังช่วงเอวนิดๆ ตอนที่เจ้าตัวก้มมอง ผิวขาวสะอาดตัดกับเนื้อผ้าสีเข้ม
ขาว…ขาวเกินไปมั้ยน่ะ…
สตีฟกระแอมกระไอในใจพร้อมขยับตัวยุกยิกไปมา…ไม่กล้ามองเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องไม่สมควรแต่ก็อยากมอง ทำให้ไม่ได้รับรู้เลยว่าตอนนี้ร่างที่คุกเข่าอยู่นั้นได้ลุกกลับมายืนตัวตรงแล้ว
“นี่ ได้ยินมั้ยน่ะ??”
สตีฟใช้เวลาห้าวินาทีในการรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคุยด้วยอยู่และตนไม่ได้ยินอะไรเลย “อะไรนะ?…มีอะไรเหรอ?”
“ฉันบอกว่ารถนายน่ะน็อตมันหลุดไป ใส่กลับคืนได้ก็โอเคละ” คนผมดำพูดซ้ำด้วยเสียงเรียบติดจะเซ็งนิดๆ “ได้เก็บไว้มั้ย? หรือหายไปแล้ว??”
น็อตตัวนั้นยังอยู่ดีมีสุขอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขา…แต่ชายหนุ่มผมทองคนซื่อก็ไม่ได้ซื่อระดับที่จะคิดไม่ได้ว่าถ้าหยิบมันส่งให้ การซ่อมรถนี้จะจบได้อย่างรวดเร็วไม่คุ้มค่าตามความคาดหมายของตนเลย
สตีฟ โรเจอร์สจึงส่ายหน้า พูดอ้อมแอ้ม “มัน เอ่อ…หายไปแล้วล่ะ”
คุณช่างเครื่องผงกศีรษะรับรู้นิดเดียวก่อนจะเดินเข้าไปตรงชั้นวางของด้านในโรงรถ…ก่อนจะกลับมาพร้อมกล่องเหล็กสีแดงสดที่ข้างในถูกแบ่งไว้เป็นช่องเล็กช่องน้อยมากมายเพื่อแยกตัวน็อตหลากขนาดให้อยู่ตามหมวดหมู่ของมัน ซึ่งในตอนนี้…สตีฟก็ต้องเบือนหน้าหาที่วางสายตาของตนใหม่อีกแล้ว เพราะการก้มๆ เงยๆ หาน็อตขนาดที่ใช่ของอีกฝ่ายทำให้เสื้อสีดำซีดตัวนั้นถลกมากขึ้นยิ่งกว่าทีแรกเสียอีก
ชายหนุ่มผมทองหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้งตอนที่ร่างสูงสันทัดนั้นยืนขึ้นแล้วประกาศว่ามอเตอร์ไซค์ของเขาน่าจะโอเคแล้ว…และพอลองสตาร์ทเครื่องแล้วไม่มีปัญหาอะไร สตีฟก็หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วนับธนบัตรตามราคาที่ชายหนุ่มผมดำบอกมา
“ขอบคุณครับ”
เงินถูกยื่นให้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนอันเป็นนิสัยเคยชินของเจ้าตัว…สตีฟเลยไม่รู้ว่าทำไมคุณช่างเครื่องถึงได้ชะงักนิดหน่อยก่อนจะรับธนบัตรไป และการที่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เดินฉับๆ เข้าอู่ไปโดยไม่บอกลาก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหงอยจนไม่ได้คิดถึงความแปลกๆ ตรงจุดนี้อีกเลย
* * * * *
“นายก็ได้คุยกับเขาแล้วนี่หว่า…แล้วทำไมนายยังไม่เลิกกับไอ้ไอเดียโง่ๆ นี่อีกหา??”
