เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cinema SleeperSuburban Ghost
Superhuman Error (Captain America: Civil War)
  • Captain America: Civil War (2016, Anthony Russo/Joe Russo, USA)

    *spoiler alert*

    “ฮีโร่ก็เป็นคน” เราได้ยินประโยคเกร่อๆ หรือเมสเสจทำนองนี้มาบ่อยครั้ง แต่จริงเหรอ? ซูเปอร์ฮีโร่เป็นคนจริงรึเปล่า? แน่นอนว่าที่เราเห็นเคลื่อนไหวบนจอนั้น very much คน แต่ด้วยกับพลังเหนือมนุษย์ที่พวกเขามีอยู่ การมองฮีโร่ในระนาบเดียวกับมนุษย์ทั่วไปนั้นตรงกับความจริงหรือเป็นไปได้แค่ไหนกัน...

    ฟากฝั่งของรัฐ (หรือกระทั่งประชาชนทั่วไป) ก็ดูเหมือนจะหันมามองซูเปอร์ฮีโรด้วยสายตาที่คลางแคลงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในจักรวาลหนังมาร์เวล ใช่ เรารู้กันแต่แรกแล้วเขามีพลังเหนือมนุษย์ และใช่ ในบางครั้งเรามองพวกเขาด้วยสายตาเทอดทูนดั่งพระเจ้า ซูเปอร์ฮีโร่ไม่ต่างจากผู้มาโปรด ผู้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะพิทักษ์โลกให้พ้นภัย แต่หลายต่อหลายครั้งที่ฮีโร่ออกไปปกป้องโลกจากเหล่าร้าย กลับหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีผู้บริสุทธิ์รับเคราะห์ เราจึงมาตระหนักได้อย่างเต็มรักว่า พระเจ้าที่เราเทอดทูนนั้นสามารถทำผิดพลาดได้ไม่ต่างจากมนุษย์ สัญญาที่จะพิทักษ์โลกไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เท่าที่เราวาดหวัง สิ่งที่เรียกว่า human error นั้นดูจะสร้างผลกระทบใหญ่โตยิ่งกว่าเมื่อมันกลายเป็น superhuman error เราไม่อาจควบคุมฮีโร่เหล่านี้ได้ พวกเขาเป็นเหมือนขีปนาวุธที่มีแขนมีขา วันหนึ่งอาจหันมาแว้งกัดหรือทำอะไรเกินกว่าที่เราคาดหวังให้พวกเขาทำ...

    มันจึงไม่มีอะไร ‘มนุษย์’ ยิ่งไปกว่าการเรียกร้องให้ซูเปอร์ฮีโร่ ‘เลือกข้าง’ ให้ชัดเจนแล้วเซ็นพันธกิจอยู่ในการควบคุมของรัฐ (ประหนึ่งโยกย้ายองค์กรอิสระเข้ามาอยู่ในการจับตาของทางการ) มนุษย์มักจะหวาดกลัวกับสิ่งที่พวกเขาไม่คุ้นชิน ซูเปอร์ฮีโร่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือสาระบบความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อโลกมาเป็นเวลายาวนาน เช่นนี้ซูเปอร์ฮีโร่จึงเป็นความไม่แน่นอน เมื่อไม่แน่นอนก็ไม่รู้ว่าคือมิตรหรือศัตรู อาจบอกได้ว่า ‘ความเสี่ยงที่สิ่งใดจะเป็นอันตราย’ หรือ ‘ความไม่แน่นอน’ นั่นแหละที่เป็นอันตรายอยู่แล้วในตัวมันเอง รัฐจึงลดความเสี่ยงนั้นด้วยการจับพวกเขาเข้ามาอยู่ในระบบ ระบบที่ประดิษฐ์สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์นี่แหละ ระบบที่เต็มไปด้วย error ของมนุษย์ โดย error ที่ใหญ่โตที่สุดก็เห็นจะเป็นการคาดหวังอย่างไร้เดียงสาว่าอำนาจของพระเจ้าจะสยบยอมต่ออำนาจของมนุษย์ตั้งแต่แรก (ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้เข้าใจตรงกันว่า ’อำนาจของพระเจ้า’ ในที่นี้หมายถึงพลังพิเศษหรือสิ่งที่อยู่เหนือความสามารถพื้นฐานของมนุษย์ เพื่อไม่ให้สับสนกับซูเปอร์ฮีโร่ของดีซีอย่างซูเปอร์แมนที่ดูจะยึดโยงกับการเป็น God ชัดกว่า)

