579 words
/
บุหลันเลื่อนลอย
เคลื่อนคล้อยตามกาล
เรื่องราวถูกเล่ากล่าวขาน
เสียกี่ปีเวียนหมุนผ่าน
ด้วยข้าเฝ้าตามหารอคอย
แม้น้ำตาหลั่งรินเนิ่นนาน
ปรารถนาให้คำมั่น
พี่จักมีเพียงเจ้าในหทัย
ถึง, เสิ่นชิงชิว
เสิ่นจิ่ว
น้องเก้า
/
หลังจากเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงจูงมือศิษย์รักออกไปท่องยุทธภพ ทุกคนในชางฉยงซานก็คล้ายกลับมาสู่ภาวะปกติ หากแต่ผู้คนที่ใกล้ชิดเสิ่นชิงชิวดูจะไม่แย้มยิ้มบ่อยดังแต่ก่อน (ไม่นับศิษย์น้องหลิ่วน่ะนะ เพราะใบหน้าแข็งโป๊กนั่นก็ไม่เคยขยับอยู่แล้ว) โดยเฉพาะยิ่งหมิงฟานและหนิงอิง ก็เอาแต่พร่ำหา 'ซือจุน ซือจุน พวกข้าคิดถึงท่าน' ทุกสองเค่อทั้งยามเมามายและเวลาปกติ ศิษย์ในสำนักก็ได้แต่ผลัดกันปลอบใจด้วยยิ้มแห้งๆ
ด้านเจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงก็ใช้ชีวิตเช่นเดิม ㅡที่พูดว่าเช่นเดิมคือเช่นเดิมจริงๆ เว้นเสียแต่พอไม่มีเสิ่นชิงชิวมาเป็นคู่ประมือหรือถามไถ่ให้เขาสาธิตกระบวนท่าต่างๆ ศิษย์ในสำนักของหลิ่วชิงเกอก็พอจับสังเกตุได้จากการที่ซือจุนของพวกตนมีรอยย่นหว่างคิ้วมากขึ้น ทั้งคำพูดคำจาและแรงหมัดก็ดูจะหนักหน่วงตามไปด้วย (หากถามว่ามองออกได้ยังไงคงต้องถามศิษย์ที่นอนนิ่งพร้อมผ้าพันแผลทั่วตัว มู่ชิงฟางคงได้หลับสักงีบหรอก)
"ศิษย์พี่เจ้าสำนักอยู่ที่ใด" เสียงเข้มเอ่ย
"ล- ลงเขาปราบวิญญาณร้ายขอรับ" ศิษย์ของฉยงติ่งเฟิงคล้ายรู้สึกเป็นสนามอารมณ์ ขาสั่นหงึกหงักพยายามประคองตัวไม่ให้ทรุดฮวบ
"อีกแล้วรึ !" อารมณ์ครุกครุ่นพุล่งพล่าน เขารู้ดีว่าเหตุใดเยวี่ยชิงหยวนจึงออกจากสำนักเทียวไปเทียวมาอยู่บ่อยครั้ง
ก็เพื่อตามหาใครบางคน
หลิ่วชิงเกอพอมองออก ใยเขาจะไม่นึกฉงน แค่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจะเปลี่ยนจากหุบเหวเป็นสรวงสวรรค์เลยหรือ, เจ้ายอดเขาผู้เย่อหยิ่งคนนั้นน่ะ ㅡไม่มีวันเสียหรอก
เขารับรู้ได้อย่างชัดแจ้ง เมื่อเสิ่นชิงชิวคนปัจจุบันเดินออกจากชางฉยงซาน แววตาของศิษย์พี่ใหญ่หม่นแสงลงและในนั้นคล้ายมีคลื่นทะเลสีน้ำเงินเข้มซัดโหมด้วยพายุ มือลูบด้ามกระบี่ข้างกายอย่างเหม่อลอยไปไกลแสนไกล บ่าที่เคยยืดยกอย่างภาคภูมิดูจะหนักอึ้งจากความจริงที่เพิ่งได้รับการยืนยัน
ว่าเสิ่นชิงชิวผู้นี้
มิใช่ศิษย์น้องเสิ่นที่เยวี่ยชิงหยวนรู้จักเมื่อครั้งยังเยาว์
ทุกครั้งหลิ่วชิงเกอก้าวเข้าไปในสำนักฉยงติ่งเฟิงยามซวี* เสียงฉินก็แว่วผ่านตามลมหนาว, ในตลอดสามปีที่ผันผ่าน ทำนองแช่มช้าทว่าหนักแน่น แฝงด้วยความเศร้าสร้อยเป็นกลิ่นลอยฟุ้งคล้ายบุปผายามเบ่งบาน ㅡหากมิใช่ทำให้จิตใจชื่นมื่น แต่กลับกัดกร่อนให้มันเหี่ยวเฉาเลง
เมื่อเพ่งมองไปยังระเบียงนอกเรือน ก็จะเห็นชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำขลับดีดฉินอย่างสงบ ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคลื่นใต้ทะเลสาบที่ฉาบด้วยผิวน้ำนิ่งเป็นอย่างไร ใบหน้ากระทบแสงจันทร์ไล้ลาดไปตามสันจมูก, กรอบหน้าคม, และนัยน์ตาสะท้อนความขื่นขมแข่งกับแสงไสวบนนภา
หลิ่วชิงเกอขึ้นชื่อว่าสายตาเฉียบคม
ใยจะมิเห็นความรู้สึกเหล่านั้นเล่า
และยิ่งฉายชัดเมื่อพวกเขาออกล่าวิญญาณร้ายด้วยกัน เพราะท่วงทำนองถามไถ่วิญญาณยังดังก้องในโสตประสาท ศิษย์พี่เจ้าสำนักทำเช่นนี้ทุกครั้ง คือไม่ปราบให้สิ้นในทันที แต่จะถามถึงคนผู้หนึ่งกับเหล่าคนตายเสมอ ㅡไม่สิ ถามหาคนตายกับคนตาย จึงจะถูกต้อง