แซม วิลสันถามคำถามที่เป็นเหมือนขั้นพัฒนาของคำถามจากเมื่อวาน แม้ว่าสถานการณ์รอบข้างตอนนี้จะไม่ได้ต่างจากเดิมนัก…มอเตอร์ไซค์ดูคาติคันงามและสตีฟ โรเจอร์สที่กำลังถอดน็อตยึดท่อของมันออกอยู่
“เขาถามหาน็อต…แล้วฉันก็ส่ายหน้า…” ชายหนุ่มผมทองถอนหายใจแม้ว่าสายตาจะมองแค่งานในมือ “นั่น…ไม่น่าเรียกว่า…คุยกันนะ…”
“โอเค ฉันจะสรุปจากที่เข้าใจให้นายฟังนะ” แซมพูดอย่างเสียดสี “เมื่อวาน นายถอดน็อตแล้วก็ลากรถไปให้เขาซ่อมเพื่อจะคุยกับเขา…ซึ่งก็แป้กสนิท” เลิกคิ้วมองผลงานบนมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนอีกที ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายกลั้วหัวเราะ “นายก็เลยจะถอดน็อตแล้วลากรถไปให้เขาซ่อมอีกรอบ…นี่คิดดีแล้วใช่มั้ย? มั่นใจว่าไม่ทะแม่งๆ เลยสินะ?”
“ไม่ทะแม่งหรอก” สตีฟลุกมายืนตัวตรง จับแฮนด์รถเพื่อเตรียมเข็น “เมื่อวานฉันถอดท่อทางขวา…วันนี้ฉันถอดทางซ้ายแทนแล้ว”
แซมขอบคุณที่ตัวเองยังมีสติพอจะไม่ยกมือมาปิดหน้าแล้วคำรามอย่างอยากจะบ้าตายออกมาอย่างที่ในใจทำไปแล้ว
* * * * *
วันนี้ หัวใจสตีฟไม่ต้องทำงานหนักเพราะภาพผิวขาวๆ รำไรตรงช่วงเอวของคุณช่างเครื่อง
…เพราะมันได้มาทำงานหนักเพราะภาพผิวขาวๆ ตรงช่วงต้นคอและลาดไหล่ของอีกฝ่ายที่สวมเสื้อกล้ามสีดำอยู่แทน
ตอนที่เขามาถึงอู่วินเทอร์เมคานิคนั้น…เจมส์ บาร์นส์คงกำลังทานอาหารกลางวันอยู่ เพราะเจ้าตัวเดินเคี้ยวตุ้ยๆ ออกมารับลูกค้า…แก้มพองๆ แต่สีหน้าที่ยังเป็นกรัมปี้แรคคูนอยู่นั้นทำให้สตีฟอยากจะหัวเราะเพราะความน่าเอ็นดูนี้ออกมาดังๆ ชะมัด แต่ก็เตะตัวเองให้สำรวมกริยาแล้วแจกแจงถึงความผิดปกติของเจ้าดูคาติ ดวงตาสีฟ้าใสแอบกวาดมองร่างตรงหน้าไปด้วย…วันนี้คุณช่างเครื่องอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงยีนง่ายๆ และมีเชิ้ตลายสก็อตสีเข้มผูกเอวไว้อยู่ ผมยาวระต้นคอไม่ถูกมัดและไม่มีผ้าปิดปากทาบทับวงหน้าอยู่อย่างทุกที
อีกฝ่ายฟังอาการของมอเตอร์ไซค์โดยสงบ…ก่อนจะโบกๆ มือให้เขาหลบไปให้พ้นทางเหมือนเมื่อวาน หยิบหนังยางจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมามัดผมขึ้นขณะที่ทรุดตัวลงพิจารณาของท่อ…ผิวขาวเจือแทนนิดๆ ตรงหลังคอและหัวไหล่ของเจ้าตัวทำให้สตีฟยืนไม่ติดที่ชอบกล แต่วันนี้เขายังมีสติพอที่จะฟังคุณช่างเครื่องทันตั้งแต่ทีแรก
“น็อตหายอีกแล้ว…เหมือนเมื่อวานเลย” ประโยคนี้ทำให้คนฟังแอบสติแตกเล็กน้อย แต่คนพูดดูจะไม่ได้จับผิดอะไรได้ “ได้เก็บไว้ไหม??”
