อีกช่วงหนึ่งฉันกลายเป็นรถรับส่ง ภายในกรุงเทพ หรือจากรอบๆ กรุงเทพ เช่นฉะเชิงเทรา นครนายก ชลบุรี ระยอง อยุธยา ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นนทบุรี แต่สำหรับฉันมันก็ไม่เรียกว่าอาสาเสียทีเดียว เพราะฉันจำเป็นต้องคิดราคาตามระยะทาง ซึ่งส่วนมากฉันก็คิดตามค่าแก๊สค่าน้ำมัน ไม่คิดค่าแรงคนขับ ช่วงปิดเทอมฉันสะดวกวิ่งรถทุกเวลา แต่ชอบวิ่งเช้ามากไม่ก็ดึกมาก พอเปิดเทอมฉันรับส่งเด็กๆ ช่วงดึกไปเลย ตั้งแต่สามทุ่มจนถึงตีห้า ช่วงนั้นต้องแอบย่องออกจากบ้านเอาเพราะกลัวพ่อรู้
จนตอนนี้พ่อยังไม่รู้ว่าฉันเคยทำงานรับส่งหมาแบบนี้ด้วย
สักพักฉันตัดสินใจเขียนเรื่องสั้นของพวกหมาๆ ที่เคยช่วยหมา โดยบรรยายราวกับหมาเป็นคนเล่าเอง แล้วตีพิมพ์เองโดยติดต่อโรงพิมพ์ ควักเงินเก็บตัวเอง แล้วขายเองในเฟซบุ๊ก หรือไปขายตามงานหมาบ้างเล็กน้อย ตีพิมพ์ครั้งแรก 200 เล่ม มันขายหมดในวันเดียว จึงต้องมีล็อคสอง ล็อคสองฉันกะว่าจะพิมพ์แค่ 100 เล่ม เพราะกลัวขายไม่หมด แต่ทางโรงพิมพ์ฟาสต์บุ๊คเห็นใจและทางเจ้าของก็รักหมาเช่นกัน พวกเขาจึงช่วยสนับสนุนตีพิมพ์ให้อีก 100 เล่ม เป็น 200 เล่ม ผลปรากฏก็เหลืออยู่ประปราย นอกจากหนังสือก็มีเสื้อยืด 2 ล็อค ล็อคละ 300 ตัว รายได้หลังจากหักต้นทุนส่วนหนึ่งนำมาใช้จ่ายค่ารักษาเคสที่ฉันดูแลอยู่ อีกจำนวนหนึ่งนำไปบริจาคให้ศูนย์ดูแลสุนัขจรจัดกองทัพเรือที่สัตหีบ เป็นเงินสด 15,000 บาท ขนมสุนัขมูลค่า 3,200 บาท และอาหารแห้งสำหรับพี่ๆ ทหารอีก 2,000+ บาท... มันเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกประสบความสำเร็จในการงานการเงิน
จนตอนนี้ฉันถอยออกมาหลายก้าว ช่วยเป็นครั้งคราว นานทีจะรับลูกหมาป่วยมาดูแลป้อนยาแล้วหาบ้านเพื่อลดค่าใช้จ่ายของพี่อาสา มันไม่ง่ายที่จะรับหลายหน้าที่ในคราวเดียว ผลการเรียนของฉันถึงไม่ตกแต่ก็ไม่ได้ดี แม่ปลอบใจฉันทุกทีว่า ‘ใบเกรดไม่ได้สอนวิธีใช้ชีวิต’ ...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแม่สนับสนุนให้ช่วยหมาเต็มพิกัด แม่ถอนหายใจทุกทีที่ฉันพาหมาใหม่เข้าบ้าน แต่สุดท้ายก็ใจอ่อนตลอด
หลายเคสผ่านมาทำให้ฉันมีความรู้เกี่ยวกับหมาและโรคมากกว่าเดิม รวมถึงวิธีรักษาอาการหรือโรคเบื้องต้น แต่จริงๆ ฉันทำเป็นแค่ไม่มาก รู้วิธีตรวจสุขภาพเบื้องต้น แค่วัดไข้ ดูสีเหงือก แตะใต้หว่างขา จับมือจับเท้า ดูอาการ ดูอาหารที่กิน แล้วก็วินิจฉัยเบื้องต้น ส่วนมากถ้าหมาเป็นพยาธิเม็ดเลือดฉันก็จะมียาอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยได้พาไปหาหมอเท่าไหร่ หากหมาท้องเสียหรือไม่สบาย บางอาการก็กินยาคนได้ บางอาการฉันก็ไปซื้อยาที่คลินิกสัตว์มาป้อนเอง