หลิ่วชิงเกอไม่ใช่คนชอบซักไซ้ อะไรผ่านหูผ่านตาก็เก็บมาประกอบกันในความคิด ซึ่งเกือบทุกเรื่องเขาปะติดปะต่อได้อย่างถูกต้อง เรื่องนี้ก็เช่นกัน, เขามั่นใจ
เสิ่นชิงชิว, วิญญาณน่ารังเกียจตนนั้นคงหลุดลอยไปสักที่หรือสักภพ
ทำให้วิญญาณอื่นมาสวมแทน ซึ่งก็ดี, สำหรับเขา
แต่เยวี่ยชิงหยวนนี่สิไม่ดี
ไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงยอมขนาดนั้น ให้อภัยเสมอมา ไม่คิดดุด่า แถมปลอบประโลมด้วยการกระทำ, ทั้งๆที่จิ้งจอกตัวนั้นรนหาที่ตายทุกชั่วยาม
หรือเพราะมีหนี้ติดค้างกันอยู่
หากเป็นเช่นนั้นคงสมเหตุสมผลที่ว่าไฉนดวงตาสีดำขลับนั่นดูเศร้าหมอง และสะท้อนดวงใจที่แตกละเอียดออกมาอย่างชัดแจ้ง
/
จันทราส่องสว่างกลางผืนฟ้า
แม้เหลือเพียงเสี้ยวคล้ายต้องลับลา
ดั่งความหวังตัวพี่ที่ริบหรี่ลง
แต่ยังคงถวิลหาเจ้าทุกราตรี
แม้เจ้าจะหนีหาย
ชีพมลายขอตามหา
แม้เจ้าหลบซ่อนหลังดวงมา
ก็จักเป็นดาราของเจ้าทุกค่ำคืน
เจ้าสำนักชางฉยงซานที่มิเคยคิดร่ำสุรายามวิกาล บัดนี้ในมือกลับมีจอกที่ถูกยกดื่มไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่ยามจื่อ ความเมามายทำให้สติสัมปชัญญะขาดลงไปเล็กน้อย สิ่งคั่งค้างในอกไหลโถมเข้ามาจนเขาต้องระบายออกกับดินฟ้า
"เหตุใดข้าจึงช้าไปก้าวนึงเสมอ" หมุนจอกสุรา เหม่อมองดวงแขในคืนข้างแรม กล่าวตัดพ้อกับสวรรค์อย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เทพคงตั้งใจแกล้งมิให้อีกฝ่ายรับรู้ความจริงของตนที่ไม่ได้เอ่ย เป็นการลงโทษอันยาวนานจากการที่เขาปากหนักตลอดมา
มีโอกาสแต่คอยหลบเลี่ยง คิดว่าการอมพะนำคือการไถ่โทษ คิดว่าพูดไปก็ไม่ทำให้ความจริงที่ว่าตนผิดสัญญาเลือนหาย ยอมชดใช้ให้ผู้น้องด้วยความเอาใจใส่อย่างเงียบเชียบคงดีกว่า
แต่เขาผิด ผิดทั้งหมด
ครั้งนั้นที่เจ้าถามข้าน่าจะบอกไป
ไม่ใช่เพื่อให้ความผิดเบาบาง
แต่เพื่อให้ใจเจ้าละซึ่งความเคียดแค้น
ให้เจ้าได้รู้ว่าตนเป็นคนสำคัญ
ของใครคนนึงในชีวิตเจ้า
เสิ่นจิ่ว เจ้ามีคุณค่าในตัวเองเสมอ แม้จะถูกผู้คนตราหน้าด้วยถ้อยคำโหดร้าย คนชั่วช้าหล่อหลอมเจ้าให้คิดริษยา เย่อหยิ่ง หรือใจไม้ไส้ระกำเพียงใด แต่ข้า, เยวี่ยชี รู้ว่านั่นเป็นเพียงเกราะป้องกัน แท้จริงแล้วเจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยคนเดิมที่ปรารถนาการทะนุถนอม ต้องการคนที่เชื่อมั่นในตัวเจ้า เอาใจใส่ดั่งครอบครัว และช่วยละลายน้ำแข็งที่กำลังกัดกินหัวใจของเจ้าแค่นั้นเอง
แต่ยังมิทันพยายามเป็นคนผู้นั้นของเจ้าให้สำเร็จเลย
ลมหนาวกลับหอบเจ้าให้หนีหายเสียแล้ว
แม้เขาจะผิดสัญญาที่ให้ไว้
กลับมาเถิด กลับมาให้เขาได้ชดใช้ให้ ㅡทั้งชีวิตนี้เขาก็ยินดี
"เจ้าอยู่หนใด"
"ไม่อยากฟังคำอธิบายของพี่แล้วหรือ"
"ขอโทษ"
"อ่า เจ้าไม่ชอบได้ยินคำนี้นี่นา แต่เช่นนั้นข้าก็จะพูดㅡ"
"จนกว่าเจ้าจะกลับมาดุด่าข้าที่เอ่ยแต่ขอโทษอยู่ทุกครั้งครา"
"พี่ขอโทษ เสิ่นจิ่ว"
"ขอโทษเหลือเกิน"