ซึ่งแน่นอนว่าสตีฟก็ส่ายหน้าอีก…ร่างสูงสันทัดนั้นจึงลุกขึ้น(สตีฟได้ยินชัดเจนว่าเจ้าตัวถอนหายใจแบบเซ็งจิตสุดๆ)แล้วเดินไปหยิบกล่องใบเดิมมาเปิด แต่วันนี้…การตามหาน็อตขนาดที่ใช่ใช้เวลานานจนสุดท้ายคุณช่างเครื่องต้องเปลี่ยนจากนั่งคุกเข่ามาเป็นขัดสมาธิให้ถนัดๆ แทน
เวลาเลยผ่าน…และวงหน้าที่วันนี้เห็นได้ชัดเจนไร้ผ้าปิดปากก็มีสีหน้ามุ่ยๆ แบบใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เพราะความหวังในการหาเจอดูจะไม่มีเลย นี่เองที่ทำให้สตีฟรู้สึกผิด…เพราะทั้งหมดมันก็เป็นแค่แผนโง่ๆ ของเขาอย่างที่แซมพูดจริงๆ นั่นแหละ ไม่ควรเลยที่แผนโง่ๆ นี้จะทำให้อีกฝ่ายเสียเวลาและต้องหนักใจแบบนี้ ร่างสูงใหญ่จึงย่อตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่าย…ตอบคำถามอันไร้เสียงจากการเลิกคิ้วของเจ้าตัวด้วยการหยิบน็อตตัวเมื่อวานในกระเป๋ากางเกงตนออกมา
“ง่า…อันนี้มันจากเมื่อวานน่ะ ฉันหาเจอที่บ้าน” สตีฟหวังว่าตัวเองจะโกหกได้เนียนพอ “มันใช้ด้วยกันได้มั้ย?”
คุณช่างเครื่องไม่ตอบคำ…ดวงตาโตจ้องหน้าเขาราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ทำให้คนมีชนักปักหลังเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ ทันทีว่าตนจะโดนมองออกไหม…หากในความหนาวๆ ร้อนๆ นี้ สมองของเขาก็ยังมีแก่ใจมาจับสังเกตว่าดวงตาโตที่คิดมาตลอดว่าเป็นสีดำสนิทนั้นจริงๆ แล้วเป็นสีน้ำเงินเข้มล้ำลึกต่างหาก
ชายหนุ่มผมดำไม่ได้ตอบอะไรอยู่ดีในที่สุด…แค่หยิบน็อตตัวนั้นไปจากมือของเขาแล้วหันไปไขมันให้เข้าที่ ซึ่งก็แหงแซะอยู่แล้วว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอย่างพอดิบพอดี…แล้วพวกเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ ท่าทางคุณช่างเครื่องจะไม่เห็นความจำเป็นในการประกาศว่าการซ่อมสำเร็จเรียบร้อยเพราะสตีฟก็มองดูอยู่ตลอด
ชั่วนาทีผ่านไป ก่อนที่ชายหนุ่มผมทองจะตัดสินเอ่ยขึ้น
“โอเค…ขอบใจนะบัค—”
ถ้อยคำออกมาเป็นคำที่ผิดโดยสิ้นเชิงเพราะสตีฟมาคิดได้เอาในวินาทีที่จะพูดว่าตนไม่รู้เลยว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไรดี…ประโยคจึงหยุดลงกลางอากาศ และในความเงียบที่ชายหนุ่มผมทองกำลังใช้คิดหาทางแก้ไขความพลาดของตนนี่เอง…คุณช่างเครื่องก็เอ่ยขึ้น
“ใครที่ไหนหา…บัคกี้เนี่ย?”