ฉันกลายเป็นคนที่เพื่อนหรือเพื่อนของเพื่อนจะเข้ามาถามตลอดเวลาหมาหรือแมวมีปัญหาสุขภาพ กลายเป็นหมอเถื่อนไปโดยปริยาย แต่เอาจริงๆ ถ้าให้แนะนำ ฉันก็มักแนะนำให้พวกเขาพาหมาแมวไปหาหมอเถอะ ถามฉันไปบางทีก็บอกวิธีรักษาได้ แต่เป็นวิธีรักษาที่หมอเท่านั้นที่ทำเป็น ยังไงก็ต้องพาไปหาสัตวแพทย์อยู่ที
แล้วคำถามหนึ่งที่ฉันค่อนข้างเคืองคือ “ใช้เงินเท่าไหร่”
แบบฮ่วย... ก็น่าจะรู้ว่ามันแพงกว่าคนอยู่แล้วนะ แล้วฉันก็ไม่ใช่พนักงานเคาน์เตอร์ของ รพส. ด้วย ไม่อาจไปตรัสรู้ค่ารักษาส่วนนั้นได้หรอก ก็ได้แต่ประเมินราคาบอกเขาแบบแพงๆ ไว้ก่อน จะได้เตรียมใจจ่ายไว้บ้าง เพราะบางทีฉันเองเตรียมใจแทบไม่ทันตอนพาหมาเข้าแอดมิด
จะว่าไปเรื่องพวกนี้ให้ประสบการณ์ชีวิตฉันมากโขทีเดียว บางคนเอ่ยชมว่าอายุแค่นี้กลับทำงานเพื่อสังคม(หมา)แล้ว แต่ใจจริงบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังสร้างภาพมายาให้คนอื่นดูอยู่เหมือนกัน ถึงอีกใจหนึ่งเราก็ตั้งใจจะช่วยหมาจริงๆก็เถอะ แต่กะไรเล่า อย่างไรการช่วยหมาตัวหนึ่งจะทำไม่ได้เลยถ้าไม่ได้สังคมแบบนี้ สังคมที่เห็นใจ
แต่รู้ไหมอะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในงานนี้
ไม่ใช่การรักษาหมาให้หาย
ไม่ใช่การระดมทุนเรี่ยไรค่ารักษา
แต่เป็นการหาบ้านให้พวกเขาต่างหาก
ในปี พ.ศ. 2555 เป็นยุคที่ทุกคนต่างหาหมาเข้าบ้าน เพจ Unidog กำลังเป็นจุดศูนย์กลางของทุกหน่วยหน้าที่ ไม่ว่าจะคนที่อยากได้หมา หรือคนที่หาบ้านให้หมา ในตอนนั้นหมาก็เยอะ คนอยากได้ก็เยอะ มันก็หักล้างกันไป คนก็รับหมาเข้าบ้าน หากเปรียบเทียบกับการขายของก็เรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
แต่พอผ่านมาถึง 2558 หลายบ้านที่รับหมาไปแล้ว หมาตัวนั้นก็ยังอยู่ หมาตัวหนึ่งอยู่ได้นานถึง 20 ปี เพราะฉะนั้นบ้านที่อยากได้หมามันก็ลดน้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน ประชากรหมาหาบ้านมีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้น กลายเป็นว่าแม่ค้าอย่างเราๆ ก็เริ่มขายไม่ได้ พอขายไม่ได้ของก็สต็อกค้างอยู่ที่บ้านเรา ซึ่งก็คือน้องหมาผู้มีชีวิต