    ผู้แบกจิตวิญญาณของสหรัฐอเมริกาอย่างกัปตันอเมริกาคัดค้านอย่างชัดเจน เขาเลือกที่จะเลือกทำอะไรได้ตามใจตัวเอง ไม่อยู่ในการสอดส่องควบคุมของรัฐ ทั้งนี้การเลือกของกัปตันฯ จึงแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมั่นและตระหนักรู้ถึงอำนาจเหนือมนุษย์ที่ตนมีอยู่แล้ว (เมื่อลองเอาตรรกะนี้ไปเทียบเคียงกับตัวประเทศมหาอำนาจนี้จริงๆ ดูก็รู้สึกตลกดี) และรู้อยู่แก่ใจว่าใต้ชายคาของระบบประดิษฐ์สร้างของมนุษย์ที่ทีมอเวนเจอร์สเข้าไปอยู่นั้นรังแต่จะถ่วงรั้งภารกิจกู้โลกของเขา การแสดงเหตุผลในระดับความคิดของกัปตันฯ จึงเต็มไปด้วยการอวดอ้างคุณธรรมของตน คุณธรรมที่จะไม่อยู่ใต้บัญชาของใคร (หรืออันที่จริง คุณธรรมที่เขาจะใช้ตามใจตัวเอง) และการเหยียดหยามสติปัญญามนุษย์ว่าไม่อาจเข้าใจ(หรือตามทัน)คุณธรรมที่ว่านั้นได้ การที่เขากลายมาเป็นตัวแทนของเสรีภาพก็ดูจะมีปัญหาอยู่หน่อยๆ เพราะเสรีภาพของมนุษย์เดินดินกับเสรีภาพของกัปตันอเมริกาน่าจะเป็นเสรีภาพในคนละความหมายกันโดยสิ้นเชิง

    สำหรับไอร์ออนแมน เสรีภาพที่กัปตันฯ เชิดชูนั้นไม่ต่างอะไรจากศาลเตี้ยที่ออกไปพิพากษาว่าใครควรค่าที่จะได้รับการปกป้องหรือใครที่จะต้องถูกกำราบ สิ่งที่ขับเคลื่อนไอร์ออนแมนให้มามีจุดยืนนี้ก็คือเรื่องของผู้บริสุทธิ์ที่ต้องมาเสียชีวิตเพราะอเวนเจอร์ส ประเด็นที่กัปตันฯ ก้าวข้ามไปได้ด้วยคำปลอบประโลมตนเองว่าทุกสงครามย่อมมีคนตาย การประนีประนอมยอมให้อเวนเจอร์สเป็นกิจการรัฐก็คือการที่ไอร์ออนแมนยอมแบ่งภาคส่วนของเสรีภาพในการกู้โลกไปมอบให้รัฐดูแล แต่ก็อีกนั่นแหละ คือการเข้าไปอยู่ใต้ระบบมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกสร้างมารองรับ ‘ยอดมนุษย์’ ตั้งแต่แรก เราจะเห็นด้วยซ้ำว่าตัวละครไอร์ออนแมนในหนังเรื่องนี้ขับเคลื่อนด้วยความเป็นมนุษย์ของเขา ด้วยความรู้สึกผิดบาปที่ไม่อาจก้าวพ้น ด้วยกับการสูญเสียที่เขาไม่อาจให้อภัย (ในตอนท้าย) ในแง่หนึ่งความเป็นมนุษย์ของไอร์ออนแมนนี่แหละคือสิ่งที่ฉุดรั้งไม่ให้เขายิ่งใหญ่ ฉุดรั้งไม่ให้ซูเปอร์ฮีโร่อยู่เหนือมนุษย์ และตกมาเป็นเพียงหุ่นเชิดของมนุษย์เท่านั้น