มือกร้านกรำจากการจับกระบี่ตอนนี้ถือจอกกระเบื้องอย่างสั่นเครือ พร้อมนัยน์ตาและดวงใจที่วูบไหว ㅡเมื่อดวงหน้าหวานโผล่มาในความคิด รอยยิ้มที่เคยเจิดจ้า, คำพูดเสียดแทงหากแฝงด้วยใจห่วงหา, แผ่นหลังเหยียดตรงวางท่วงท่าสง่าพร้อมโบกพัดด้ามจิ้วในมือ สิ่งเหล่านั้นเขาจำได้อย่างแม่นยำราวกับเพิ่งพบเจอเสิ่นจิ่วเมื่อวาน ความทรงจำที่ไหลหลากเข้ามาไม่ทันตั้งตัวทำให้น้ำตาหยดแหมะลงข้างแก้มแทนทดคำพูดที่ต้องการเอ่ยมาโดยตลอด ㅡวิงวอนเบื้องบนในใจ, คืนเขาให้ข้าเถิด จากนั้นจะพรากลมหายใจข้าไปก็มิเสียใจ
สุราดอกท้อหวานล้ำกลับขมปร่าในปาก ด้วยไม่สู้ความรู้สึกผิดถูกหมักในอกจนกลายเป็นความเจ็บปวดชั้นดี
/
หนึ่งชีวิตสถิตอยู่
บัดนี้กำลังดับสูญสลาย
ความโศกามิจางหาย
ยังรอคอยแม้ลมหายใจสุดท้าย
หวังเพียงไม่สาย
ที่จะเอ่ยคำนั้นต่อหน้าเจ้า
เรือนผมสีดอกเลาสยายบนฟูกนอน ใบหน้ายังคงความหล่อเหลาในแบบที่อ่อนโยนแม้ลมหายใจจะรวยริน ปราณทิพย์ของเจ้ายอดเขาสองคน, หลิ่วชิงเกอและเยวี่ยชิงหยวนแผ่ฟุ้งทั่วเรือนไม้ คนนึงถ่ายปราณทิพย์ให้ อีกคนสลายปราณทิพย์ออก
ศิษย์ทุกคนในชางฉยงซานบัดนี้มารวมกันที่เรือนของเจ้าสำนักเยวี่ย หลิ่วชิงเกอขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด แม้รอยย่นบนใบหน้าจะขิ้นริ้วตามอายุที่มากขึ้น ตามด้วยมู่ชิงฟางที่กำลังกอบกุมมือเยวี่ยชิงหยวนบนเตียงด้วยดวงตาที่หลุบต่ำ ส่วนฉีชิงชีที่แม้จะเริ่มแก่ตัวลงหากใบหน้านวลยังคงความงดงามมิแปรเปลี่ยน กำลังกอดอกเพื่อระงับความว้าวุ่นใจ เสิ่นชิงชิวที่อยู่ด้านข้างศิษย์น้องมู่หลับตาลงแน่น สองมือกำอย่างหลวมๆ ส่วนเจ้ายอดเขาอันติ้งเฟิงก็อยู่ด้วย สีหน้าซีดเซียวสลับกับเขียวคล้ำดูน่าขัน แต่ตอนนี้ใครเล่าจะหัวเราะออกมาได้
เมื่อเยวี่ยชิงยวน
เจ้าสำนักชางฉยงซานของพวกเขา
ดวงจิตกำลังดับสิ้น
"พอแล้ว ศิษย์น้องหลิ่ว"
"แต่ㅡ"
"ไม่เป็นไร"
"ปราณทิพย์ไหลอออกตอนกำลังสิ้นมิใช่เรื่องแปลก"
"ศิษย์พี่ ! ใยเอ่ยเช่นนี้ ท่านมิได้กำลังจะตายเสียหน่อย" ชิงฟางแทบจะตะโกน น้ำตาที่กลั้นเก็บมานานไหลลงเป็นสาย
เยวี่ยชิงหยวนยิ้มน้อยๆ ยกมือลูบหัวอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
"ถึงอย่างไรข้าก็จะกลายเป็นเซียนมิใช่หรือ"
"ใยพวกเจ้าต้องคร่ำครวญด้วยเล่า"
เสียงหัวเราะด้วยเอ็นดูดังขึ้น กลบเสียงสะอื้นไห้ของศิษย์รอบกายไปชั่วขณะ, โดยเฉพาะเสียงจากเสิ่นชิวชิวดูจะชัดก้องในโสตประสาทเยวี่ยชิงหยวนมากที่สุด แม้จะมิใช่เสิ่นจิ่วของเขา แต่ศิษย์น้องผู้นี้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวกับตนและชางฉยงซานมามากมาย
"เพราะชางฉยงซานจะมิมีท่านเป็นเจ้าสำนักอีกต่อไป" เสียงของหลิ่วชิงเกอเบาหวิวแต่ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน นัยน์ตาที่เคยแข็งกร้าวในยามปกติหลุบต่ำลงทำให้คนมองยิ้มอย่างอ่อนใจ มือย้ายมาลูบเรือนผมแซมเทาของผู้พูดอย่างปลอบโยน
"ข้าจะกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเจ้า"
"ท่านสัญญาหรือไม่" ชิงชีเอ่ยถาม เสียงหวานสั่นเครือ
คนฟังเงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนเอ่ยอย่างจริงใจ
"แน่นอน"
"ศิษย์พี่" เจ้ายอดเขาไป่จั้นเฟิงที่เคยกลัวดอกพิกุลร่วงจากปาก วันนี้กลับพูดเสียยืดยาว
"คนผู้นั้น.. ข้าขอให้ท่านเจอเขาในที่สุด"
ดวงตาของศิษย์พี่ใหญ่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ไม่นึกว่าจะมีคนล่วงรู้ซึ่งภารกิจที่เขากระทำมาตลอด
ㅡแสดงว่าศิษย์น้องหลิ่วก็ต้องรู้น่ะสิ ว่าเสิ่นชิงชิวผู้นี้มิใช่คนเดิม, เขาคิดอย่างมิได้นึกกระวนกระวายใจ