ประโยคนี้ทำให้สตีฟหัวเราะพรืดออกมาแบบห้ามไม่ทัน เพราะถึงมันจะถูกเอ่ยอย่างห้วนๆ…แต่ที่ไม่เหมือนกับทุกทีก็คือกระแสเสียงนั้นเจือเสียงหัวเราะนิดๆ เอาไว้เช่นเดียวกับคิ้วที่ถูกเลิกขึ้น การล้อเล่นที่ชายหนุ่มผมทองไม่คาดคิดเลยว่าคนที่ดูบึ้งตึงตลอดเวลาอย่างอีกฝ่ายจะทำได้…และบอกให้เขารู้ด้วยว่าเจ้าตัวไม่ได้ถือสาความผิดพลาดนี้แต่อย่างใด
“โทษที…” แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็พูดขอโทษอยู่ดีตามมารยาท ก่อนจะตัดสินใจเสี่ยงเพิ่มอีกนิด “ง่า…ฉันสตีฟนะ”
สีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายกลับมาเป็นความเรียบนิ่งตามปกติอีกครั้งแล้วตอนเจ้าตัวพูดสั้นๆ “เจมส์ บาร์นส์”
สตีฟรู้สึกงุ่นง่านและแอบสติแตก…เพราะเขาคิดว่าตนน่าจะชวนคุยอะไรให้มันคืบหน้าได้มากกว่านี้ นั่นจึงทำให้ตอนที่อีกฝ่ายบอกราคาค่าซ่อม…ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเสี่ยงอีกรอบ
“ราคาเท่ากาแฟถ้วยนึงเลยนะ…” รับรองว่าแม้แต่เพื่อนซี้ของเขาอย่างแซมก็คงคาดไม่ถึงว่าสตีฟ โรเจอร์สจะกล้าหยอดมุกตรงๆ เลยแบบนี้ “…เปลี่ยนเป็นจ่ายด้วยกาแฟแทนได้มั้ย?”
หากสิ่งเดียวที่คนตรงหน้าเขาตอบรับมาก็คือคิ้วที่ขมวดและคำถามแบบตามมุกไม่ทัน “จะจ่ายยังงั้นได้ไง?”
ถามไม่ถามเปล่า…ดวงตาสีน้ำตาลไหม้นั่นก็กวาดๆ มองราวกับจะคิดว่าสตีฟจะซ่อนกาแฟสักถ้วยไว้ในกระเป๋าได้ นั่นจึงทำให้คนหยอดมุกเป็นฝ่ายทั้งขำทั้งเขินซะเอง
“เปล่า…” พยายามจะไม่หน้าแดงตอนเฉลย แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์เลยก็ตาม “คือ…ฉันหมายความว่า…เราไปกินกาแฟกันไหม…ฉันเลี้ยงเอง…”
คุณช่างเครื่องถอยห่างไปเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นกอดอก…ยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดและเงียบไปนานจนสตีฟใจเสีย มั่นใจว่าตัวเองทำทุกสิ่งทุกอย่างพังหมดแล้วแน่ๆ…จึงค่อยๆ พูดเสียงเบา
“เอาเหอะ…ถ้านายไม่อยากไปก็ไม่เป็น—”
ประโยคของเขาโดนขัดด้วยรถของลูกค้าคนใหม่ที่ขยับมาจอด…คุณช่างเครื่องหันหน้าไปตอบเสียงถามว่าเลื่อนรถเข้าไปจอดในอู่ได้ไหม ทำให้สตีฟเตรียมตัวจะสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ของตน…ไม่ได้คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเดินกลับมาคุยกับเขาอีกรอบ
“คือ…” เรียวปากสีสดนั่นเม้มเข้าหากันและยกขึ้นนิดๆ เหมือนเด็กๆ “…ไม่เคยมีใครชวนฉันไปกินกาแฟด้วยกันมาก่อนเลยน่ะ”
แค่นั้นเอง…ก่อนที่ร่างสูงสันทัดนั้นจะผละจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก ทิ้งให้สตีฟได้แต่นั่งนิ่งบนมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง…ได้สติและตะโกนลาบัคกี้เอาก็ตอนที่อีกฝ่ายหายลับไปในโรงรถแล้ว
และตลอดทางขากลับ สตีฟ โรเจอร์สก็พยายามจะไม่คิด…แม้จะไม่มีประโยชน์เลย…ว่าท่าทางหน้าตึงๆ ของอีกฝ่ายตอนได้ฟังข้อเสนอเรื่องกาแฟนั่นอาจจะเป็นวิธีแสดงความเขินของคนที่เพิ่งเคยถูกชวนไปเดทตามฉบับของบัคกี้ บาร์นส์ก็เป็นได้
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in