    แม้ตัวหนังจะมีปัญหาอยู่ไม่น้อย* แต่สิ่งที่มันยืนยันได้อย่างดิบดีคือซูเปอร์ฮีโร่นั้นลักลั่นย้อนแย้งเสียยิ่งกว่าอะไร แน่นอนว่าพวกเขามีความรู้สึก อุดมการณ์ หรือข้อบกพร่องที่ไม่ต่างจากมนุษย์ แต่พวกเขาก็มีแสนยานุภาพเกินหน้ามนุษย์ทั่วไป (มันเลยเป็นจุดเด่นของหนังภาคนี้ก็คือเมื่อพลังเหนือมนุษย์ปะทะต่อต้านภายในกลุ่มตัวเองด้วยเพราะต้นเหตุเป็นปมดราม่ามนุษย์) ความลักลั่นจึงอยู่ในทั้งสายตาของมนุษย์ทั่วไปที่ไม่รู้จะจัดประเภทพวกเขาให้เป็นอะไร พอๆ กับทั้งในตัวพวกเขาเองที่ยังจัดการและรับผิดชอบกับความเป็นมนุษย์ข้างในตัวเองและพลังที่แสดงออกไปข้างนอกไม่ถูก เราอาจบอกว่าซูเปอร์ฮีโร่คืออีกก้าวของวิวัฒนาการมนุษย์ ที่ต้องผ่านการลองผิดลองถูกในการจัดการกับอะไรต่อมิอะไรมากมายเพื่อที่จะกลายไปเป็นอะไรที่เหนือกว่า (แต่ซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล (หรือดีซีเองก็ตาม) ยังดูเหมือนจะอยู่ใกล้กับการเป็น violent ape มากกว่าเป็นสิ่งที่ถัดจากการเป็นมนุษย์หรือ post-human) กระนั้นตัวละครที่ดูเหมือนจะย้อนแย้งที่สุดกลับไม่ใช่ทั้งกัปตันอเมริกาหรือไอร์ออนแมน แต่เป็นตัววิชั่น ซึ่งเป็นเหมือนสมการแปลกประหลาดในหนังเรื่องนี้ เขาคือปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกสัมผัสโดยปัญญาต่างดาว กล่าวคือเป็นตัวที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากความชาญฉลาดของมนุษย์และต่างดาว ตลอดทางของหนังเรื่องนี้เราได้เห็นวิชั่นถูกครอบทับด้วยกรอบของความเป็นมนุษย์เสียจนพิลึก กระทั่งในตอนท้ายที่สุด ตัวเขานี่แหละที่กลับกลายเป็นว่าทำ human error ได้อย่างร้ายแรง ทั้งๆ ที่ตนเองไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรก โดยตัวหนังเองก็แสดงอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เขายังเรียนรู้การเป็นมนุษย์อยู่ (เช่น มารยาทในการเข้าห้องผ่านประตู) มันจึงราวกับว่าในขณะที่ตัวละครทั้งเรื่องอยู่บนเส้นทาง trail-and-error ที่จะวิวัฒน์ไปข้างหน้า วิชั่นกลับกำลังมีวิวัฒนาการถดถอยกลับมาเป็นมนุษย์ยังไงยังงั้น

    *ที่บอกว่าหนังมีปัญหาคือความล้นทะลักของเหตุการณ์ในเรื่องทั้งๆ ที่หนังแทบจะไม่ได้พาประเด็นไปไกลมากนัก ดูแล้วก็รู้สึกเหมือนเป็นซีรีส์ยาว 10 ตอนที่ถูกตัดแล้วยัดให้เหลือเป็นหนังยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง จนมันเหมือนเป็น compilation of scenes มากกว่าเป็น feature film ที่เราจะเข้าไปสนุกกับมันได้อ่ะ ตัวอย่างชัดๆ เลยคือ energy ของฉากสตาร์คไปหาสไปเดอร์แมนมันแปลกแยกจากหนังทั้งเรื่องมากๆ โดดมากๆ คนอื่นอาจจะบอกว่าเปิดตัวสไปเดอร์แมนได้ดีและโดดเด่นแต่เรากลับรู้สึกว่ามันเป็นส่วนเกินของหนัง และที่พลาดมากๆ เลยคือช่วงท้ายที่แทนที่จะให้มันจบแบบแตกหักกันไปเลยกลับมีแววไกล่เกลี่ยประนีประนอมซะงั้น (คือก็รู้อยู่แล้วอ่ะว่ามันจะมีหนัง Avengers อีกตั้ง 2 ภาค เดี๋ยวมันก็ต้องมารวมตัวกันอีก ไม่ได้โง่ป้ะ หื้มม) กลายเป็นว่าเส้นเรื่องของตัวละครบั๊คกี้กลายเป็นส่วนเกินที่ตัดเข้ามาในเรื่องไม่ได้จนต้องแยกไปเป็นฉากในเครดิต พลาดมากๆ เพราะเรารู้สึกว่าตัวละครนี้มันก็ค่อนข้างสำคัญ (ขนาดภาคที่แล้วยังเอาชื่อมันไปตั้งเป็นชื่อภาคเลยอ่ะ) และในเมื่อหนังจะให้ตัวละครโดนแช่แข็งหลับไปตลอดกาล อย่างน้อยมันก็ควรมี decency ในการบอกลาตัวละครกว่านี้หน่อยซึ่งเราคิดว่าจะทำให้หนังกลมและ relatable ได้มากกว่านี้อ่ะ เนี่ย มันเหมือนว่าหนังไม่ response ต่อสิ่งที่เรื่องราวเรียกร้องให้เล่า เลยกลายเป็นก้อนล้นๆ ที่ขนขบวนตัวละครตัวใหม่มาขายเพื่อจะได้ขยายแฟรนไชส์ก็แค่นั้น
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in