"ขอบใจ ศิษย์น้องหลิ่ว" ลูบหัวคนตรงหน้าอีกสองสามที
"ขอบใจศิษย์น้องเสิ่นด้วย" ตนผินหน้าไปสบตากับคู่สนทนา หากนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้มองใบหน้าของเสิ่นชิงชิวตนก็หวังจะเก็บทุกรายละเอียดมิให้ลืมเลือน
"เรื่องอันใดหรือ" เขาเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ สูดจมูกฟืดฟาด
"ที่ใช้ชีวิตได้ดีและคุ้มค่า" ยิ้มบางแฝงด้วยอ่อนแรง
ขอบคุณที่ใช้ชีวิตแทนเขา
ขอบคุณที่ทุ่มเทจากใจของเจ้า
เสิ่นหยวนรู้ทันทีว่าคนบนเตียงหมายถึงผู้ใด
ตนปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินลงข้างแก้ม แม้อีกฝ่ายจะรู้แน่แล้วว่าตนมิใช่เสิ่นจิ่ว แต่การดูแลและใส่ใจไม่เคยลดน้อยลงหรือเปลี่ยนแปลง ยังคงมีแต่ความรักและห่วงใยเหมือนเขาเป็นคนในครอบครัวจริงๆ
"เจ้าคือคนในครอบครัวข้า" เสียงนุ้มทุ้มเหมือนเช่นเคยกล่าวย้ำ คล้ายอ่านความคิดเสิ่นหยวนได้จากแววตาที่เศร้าสร้อย
"พวกเจ้าก็เช่นกัน"
"หากมีวาสนาㅡ"
"ก็ขอให้พวกเราได้พบพานกันอีกครา" แผ่วเบาคล้ายขนนกแต่ทุกคนได้ยินอย่างแจ่มชัด พอๆกับความหนักแน่นและจริงใจถูกส่งผ่านมากับปราณทิพย์ละรอกสุดท้าย ราวกำลังปลอบโยนทุกชีวิตมิให้เศร้าโศกไปมากกว่านี้
น้ำตาที่มิเคยหลั่งของหลิ่วชิงเกอหยาดหยดพร้อมดวงจิตหนึ่งที่ดับสลาย
รอยยิ้มสุดท้ายอันอบอุ่นติดตรึงในใจพวกเขาทุกคน
เยวี่ยชิงหยวนไม่ได้สิ้นลมหายใจ
เพราะเขาผู้นี้ยังคงมีชีวิตในความทรงจำของศิษย์ชางฉยงซาน
เสมอมาและตลอดไป
/
ค่ำคืนนั้นสิบสองยอดเขาร่ำไห้
ดอกไม้ใบหญ้่าหุบเหี่ยวคล้ายไว้อาลัย
ศิษย์ในสำนักบ้างฟูมฟาย บ้างร่ำสุราบรรเทาความทุกข์
แต่ทุกคนต่างเหมือนกัน
คือจะจดจำเจ้าสำนักชางฉยงซาน
ที่จากไปแสนไกล
มิให้ลืมเลือน
/
เยวี่ยชิงหยวนลืมตา ดวงแก้วสีดำขลับยังถูกน้ำตาบดบังจนต้องกระพริบไล่สองสามที ก่อนกระท่อมหลังน้อยล้อมด้วยต้นไผ่จะปรากฏในสายตา
ใบหน้าและร่างกายในตอนนี้กลับคืนเป็นตัวเขาในวัยหนุ่ม, ผมดำขลับและใบหน้าหล่อเหลา รู้สึกได้ว่าปราณทิพย์ไหลเวียนทั่วร่างตั้งแต่ศรีษะจรดฝ่าเท้า รู้สึกดีกว่าตอนสิ้นชีพมากโข, เขาคิด
ยมฑูตตนหนึ่งก้าวย่างมาหยุดตรงหน้าเขา ทำให้ตนตระหนักได้ว่านี่คือแดนเชื่อมภพมนุษย์ นรก และสวรรค์ไว้ด้วยกัน
สะพานไน่เหอ
"ท่านเยวี่ยชิงหยวน" อีกฝ่ายยกมือประสานคำนับ
เจ้าของชื่อคำนับรับ
"ที่นี่คือที่ตั้งของสะพานไน่เหอ" เขาเอ่ยย้ำความคิดของเจ้าสำนักชางฉยงซาน
"แต่ก่อนท่านจะข้ามไปยังแดนสวรรค์.. มีคนผู้หนึ่งเฝ้่ารอจะพบท่านอยู่ก่อนแล้ว"
"ใครกัน" ไม่คล้ายจะเอ่ยถามไถ่ เพียงบ่นกับตัวเองมากกว่า
"อยู่ในกระท่อมตรงหน้าท่านขอรับ" เขาผายมืออย่างสุภาพ ลมพัดต้นไผ่ให้โอนเอน เสียงเสียดสีของลำต้นดังขึ้นสลับกับเสียงย่างก้าวของผู้มาใหม่ เส้นผมยาวถึงกลางหลังสะบัดไหวพร้อมดวงใจที่ก่อกำเนิดความหวังริบหรี่
เขาหยุดยืนอยู่หน้ากระท่อมหลังน้อย ด้วยกลัวเปลวเทียนในอกจะถูกพัดให้ดับลงอีกครา ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็เลือกผลักเข้าไป ㅡแต่ยังไม่ทันข้ามธรณีประตู นัยน์ตาเขาก็เบิกกว้างอย่างทันที ร่างบางในชุดสีเขียวอ่อนของสำนักชิงจิ้งเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง ดวงแก้วสีนิลเข้มที่เยวี่ยชิงหยวนเฝ้าทะนุถนอมมองมาอย่างยากจะคาดเดา มือชะงักการโบกพัดด้ามจิ้วค้างเติ่งในอากาศ