เมื่อบ้านเราเริ่มเต็มไปด้วยหมา เหล่าอาสาก็เริ่มตระหนักว่าพวกเขารับหมามาอีกไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าจะหาบ้านไม่ได้แล้วค้างที่บ้านให้เพิ่งพูนขึ้นมาอีก อาสาบางคนจึงถอนตัวไป บางคนทำใจแข็งไม่ช่วยไม่ได้ ก็ต้องเอาหมาไปฝากไว้ที่ รพส. ขณะรอบ้าน หนี้ก็เพิ่ม ก็ต้องหาเงินเพิ่ม และเมื่อมีแบบนี้มากขึ้น ทุกคนก็ต้องดิ้นรนหาเงินมากขึ้น
จากเมื่อก่อนที่อาสาเพียงแต่ระดมทุน ตอนนี้พวกเขาต้องขายของ ประมูลของ เพื่อหาเงินมาจุลเจือโรงพยาบาลสัตว์ บางคนฝากบ้านชั่วคราว บ้านชั่วคราวบางทีก็เป็นปัญหาได้ เมื่อฝากแล้วมันเริ่มนานขึ้นเรื่อยๆ อาสาบางคนก็มัดมือชกให้บ้านชั่วคราวกลายเป็นบ้านถาวรด้วยวาจา บ้านชั่วคราวจึงน้อยลงอีก
ทุกอย่างกลายเป็นปัญหาลูกโซ่ แต่ปัญหาประชากรสุนัขก็ยังไม่หยุดหย่อน เพราะถ้าให้พูดกันตามจริงแล้ว เหล่าอาสาที่กำลังช่วยหมาๆ อยู่นั้น... เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ
อาสาหลายคนรู้ว่าต้นเหตุคืออะไร ... มุ่งเล็งไปที่การทำหมันสุนัข
แต่การทำหมันแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งเรื่องงบและสัตวแพทย์ ยิ่งบางงานอาสาเป็นแม่งานคนเดียว ต้องวิ่งเรื่องกันวุ่นวาย... บางคนตั้งคำถามว่าทำไมหน่วยงานรัฐถึงไม่มาเพ่งเล็งที่จุดเดียวกัน
ความจริงมันเป็นเรื่องยากที่จะทำหมันหมาได้หมดทุกบริเวณ เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันบานปลายมากแล้ว ได้แต่แก้เป็นจุดๆ ไป
ถามว่าวิธีกำจัดหมาจรจัดของต่างประเทศโหดร้ายไหม การ Put to sleep หรือการรมยา ... ความจริงมันค่อนข้างโหดร้าย เชื่อว่าชีวิตนี้เกิดมาไม่มีใครอยากตาย การรมยาดูทรมานเกินไปสักหน่อย แต่การฉีดยาให้หลับ... เอาจริงๆ ฉันชอบวิธีนี้มากกว่า ถ้าเทียบกับการที่หมาจรจัดจะต้องโดนคนไล่ตีตาย วางยาตาย รถชนตาย การหลับแล้วจากไปเฉยๆ เป็นวิธีที่อ่อนโยนมากนะ คิดกลับกันถ้าเป็นมนุษย์เรา ระหว่างตายโหง เป็นโรคตาย กับนอนหลับแล้วตายไปเลย เป็นใครใครก็ต้องเลือกนอนหลับตาย มันไม่ทรมาน
ถ้าประเทศไทยทั้งประเทศจะหันมา PUT หมาจรจัดทุกตัวให้หมดไป... ถ้าฉันเห็นด้วย คนที่อ่านต้องคิดว่าฉันใจร้าย เป็นอาสาที่เสแสร้ง แต่ถ้าฉันจะบอกว่าไม่เห็นด้วย ฉันก็โกหกตัวเองอีก แต่อย่างไรหน้าที่ตัดสินใจมันไม่ได้อยู่ที่ฉันสักหน่อย เพราะฉะนั้นฉันจะไม่บอกว่าคิดยังไงกับเรื่องนี้
มันมีสองทาง
