"There is a place in the heart that will never be filled"
(“มันมักจะมีที่หนึ่งในหัวใจที่ไม่เคยเต็ม“)
- Charles Bukowski (August 16, 1920 – March 9, 1994)
กวี-นักเขียนชาวเยอรมันเชื้อสายอเมริกันกล่าวเอาไว้ ผมรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างแปลกประหลาด มันมักมีที่หนึ่งเป็นอย่างน้อยในจิตใจที่ไม่เคยเต็ม ไม่ว่าเราพยายามเติมมากแค่ไหนก็ตาม
สมัยยังเด็กผมเคยอยากเป็นไอ้มดแดง เคยอยากให้โดราเอมอนโผล่มาทางลิ้นชักโต๊ะ เคยอยากแปลงร่างเป็นอุลตร้าแมนเพื่อปล่อยลำแสงปราบศัตรประหลาด เคยอยากร่วมขบวนการห้าสีเพาเวอร์เรนเจอร์กระโดดถีบตัวร้ายใส่เสื้อรัดรูปสีดำที่ร้อง "กี๊....กี๊...." เคยอยากเกิดเป็นชาวไซย่าที่เห็นพระจันทร์แล้วกลายร่างเป็นคิงคองบ้าเลือด เวลาโกรธแล้วต้องตะโกนสุดเสียงแผ่นดินสะเทือนเส้นผมเปลี่ยนสี (พูดไปก็ขำตัวเอง) เหมือนกับความเข้าใจเกี่ยวกับซานตาคลอส ยิ่งโตก็ยิ่งรู้ว่าความเพ้อฝันเหล่านั้นมันเป็นไปไม่ได้ โลกแห่งความจริงก็ค่อยๆเผยโฉมหน้าออกมาให้เห็นทีละนิด
โตขึ้นมาเข้าสู่วัยรุ่น กลีบกุหลาบบนเส้นทางชีวิตถูกลมแห่งฮอร์โมนพัดปลิวฟุ้งกระจาย เริ่มรู้ว่าความรักชอบ โกรธ หลงเป็นอย่างไร จากชีวิตที่เด็กไร้เดียงสาลั้นลาวิ่งไล่ตามแมลงปอในทุ่งหญ้า กลายเป็นคึกคะนองวิ่งตามอารมณ์ความรู้สึกที่เริ่มซับซ้อนซ่อนเงื่อนแปรเปลี่ยนมากขึ้น เริ่มต้นค้นหาจุดยืนตัวตนของตนเอง ฝันใหญ่บ้างฝันเล็กบ้าง ตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางจักรวาล ความรู้สึกของตัวเองนั้นมักยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าคนอื่นเสมอ ความสนใจในเพศตรงข้ามพลุ่งพล่านคุกรุ่นจนปั่นป่วน หัวปักหัวปำตามหาความโรแมนติกเฉกเช่นในภาพยนต์ชวนฝัน ลองผิดมากกว่าลองถูก เจ็บตัวช้ำใจเสียน้ำตาและเริ่มเรียนรู้ชีวิตอีกนิดหนึ่งว่ามันไม่ได้สวยงามทั้งหมดเสมอไป
เข้าสู่วัยมหาลัยจนเริ่มทำงาน ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมอบวิทัศน์ที่กว้างขึ้น คล้ายว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาเป็นปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อให้เห็นชีวิตแบบพาโนราม่า 360 องศา มองไปรอบๆตัวเพื่อตัดสินใจเลือกทิศทางที่อยากไปต่อ ปรับจุดโฟกัสของชีวิตให้แคบลงและชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วงนี้เองที่ความตั้งใจต่างๆนานาของชีวิตนั้นเริ่มจับต้องได้ขึ้นมาบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายสิ่งในชีวิตที่ถูกละทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำ แต่ทำไม่ได้ทุกอย่างพร้อมๆกันต่างหาก ทางเลือกที่มากขึ้นมาพร้อมความหนักใจในการตัดสินใจ และชีวิตที่ไม่ได้สวยงามมาแต่ไหนแต่ไร ก็เริ่มวิ่นแหว่งมากขึ้นไปอีก หลุมแห่งความฝันหลายอย่างที่ไม่มีทางถมเต็มได้ชีวิตผุดโผล่ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อขึ้นปีสี่คณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ผมต้องตัดสินใจเลือกเอกสาขาวิชาที่อยากเรียนมากที่สุด เพราะหลังจากหลุดพ้นรั้วมหาวิทยาลัยไป ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่เข้มข้นนี้จะช่วยให้หางานตรงตามที่ตัวเองต้องการได้ มีสองทางให้เลือก หนึ่งคือเรียนเขียนโปรแกรมแบบฮาร์ดคอร์ จบมาก็เป็นโปรแกรมเมอร์งานเยอะเงินดี ถามว่าชอบไหม ก็ไม่ได้ชอบมากแต่ทำได้ และทำได้ดีด้วย ทางเลือกที่สองคือเรียนทำคอมพิวเตอร์อะนิเมชั่น จบมาหางานโครตยากเงินโครตน้อย ชอบไหม? ชอบมาก ทำได้ไหม? ทำได้ดีพอสมควรด้วย ผมตัดสินใจตามความต้องการของตัวเองและเลือกอย่างหลัง