สองสายตาสอดประสาน คนในห้วงคำนึงของเขายังคงเหมือนเดิมทุกอย่างยิ่งตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่ภาพมายาหรือความฝัน ก้อนเนื้อในอกเต้นระส่ำด้วยความปิติที่เอ่อล้น ดวงใจที่ฟีบเหี่ยวกลับถูกเติมเต็มโดยความถวิลหาอย่างมหาศาล
, ทะเลสีดำสนิทจากที่เคยเรียบนิ่งกลับสั่นไหวขึ้นมาทันใด ขายาวในอาภรณ์สีดำสนิทออกก้าวฉับไปหาเสิ่นชิงชิวอย่างไม่ต้องคิด
อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกเขาดึงเข้าไปกอดจนใบหน้าซุกลงกับบ่ากว้าง ร่างบางจังงังดั่งถูกแช่แข็ง ความอบอุ่นจากอ้อมแขนพลันกระตุ้นต่อมน้ำตาให้ทำงาน เพราะนานมากแล้วจริงๆที่ไม่ได้รับสัมผัสอันอ่อนโยนเช่นนี้ เสิ่นชิงชิวเผลอยกมือจะกอดตอบแต่ก็ดึงกลับมาปล่อยลงข้างตัว ㅡไม่ได้ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ผลักไส คงเพราะรอคอยมาเนิ่นนานกว่าจะพบพาน
ใช่ เขารอที่นี่ตั้งแต่วันที่วอนขอเทพเจ้าให้ประทานโอกาสก่อนสิ้นลม
โอกาสที่เขาจะแก้ไขมิให้เยวี่ยชิงหยวนตาย
มิให้หมื่นศรปักลงบนแผ่นหลังกว้างของคนน่าชังนั่น
ถึงต้องแลกด้วยวิญญาณตนสูญสลายก็ตามที
ยมทูตหลายตนต่างสงสัย เหตุใดไม่ข้ามสะพานเพื่อไปยังแดนสุขาวดี ยกตนเป็นเซียนอย่างที่ปรารถนามาตลอด เสิ่นจิ่วตอบคำถามที่น่ารำคาญเหล่านั้นในใจ
นี่คือโอกาสสุดท้าย ที่จะสามารถเจอเจ้าของใบหน้าโง่เง่านี้ได้
สะพานไน่เหอ, ที่ที่ทุกคนจะต้องมาเหยียบไม่ว่าจะมีจุดหมายแห่งใดหลังความตาย ขึ้นสวรรค์ ลงนรก จุติเกิดที่ภพมนุษย์
เพราะเช่นนั้นจึงเฝ้ารอ
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี หกสิบแปดปีกับอีกสามวันห้าชั่วยาม ㅡเวลาทั้งหมดที่ถูกใช้ไปกับการเหม่อมองต้นไผ่ ฟังเสียงสายลมและสายฉินที่ถูกดีดด้วยตนเอง ทบทวนความทรงจำ, ความผิดพลาดในห้วงความคิด
ก่อนวันที่เฝ้าฝันจะมาถึง
เยวี่ยชิงหยวนฉุกคิดได้ว่าคนในอ้อมแขนไม่ชอบให้บุรุษแตะต้องตัวจึงดีดผึงออก ทำเอาเสิ่นจิ่วผงะไปชั่วขณะ แต่สามารถดึงใบหน้าให้ตึงดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว, ช่างน่านับถือจริงๆ
"ข้าดีใจยิ่งที่ได้เห็นใบหน้าเจ้าอีกครั้ง"
"เสิ่นจิ่ว"
"ใครให้เจ้าเรียกชื่อนั้น ! " น้ำเสียงเจือด้วยความไม่พอใจ คิ้วได้รูปกดลง ริมฝีปากบางเม้มแน่น ยกขาข้างซ้ายไขว่ห้าง
"ที่ข้าเผลอกอดเจ้าเมื่อครู่ ขอโทษด้วย" ใบหน้าแย้มยิ้มเหมือนเคย เหมือนทุกครั้งที่เสิ่นจิ่วสบตากับเจ้าสำนักผู้นี้ จะมีรอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งมาให้เสมอ ㅡน่าหงุดหงิดยิ่ง
"เอาแต่ขอโทษๆๆ เคยคิดจะพูดอะไรนอกจากนี้บ้างหรือไม่" แววตาตัดพ้ออย่างชัดเจน คนมองที่ยืนอยู่คล้ายถูกมือล่องหนบีบรัดในอกซ้าย
"เคย" เขาตอบ ไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะเอ่ยสิ่งที่ิอยู่ในใจให้หลุดลอยไป
เขาลดตัวลง นั่งคุกเข่าตรงหน้าอีกฝ่าย หลุบดวงตาลงต่ำ
"สัญญาครานั้นที่ข้ารักษาไว้ไม่ได้ㅡ
ต้อขอโทษเจ้าแล้ว.. เพราะตัวข้าเอง.. ที่เร่งรัดอยากไปช่วยเจ้าโดยเร็ว แต่กลับผลิกผันเกิดผลร้าย" เสิ่นชิงชิวเว้นช่วงหายใจ หุบพัดด้ามจิ้วลงวางบนหน้าขา
"อาจารย์ข้าทำลายจุดชีพจรทิพย์ทั้งหมด ก่อนขังข้าไว้ในถ้ำหลิงซี.. ทั้งตะโกนวิงวอนร้องขอ ทุบผนังถ้ำให้ดังอย่างไรก็ไม่มีใครปล่อยข้าออกไป จนถึงหนึ่งปีไปพวกเขาจึงเปิดถ้ำ..