ถ้าไม่ทำ... ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างนี้อีกหลายทศวรรษแน่นอน คนไม่มีความรับผิดชอบ เบื่อก็ทิ้งก็ปล่อยให้หมาเลี้ยงกลายเป็นหมาจร พอไม่ได้ทำหมันก็ท้อง พอท้องก็คลอดเป็นครอก ครอกหนึ่งต้องมีตัวเมีย ตัวเมียโตมาก็ท้องอีก คลอดอีก หมาไปป้วนเปี้ยนเจอคนไม่ชอบก็โดนทำร้าย บาดเจ็บ อาสาเข้ามาช่วย ช่วยเสร็จก็ต้องหาบ้าน บางตัวก็ปล่อยคืนที่เดิม บางตัวทำใจเลี้ยงเอง ทุกอย่างมันจะหมุนเวียนไปอย่างนี้
ถ้าทำจริง... เราจะสามารถควบคุมหมาจรจัดได้จริง มีบ้านมีเมืองที่เป็นระเบียบเหมือนญี่ปุ่น ปราศจากหมาจรจัดแมวจรจัด กฎหมายการดูแลสัตว์หรือคุ้มครองสัตว์จะสามารถทำให้เข้มข้นขึ้นเหมือนเมืองนอกได้ เราสามารถเอาผิดรุนแรงกับคนที่ทรมานสัตว์หรือเจ้าของที่เลี้ยงแล้วทิ้งขว้างได้ ทุกอย่างจะอยู่ในระบบระเบียบ จะไม่มีอาสาที่ต้องมาเหนื่อยกับปัญหาปลายเหตุ ประเทศไทยก็จะพัฒนาไปอีกขั้น
แต่ใจเย็น ฉันไม่ได้บอกว่าหมาจรจัดผู้น่าสงสารทำให้ประเทศไทยไม่พัฒนา
คนต่างหากที่ไม่พัฒนาตัวเอง ต้องใช้กฎหมายเหล่านี้บังคับให้พัฒนา หมาเหล่านี้เป็นแค่ตัวกลางขับเคลื่อนน่าเวทนา ผู้บริสุทธิ์ที่ต้องรับเคราะห์ อย่างน้อยหวังว่าเคราะห์ของเขาจะไม่ทรมาน
เชื่อเถอะว่าการจัดตั้งศูนย์กักกันสัตว์จรจัดในทุกจังหวัดไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา มีแต่จะเพิ่มปัญหา และเพิ่มความเห็นแก่ตัว ลดความรับผิดชอบของคนไทยมากขึ้น จังหวัดฉันก็มีศูนย์ จังหวัดนั้นก็มีศูนย์ พอขี้เกียจเลี้ยงก็เอาไปให้ศูนย์ ง่ายๆ สบายตัว ไม่ต้องลำบาก มีหมาจรจัดที่ไหนก็เรียกเทศบาลมาจับไป ไม่รกหูรกตาย มันจะกลายเป็นเสียอย่างนี้ไง
แทนที่จะจัดตั้งหน่วยงานทำหมันสุนัขทุกพื้นที่แทน ใช้งบเป็นครั้งๆไป ไม่ใช่งบระยะยาวเป็นศูนย์กักสัตว์
ปลูกจิตสำนึก... จิตสำนึกบางคนมันปลูกยากแล้ว
ประเทศไทยมีคนรักสัตว์เยอะก็จริง เวลามีเรื่องอะไรคนรักสัตว์ก็ออกมาแสดงตัว อย่างในหนัง... แน่นอนว่าฝ่ายดีต้องออกมาเผยตัวให้ทุกคนเห็น ในขณะวายร้ายแฝงตัวในความมืด มันก็เหมือนกับชีวิตจริงนั่นแหละ สักกี่คนจะออกมาเผยตัวตนว่าฉันเกลียดสัตว์ ฉันจะเตะหมาวางยาแมว คนจะทำเขาไม่เผยตัวกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามองดีๆ คนรักสัตว์กับคนไม่รักสัตว์มันก็มีพอๆ กัน
พูดถึงคนรักสัตว์ มันมีหลายระดับด้วยกันนะ
บางคนก็รักหมามากถึงขั้นไม่ลืมหูลืมตา แตะต้องไม่ได้ เล่นแรงนิดหน่อยทนไม่ได้ ก็มี
บางคนรักหมาจร จนแอนตี้คนที่เห่อหมาพันธุ์นอก