หนึ่งปีผ่านไปพร้อมการอดหลับอดนอน พกหมอนแบกผ้าห่มอาศัยห้องแล็บเป็นบ้าน สามสี่วันอาบน้ำทีหนึ่งก็เคยทำมาแล้ว ช่วงชีวิตที่สนุกสุดตีน ประสบการณ์ที่ดี เพื่อนที่ทะเลาะโวยวายแต่สุดท้ายก็กลายเป็นซี้กัน สายน้ำของเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับความจริงที่กลับเข้ามากระแทกหน้าว่าหางานทำไม่ได้ สมัครที่ไหนเขาก็ไม่รับนักเรียนต่างชาติ (ตอนนั้นเรียนอยู่ที่ seattle) เพราะเหตุผลอย่างเดียวคือจ้างคนท้องถิ่นไม่ยุ่งยาก ไม่มีเรื่องเอกสารให้ปวดหัว บริษัทที่สร้างผลงานอะนิชั่นใหญ่ๆอย่าง pixar หรือ dreamworks ก็คัดเอาแค่หัวของหัวกะทิ จ้างแค่ไม่กี่คนต่อปีและนักเรียนต่างชาติไม่สามารถอยู่ประเทศเขาได้อย่างถูกกฏหมายโดยไม่มีบริษัทจ้างงาน
สุดท้ายผมต้องกลับไปฝึกงานเป็นโปรแกรมเมอร์กับบริษัทสร้างชิปคอมพิวเตอร์อีกหนึ่งปี โชคดีที่ช่วงเวลาทำงานงานสามารถโอนกลับมาเป็นหน่วยกิตที่มหาวิทยาลัยได้ ปริญญาตรีใบนั้นใช้เวลาเพิ่มมาอีกหนึ่งปีโดยไม่ได้วางแผนเอาไว้ เมื่อจบมาก็มีงานในบริษัทซอร์ฟแวร์รออยู่หลายงานและก็ได้เป็นโปรแกรมเมอร์อย่างเต็มตัว จนความฝันที่อยากเป็นอะนิเมเตอร์ถูกเก็บยัดลิ้นชักและเป็นรอยโหว่ในชีวิตที่ไม่มีทางเติมเต็มอีกอย่างหนึ่ง
กลับมานั่งคิดดูถึงช่วงชีวิตตั้งแต่วัยเด็กจนถึงตอนนี้ มีอะไรมากมายที่ไม่เป็นอย่างที่เราต้องการหรือคาดหวัง ชีวิตหมุนเปลี่ยนไปข้างหน้าจนลืมไปเลยว่ามีช่วงหนึ่งที่เราเคยมีความคิดฝันแบบนั้นอยู่ด้วย เมื่อวันก่อนผมนั่งดูการ์ตูนเรื่อง Tom & Jerry ที่เอามาฉายซ้ำทางทีวีช่องเด็กตอนเช้า เจ้าหนู Jerry กำลังวิ่งหนีแมว Tom ตาลีตาเหลือก เพราะตัวเองอยากกินสวิสชีสก้อนสีเหลืองที่วางอยู่ในครัว ตัวชีสเองถ้าสังเกตให้ดีมันไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีรูพรุนแหว่งตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยแต่ก็ยังเป็นชีสที่รสชาติดี ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลให้เจ้าหนู Jerry วิ่งเข้าหาอยู่เสมอ ต้นเหตุของรู (หรือตา) เหล่านี้เกิดจากแบคทีเรียที่มาจากการหมักหมม ซึ่งเจ้ารูเหล่านี้เองก็สร้างรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชีสชนิดนี้ ตัวเราเองก็คงไม่ต่างกัน รอยแหว่งแห่งความฝันเหล่านั้นกลายเป็นหลุมความฝันที่ไม่มีทางเติมเต็มได้เช่นเดียวกับรูพรุนของก้อนชีส แต่ชีวิตทั้งหมดไม่ได้มีรสชาติที่ด้อยลงไป ในทางกลับกันช่องรูเหล่านั้นกลับทำให้เราเป็นก้อนชีสที่ไม่เหมือนใคร ส่งกลิ่นหอมแบบฉบับของตัวเองและดึงดูดคนอื่นให้เข้ามาในชีวิต
บางพื้นที่ในชีวิตในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นความฝัน ความต้องการ หรือความรัก บางทีเราก็ไม่ควรพยายามไปกลบมัน ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้น ให้แบคทีเรียแห่งความผิดหวังสร้างรูวิ่นแหว่งในชีวิตโดยที่ไม่จำเป็นต้องถมกลบให้เต็ม ปล่อยให้มันเพาะบ่มความเป็นตัวเรา ปล่อยให้มันเป็นที่หนึ่งในหัวใจที่ไม่เคยเต็ม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in