ข้าเริ่มต้นใหม่จากศูนย์อีกครั้ง จนเมื่อพร้อมจึงออกตามหาเจ้า ปรากฏว่า.. ตระกูลชิวได้สิ้นสลายไปเสียแล้ว พี่ขอโทษ.. ขอโทษด้วยที่ยังคงหุนหันพลันแล่นอย่างที่เจ้าเคยว่า.. "
คล้ายมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ตรงลำคอของเสิ่นชิงชิว รอยยิ้มเศร้าสร้อยบนใบหน้าที่ก้มลงนั้นยิ่งทำให้อกเขาวูบโหวงมากขึ้นไปอีก
"งั้นรอยกระบี่กับคราบเลือดในถ้ำนั่น.." เสียงหวานยามนี้อ่อนลงกว่าปกติมากนัก
เยวี่ยชิงหยวนเม้มปาก ก่อนพยักหน้าเบาๆ
"คนโง่ ใยไม่บอกข้า" ปล่อยให้ข้าก่นด่า ทำตัวไม่เห็นน้ำใจเจ้า ทั้งยกเรื่องที่เจ้าผิดสัญญามาประชดประชัน แต่เจ้าก็ยังปั้นหน้ายิ้มโง่ๆอยู่ตรงหน้าข้าตลอดมา
"ข้าอยากชดใช้ความผิดนี้ให้เจ้า ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม" เขาระบายยิ้ม ช้อนตาขึ้นมอง คำพูดหนักแน่นเช่นทุกครั้งที่ชายผู้นี้เอ่ยคำสัญญา
"กระทั่งชีวิตของเจ้าน่ะหรือ" เอ่ยถามทั้งที่รู้อยู่เต็็มอกว่าคำตอบคืออะไร
"อืม" เขาตอบรับอย่างไม่ลังเล
ทั้งๆที่ตนใจร้ายขนาดนั้น
ทั้งๆที่คนทั้งโลกตราหน้าว่าข้าชั่วช้าใจทราม
ทั้งๆที่ข้าหายไปจากโลกเฮงซวยใบนี้แล้ว
เจ้ายังคงตามหารอคอยอย่างโง่งมเยี่ยงนี้หรือ
คนโง่ เยวี่ยชิงหยวนน่ะโง่เง่าเป็นที่สุด
ถึงจะคิดได้เช่นนั้น แต่น้ำตากลับหยดแหมะลงบนข้างแก้มและหลังมือ คนมองกระวนกระวายทำตัวไม่ถูกก่อนถือวิสาสะยกนิ้วโป้งเกลี่ยหยาดน้ำออกจากแก้มใสแผ่วเบา, จนเกือบจะไม่รับรู้ถึงสัมผัสนี้ เห็นน้ำตาซึ่งนับครั้งได้ที่จะหลั่งรินทำให้ใจเขาปวดหนึบอย่างบอกไม่ถูก คนอายุน้อยกว่ามิได้ปัดออก ปล่อยให้ความอบอุ่นแล่นผ่านข้างดวงหน้าถ่ายเทความรุ่มร้อนมากองอยู่ในอก แผ่กระจายไปยังใบหูและแก้มนวลพอซับสีเรื่อ
เยวี่ยชิงหยวนอยากเอ่ยเย้ากับสีหน้าน่ารัก แต่เวลานี้คงจะทำลายบรรยากาศเป็นแน่, เขานึกขัน ความหนักอึ้งมลายหายไปคล้ายไม่เคยมีมาก่อน แทนที่ด้วยความรู้สึกหนึ่งที่แจ่มชัดมาตั้งแต่วัยเยาว์ซึ่งก่อนหน้าถูกกดทับด้วยน้ำตาและความเศร้าโศก
".. ขอโทษ" เสิ่นชิงชิวไม่นึกว่าจะมีวันนี้ สองพยางค์ที่ตนมิใคร่เอ่ยกับใคร
"ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องขอโทษหรอก" นิ้วโป้งปาดน้ำตาหยาดสุดท้ายออก ลดมือลงทำท่าจะกอบกุมอวัยวะเดียวกันของอีกฝ่าย แต่กลับรีรอคำอนุญาตเสียก่อน
"..." ชิงชิวพยักหน้าเบาๆ ดวงตาหลุบต่ำไม่ยอมสบ เหมือนเดิมทุกสิ่ง ㅡรอให้เขาอนุญาตถึงจะทำตามใจ
ไออุ่นถูกส่งจากฝ่ามือกร้านมายังหลังมือคนอายุน้อยกว่า นิ้วโป้งขวาเกลี่ยวนไปมาอย่างปลอบประโลมทำให้ใจของเสิ่นจิ่วพองฟู เสียงดังคล้ายกลองศึกระรัวในหูทำให้เขานึกรำคาญตนเองขึ้นมา ใบหน้าเย่อหยิ่งตอนนี้กลับแดงซ่านด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ตีขึ้นมาจุกอก รอยยิ้มของคนที่คุกเข่าอยู่ถูกส่งมาอีกครั้ง, เขาถลึงตากัดฟัน อีกฝ่ายกลับหัวเราะขบขันกับท่าทีนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งไม่มีใครพูดอะไร เอาแต่จ้องเอาแต่หลบตากันไปมาคล้ายอยากให้แน่ใจในสิ่งที่รู้สึกเสียก่อน เป็นเยวี่ยชิงหยวนที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบขึ้นมา
