"ความรักอาจจะทำให้เรามีพลังทำอะไรหลายอย่าง และด้อยค่าเราในอีกหลายด้าน ความเศร้ากลายเป็นผลผลิตชั้นดีที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยหยาดน้ำตา. . ."
คุณเชื่อการกระทำที่บิดเบี้ยว โลกสมมติที่ทุกคนงมงายว่า ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างสวยงามมั้ย
คุณเชื่อว่า หากเราลองปล่อยให้ปัญหาจบลงด้วยการแก้ไข ปัญหาใหม่จะไม่มาให้ตอแยหรือเปล่า
เรื่องราวของมนุษย์เพศชายที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่เชื้อของโรคซึมเศร้าที่ระบาดไปทั่วประเทศ
ยึดมั่นในอีโก้ ทะนงในตนเอง โดยไม่แยแสเรื่องราวคนอื่นรอบข้างมาก่อน วนเวียนอยู่ในวัฐจักร การทำงานในตอนกลางคืนมากกว่าจะใช้ชีวิตในตอนกลางวัน พร้อมกับชื่อหลายนามที่ไว้ป้องกันตัวเอง
กับการรู้จักใครสักคน เมื่อเขาได้เจอคนที่แตกสลายพร้อมกับสมญานามปลอมเฉกเช่นตัวเอง
เขาจะเปิดรับอ้าความบอบบางและมลายลงนี้ได้หรือไม่...
อันนี้คือการเกิร่นพอน้ำจิ้มถึงวรรณกรรมไทยร่วมสมัยเล่มหนึ่งที่แพรพึ่งอ่านจบ! นานทีจะจับนิยายไทย
ที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ในตัวเอง ผลงานโดย พี่ชายคนหนึ่งที่รู้จักกันจากค่ายรัฐศาสตร์ครั้นนานนม ชื่อ ภูภุช กนิษฐชาต ต้องขอขอบคุณที่ P.S. Publishing ที่ให้โอกาสพี่เขาสร้างสรรค์หนังสือนะคะ
เอาละเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า วันนี้จะมาลองรีวิวและบอกถึงความรู้สึกหลังอ่านจบ..
เรื่องราวมีการดำเนินที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้เราได้เห็นสภาพสังคมรอบตัวของพระเอกโดยใช้คำว่า
"ดิสโทเปีย" ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกับ "ยูโทเปีย" เพื่อเปรียบกับโลกที่โรคระบาดกำลังแพร่กระจาย โดยไว ในที่นี้นักเขียนใช้โรคซึมเศร้าในการทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปในหลายบริบท ทั้งความเหงา เศรษฐกิจที่ตกต่ำลง และการที่รัฐบาลไม่ได้มีการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ คิดว่ามันเป็นเรื่อง "ปกติ" เราสามารถอยู่กับมันได้ ทำให้มีบางคนสาบสูญหายไป บางคนไม่มีงานทำ ต้องดิ้นรนในสิ่งที่ทรมาน กับสมอง พระเอกเราเป็นหนึ่งในนั้น เป็นเด็กจบใหม่ที่ถูกทิ้งไว้เป็นภาระของชายกลางคนที่ดูแลบาร์ ยามค่ำ พระเอกต้องคอยรับฟังปัญหาของผู้คนที่เข้ามาในบาร์ ลงความรู้ไปที่เพลงที่ขับกล่อม และสุรา ที่เมามาย ที่เราประทับใจคือ "นักเขียนดึงบรรยากาศในกรุงเทพให้ดูโดดเดี่ยว และ เงียบงัน" จาก การไปตาม สถานที่ ไม่ว่าจะขณะนอนบนเตียง นั่งในร้านหนังสือที่หนังสือต้องปรับแพงขึ้นเลยร้าง มาสักพัก ร้านกาแฟที่ไร้คน สนามหลวงที่คนไม่มานั่งเล่นว่าวอย่างเคย นี่เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งที่เราเห็นผ่านมุมมองของนักเขียน แต่ที่ขาดไม่ได้คือ "ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่แตกสลาย บวกกับ ความสัมพันธ์ของคนที่พระเอกรู้จักต่างคนต่างใช้ชื่อปลอม" เพื่อสร้างอีกบุคลิกหนึ่งในอีกบทบาทหนึ่ง ฝันร้ายที่หลอกหลอนกัดกินจากอาการป่วยทำให้ปิดกั้นที่จะให้เรื่องราวความจริงต่อผู้คน รวมถึงอดีต ที่เชื่อมั่นไว้ใจในแค่คนเดียว และเห็นว่าความสัมพันธ์ทางกายเป็นแค่ความสนุกชวนเชื่อไปชั่ววันและคืน บางคนฝืนความรู้สึกสดใสตัวเอง เพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าที่มีอยู่ล้นในหัวใจ สำหรับแพร ทั้งอึ้งและงงในการตีความของนักเขียนเช่นกัน แต่ในเชิงปรัชญา..มนุษย์เรานั้นมีความเห็นแก่ตัวเสมอ เพื่อคิดเข้าข้างว่าตัวเองทำแบบนี้เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากอันตราย แต่ถ้าสุดท้ายกำแพงนี้จะทลายได้ อาจจะเป็นความรักที่ให้ค่ามันอย่าง พระเอกที่ได้รู้ว่าตัวเองยอมล้ำเส้นเข้ามาในโลกใบหนึ่ง ทำทุกอย่างเพื่อเปิดใจให้นางเอกในที่สุด แต่หากให้พูดความรู้สึกมักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเสมอ แล้วเมื่อเคมีในสมองมีความแปรปรวนอีก ก็ไม่แปลกที่มันจะเลวร้ายไปโดยมิได้ตั้งใจ นี่ก็แค่ความรู้สึกครึ่งหนึ่ง หากให้พูดทั้งหมด คงไม่เพียงพอ เพราะเรื่องราวนี้ทำให้เราตกตะกอนว่า ความคิดของมนุษย์ทางธรรมชาตินั้นไม่ได้ต้องการไรมากเลยนอกจากการเคารพในตัวเอง และ เคารพในการใส่ใจคนในสังคมเช่นกัน มันช่างสวยงามและเปราะบาง หากสามารถเปลี่ยนตอนจบได้ คงอยากให้นางเอกเปิดปากอันแข็งแรง
นั้นออกมาว่า "นายก็คือคนพิเศษตั้งแต่ที่ได้รู้จักแล้ว" มองข้ามอดีตและมองถึงสิ่งที่ทำมากันตลอด
พระเอกก็คงไม่พลั้งมือกระทำเลวร้ายลงไปเช่นกัน แค่เอ่ยปากใจจริงต่อกัน ดั่งที่หัวใจซื่อสัตย์มาตลอด
ทั้งคุณคิว คุณทราย และ พิม หรือจะอาจารย์มีธรรมก็ตาม ต่างก็เข้ามาทำให้พระเอกได้ฉุกคิดอะไร หลายอย่าง ได้กระตุ้นความรู้สึกให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง การมีชีวิตอีกครั้งคนเราควรปรารถนามันให้มาก
"Depression has been through the Happiness before
then why it can not re-run again" :D
หากคุณกำลังจมปลักกับความซับซ้อนในชีวิตบางทีนิยายเล่มนี้อาจชวนคุณตกผลึก
เข้าใจในความสัมพันธ์ของมนุษย์เรามากขึ้นก็ได้
ลองหาซื้อมาอ่านกันได้นะคะ ด้วยรักและปรารถนาดีให้ได้ลิ้มรส #NoMoreNames
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in