เคยมีเคสหนึ่งมันเกิดขึ้นประมาณว่า... หมาพันธุ์แจ็ครัสเซล โดนรถชน อาการหนัก ต้องผ่าตัดทำแผลนู่นนี่นั่น มีค่าใช้จ่ายรายวันสูง เจ้าของหมาจึงออกมาเรี่ยไรขอเงินบริจาค หรือระดมทุนนั่นแหละ ... บางคนก็ช่วยด้วยความเห็นใจสงสาร บางคนเคลือบแคลงใจไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของถึงไม่มีเงินจ่ายในเมื่อบ้านก็ดูมีตัง บางคนออกตัวสงสารหมาจรที่ระดมทุนทันที บางคนก็ออกมาด่าคนที่พูดถึงหมาจรว่าโลกสวย เวรกรรม กลายเป็นตีกันเองซะงั้น
ประเด็นแบบนี้มันคิดได้หลายแบบ... แต่เอาจริงๆ หมาที่มีเจ้าของ แปลว่ามันอยู่ในการดูแล มีผู้ปกครอง หมาไม่มีทางโดนรถชนในบ้าน มันโดนรถชนบนถนน รถสมควรอยู่บนถนน แต่หมาไม่สมควรอยู่บนถนน เข้าใจที่ต้องการจะสื่อไหม? ถึงบางทีเออ คนขับแม่งอาจไม่สนใจหมาแล้วขับเหยียบมันจริงๆ... แต่คำถามคือหมาไปอยู่บนถนนแล้วโดนรถบนถนนชน ใครคือคนผิด
ใครคือคนที่ต้องรับผิดชอบ
แล้วทำไมหมาจรถึงไม่ผิด... เหมือนกัน ถ้าหมาจรจัดโดนรถชน หลายคนด่าทอต่อว่าคนขับ เชื่อสิบางทีบางคนก็เบรกไม่ทันจริงๆ แต่เราจะโทษคนขับได้อย่างไร ในเมื่อหมามันไปอยู่บนถนน พวกเขาน่าสงสาร แถวนั้นคือบ้านของเขา ถนนเป็นที่นอน อาศัยไปอย่างเสี่ยงอันตราย พวกมันต้องดูแลตัวเอง เจ็บก็ต้องทน ทนไม่ไหวก็ตาย จึงมีอาสายื่นมือมาช่วย แล้วระดมทุน
การเลี้ยงสัตว์บางทีไม่ใช่แค่มีบ้านที่มีบริเวณเพียงพอหรือรั้วรอบขอบชิดอย่างเดียว ต้องมีเงินด้วย... ต่อให้เป็นหมาจรที่รับมาเลี้ยงฟรีๆ อย่างไรก็ต้องมีเงิน สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีค่าใช้จ่าย พวกเขาต้องกิน ต้องรักษาเมื่อถึงเวลา ถึงจะเลี้ยงหมาจรก็ต้องมีค่าอาหารหมา ไม่ว่าจะพันธุ์นอกหรือพันทางก็ป่วยโรคเดียวกันได้ โดนรถชนเหมือนกันได้
หนึ่งชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่าคนนะ พวกเขามีจิตใจที่บริสุทธิ์ บางตัวเจ้าเล่ห์อย่างน่ารัก เจตนาในความเจ้าเล่ห์ของเขาไม่ได้ร้ายกาจอย่างมนุษย์ ไม่ได้เสี้ยวของมนุษย์เลยด้วยซ้ำ พวกเขามีรักที่บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ซื่อตรง รักคือรัก ปากเหม็นคือหอม ทุกอย่างคือยอม งอนไม่นานก็มาง้อเอง พวกเขาคือคู่รักในอุดมคติ
ไม่ว่าจะหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ อ้วนดำฟันหลอหัวล้านสิวเขรอะ หมาแยกไม่ออกหรอก หมามันไม่สนด้วย ฉันว่าเนี่ยล่ะเสน่ห์ของพวกมัน เขาเรียกรักแท้
น่ารักว่ะไอ้หมา คิดแล้วรักพวกแกยิ่งกว่าเดิมอีก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in