"ให้อภัยข้าได้ไหม น้องเจ็ด"
"ไม่" เขาเอ่ย เสียงเรียบนิ่งทำให้คนฟังใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม หรือการพบพานกันครั้งนี้จะต้องแยกจากกันไปตลอดกาลเหมือนที่เขาเตรียมใจไว้
"ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า"
"ดังนั้นไม่มีเรื่องที่ต้องอภัยให้" เขาผินหน้าออก หวังจะหลบเลี่ยงทะเลสีดำสนิทที่กำลังดึงดูดเขาให้จมลงไป แต่กลับรู้สึกถึงสัมผัสบนหลังมือได้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก
"เสิ่นจิ่ว"
"อะไร"
"เสี่ยวจิ่ว"
"รำคาญน่า"
"เมื่อไหร่จะเรียกข้าว่าชีเกอเหมือนตอนเด็ก"
"ไม่"
"เสิ่นจิ่ว"
"น้องเก้า"
"เออๆๆ"
"ชีเกอ"
"พี่เจ็ด"
"ว่าอย่างไร น้องเก้าคนดี"
"หยุดแกล้งข้า ไม่เช่นนั้นจะหนีไปอีกจริงๆด้วย !" ใบหน้างอง้ำแต่กลับแดงก่ำ
"ข้าจับมือเจ้าอยู่จะหนีไปไหนอีก"
"ข้าเกลียดเจ้า" เขากัดฟันกรอด
"ไหนตอนแรกบอกไม่ได้เกลียดข้า" เยวี่ยชิงหยวนเอ่ยเหมือนตัดพ้อแต่แววตากลับดูสนุกที่ได้เย้าหยอก
"ตอนนี้เกลียดแล้ว"
"ข้าจะอยู่ให้เจ้าเกลียดไปอีกแสนปี"
"ส่วนเจ้าต้องอยู่ให้ข้ารักอีกแสนปี" เขายกยิ้ม เสียงนุ่มเอ่ยทีละคำอย่างจงใจแกล้งอีกฝ่ายเล่น แต่ก็มีความจริงใจและหนักแน่นให้สัมผัสได้
เขาล่ะชิงชังรอยยิ้มอ่อนโยนแบบนี้จริงๆ !
ไอ้แววตาวาววับที่ไม่รู้ใช้มองใครต่อใคร
น้ำเสียงอบอุ่นที่ใช้พูดกับทุกคน
ความเอาใจใส่ดั่งพ่อพระมาโปรดน่ะ
ไม่ชอบใจสักนิด !
ให้เขาไม่ชอบใจคนเดียวน่ะพอแล้ว !
ความชิงชังในใจสูญหายไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ตัว อดีตที่ยึดถือไว้บนบ่าหล่นลงไปกองแทบเท้า เอาเถอะ ลืมความเจ็บปวดและโกรธแค้นไปเสีย แล้วเริ่มต้นใหม่ในฐานะเทพเซียนบนสวรรค์ ㅡและเริ่มต้นใหม่กับคนตรงหน้า
บัดนี้เสิ่นชิงชิวละทิ้งปล่อยวางทุกอย่างแล้ว
ลั่วปิงเหอก็มิได้กลับมาจองล้างจองผลาญ (แต่พอคิดว่าร่างของคนถูกทำแบบนั้นมันก็แค้นใจอย่างบอกไม่ถูก เฮอะ ช่างน่าอับอายเสียจริง เสิ่นชิงชิวคนใหม่ ! )
หากตนย้อนเวลากลับไปอีกครั้งคงเลือกจะเป็นคนที่ดีกว่าในตอนนั้น ไม่เอาความคับแค้นของตนไปลงกับคนรอบกาย อาจจะลดความปากร้ายลงหน่อย ปากหนักปากแข็งให้น้อยลงบ้าง หากทำเช่นนั้น, เขาคงไม่ต้องพบเจอชะตายากลำบากขนาดนี้
แต่ก็ช่างมันเถอะ
เจอแล้วนี่นา
คนที่รอน่ะ
/
สองมือกอบกุมกันข้ามสะพานเชื่อมสามภพ เสิ่นชิงชิวพยายามแกะมือใหญ่ออกหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล จึงต้องจำใจเดินทั้งอย่างนั้นแม้จะนึกรำคาญใจ จู่ๆคนด้านหน้าก็หยุดเดินทำให้ตนเอ่ยถาม
"อะไร"
เขาไม่ตอบ หันกายมาหาอีกฝ่าย มือยังไม่ปล่อยออก
เยวี่ยชิงหยวนยกหลังมือเกลี่ยแก้มใสอย่างทะนุถนอม ยังไม่ทันไรอีกฝ่ายก็เบีี่ยงออกพลางมุ่ยหน้า ㅡชักจะได้ใจใหญ่แล้วกระมัง ท่านเจ้าสำนัก !
อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆแต่ยังไม่ละความพยายาม เอาเรียวนิ้วยาวดั่งลำเทียนเกี่ยวกระหวัดกับเรือนผมสีดำเข้ม ความนุ่มลื่นไหลผ่านช่องนิ้วกร้าน คนโดนเย้าหยอกมิได้ปัดป้องเพียงเบือนดวงหน้าที่ขึ้นสีออก ㅡแต่อย่างที่เขากล่าวกัน ปิดดวงตาทำให้สัมผัสยิ่งชัดเจน บัดนี้ให้กู่หนอนโลหิตไต่ยังรู้สึกดีกว่าความจั๊กจี๊ในอก
"มีอีกอย่างที่ข้ายังมิได้บอกเจ้า"
"อีกไรอีก" สะบัดใบหน้ามาหา พวงแก้มแดงก่ำถูกสายตาไล่สำรวจ เยวี่ยชิงหยวนยกยิ้มน้อยๆอย่างเอ็นดู
"ข้ารักเจ้า" สามคำไหลหลุดออกมาจากคนปากหนักอย่างง่ายดาย ทำเอาคนฟังใจกระตุกวูบและเต้นแรงเหมือนจะระเบิดเสียให้ได้ แววตาเขาทอประกายคล้ายดวงดาวยามเอ่ยคำรัก ส่งผ่านไอแดดออกมาจากสีหน้าและรอยยิ้มบางㅡละลายน้ำแข็งในใจเสิ่นจิ่วจนหมดไปอย่างสิ้นเชิง
หากเสิ่นชิงชิวคือวสันต์ในคืนเดือนแรม
เยวี่ยชิงหยวนคงเป็นคิมหันต์กาลเวลาย่ำรุ่ง
"..."
"เจ้ามิรักข้ารึ" น้ำเสียงคล้ายจะตัดพ้อ แต่นัยน์ตาวับวาวด้วยความพอใจ, สีหน้าน่ารักเช่นนี้น่ะ ให้ตายก็อยากจ้องมองทุกครั้งไป
"..." เขาเงียบ ในใจก่นด่าอีกฝ่ายไปร้อยรอบ คนโง่เง่าผู้นั้นหายไปไหนแล้ว ใยสายตาลุ่มลึกกลับแพรวพราวกว่าครั้งสุดท้ายที่พบ, เสิ่นชิงชิวโมโหจนหน้าแดงก่ำ
"น้องเก้า" สรรพนามที่ถูกขานช่างหลอมละลายใจคนฟังให้อ่อนยวบ ลูบปลายเรือนผมดำขลับดังปีกกานั่นอย่างเบามือ ราวให้คำมั่นว่าจะรักษาคนตรงหน้าอย่างสุดชีวีมิให้แตกสลายอีกครั้ง
"วัยเยาว์ของข้าคือท่าน"
เสิ่นชิงชิวเอ่ยแผ่วเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ ดวงแก้วที่มองออกด้านข้างมิยอมสบตาดูวูบไหวไม่เป็นตัวเอง
"ยังคงเป็นท่านเสมอมา และตลอดไป"
"พี่เจ็ด"
ดาราสีดำสนิทสองคู่โคจรมาอยู่ตรงข้าม ดวงใจดึงดูดเข้าหากันและกัน, แนบชิดกว่าทุกคราที่ผ่าน อาจด้วยประตูแน่นหนาที่ถูกเปิดออกด้วยกาลเวลาเวียนหมุนไป สองมือกระชับกันให้ไออุ่นแผ่ซ่านในอก ㅡจะไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปอีก
ถึงหากหายไป
ก็ขอสาบานว่าแม้จะใช้หมื่นแสนปี
หรือต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารเช่นชีวิตมนุษย์,
หมายมั่นสัญญา
จักตามหาทุกภพชาติไป
/
จบ
อิทสเรียลอินมายฮ๊าด
เจ่บช้ำจากออฟฟิเชี่ยวก้มาเยีวยากันในนี้นะคะ เรือเราต้องยิ่งใหย่เกียงไกร เยวี่ยจิ่ว!!!! ติชมคอมเม้นให้กำลังใจได้ใต้ทวิตลิ้งฟิคเรยค่ะ ใครชิปควานเฉิงอ๊ะๆๆ อย่าเพิ่งกดออก ไปดู https://minimore.com/b/FePHV/1 นี่เรยคัฟ เอยูพี่น้องท้องชนดันข้างบ้าน แอร้ย ส่วนใครชิป strangeiron https://minimore.com/b/vef01 จักไพเรยคร้า
ด้วยรัก
ส่วนชอบที่สุดก็คงเป็นประโยคที่เสี่ยวจิ่วบอกว่า วัยเยาว์ของข้าก็คือท่าน คือมันแบบ /กุมจัย เหมือนประโยคตอบรับคำขอแต่งงาน มันแบบ ฮืออออออออ ฝากเหล่าเยวี่ยดูแลเสี่ยวจิ่วด้วยนับจากนี้ไป ;0;
อยากอ่านซ้ำไปอีกร้อยรอบพันรอบให้สมกับความรักที่เขามีให้กัน! /ทุบอก
ขอบคุณตัวเราที่ได้เข้ามาอ่าน เราก็รักฟิคเรื่องนี้มากๆ เลย ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่แต่งขึ้นมา เป็นรักเป็นเอ็นดู ว่างๆ ไปกินเฟรนช์ฟรายด์ทรัฟเฟิลกันค่ะ เดี๋ยวเลี้ยงเอง แง 55555555555555
ปย. ที่เราเขียว่า 'วัยเยาว์ของ้าคือท่าน' ถ้าจะให้เสิ่นจิ่วบอกรักโต้งๆก็คงจะ ooc แต่ถ้าไม่ให้บอกก็ดูจะไม่คุ้มค่ากับการรอคอย เลยใช้ปย.นี้แทนน่ะค่ะ แบบว่าเคยได้ยินคำนี้มานานแล้วยังไม่รู้สึก touch จนมาได้เจอเรือนี้ เพราะวัยเยาว์ของทั้งสองคนถูกใช้ร่วมกันตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถูกพรากจาก ㅠㅡㅠ
ขอคุณอีกครั้งนะคะสำหรับคอมเม้น ใจฟูมากๆๆๆ คุณ has just made my day นะคะ❕? ไปค่ะ ไปทานด้วยกันๆๆๆ