คุณเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับไหม โลกเรามีสิ่งเหนือธรรมชาติมากมายที่ยังไม่เคยพบไม่เคยเห็น ความเชื่อเรื่องต่าง ๆ ปรากฏอยู่รอบตัวเราในทุกที่ บางคนเชื่อมาก บางคนเชื่อน้อย บางคนอาจไม่เชื่อเลย ซึ่งก็อยู่ที่ความเชื่อส่วนบุคคล วันนี้ดิฉันมีบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์เรื่องสิ่งลี้ลับมาให้ทุกคนได้เกิดการตั้งคำถามกับตัวเองและเห็นความแตกต่างทางความเชื่อของแต่ละบุคคลเพื่อให้ได้เกิดความรู้ใหม่ เรามาคุยกับเธอกันเลย!
พิธีกร : ช่วยแนะนำตัวหน่อยค่ะ เกิดที่ไหน จังหวัดอะไร
คุณต่อง : สวัสดีค่ะ เกิดที่จังหวัดกาฬสินธุ์แต่ว่ามาโตที่อุดร ตอนนี้มาอยู่กรุงเทพฯค่ะแต่ว่าสถาปนาตัวเองให้เป็นคนอุดรเพราะว่าอยู่มาแทบจะตลอดชีวิต ณ ตอนนี้แล้ว (หัวเราะ)
พิธีกร : พูดอีสานได้ไหม
คุณต่อง : พูดได้แต่สำเนียงไม่ค่อยชัด บางคำในภาษาอีสานก็ไม่ค่อยรู้ก็เลยได้ฉายาว่าเป็นอีสานปลอม (หัวเราะ) เพราะพ่อแม่ไม่ค่อยพูดอีสานด้วย พ่อเป็นคนใต้ด้วย ส่วนใหญ่จะไปเรียนรู้กับเพื่อนที่โรงเรียนตอนมัธยมปลาย
พิธีกร : แล้วคุณต่องนับถือศาสนาอะไรคะ
คุณต่อง : ศาสนาพุทธค่ะ
พิธีกร : นับถือมาตั้งแต่เกิดเลยใช่ไหม
คุณต่อง : ใช่ ก็นับถือมาตลอดแล้วพ่อแม่ก็พาเข้าวัดทำบุญ เราก็เลยนับถือศาสนาพุทธตามไปด้วย
พิธีกร : แล้วเคยคิดอยากเปลี่ยนศาสนาไหม
คุณต่อง : ไม่เคยเลย
พิธีกร : เรามั่นใจอะไรในศาสนาพุทธเราถึงนับถือเคารพในสิ่งที่พ่อแม่ให้ศาสนาเรามา แบบเกิดมาก็นับถือพุทธแล้ว
คุณต่อง : ตามที่เราเข้าใจ ศาสนาพุทธไม่ค่อยบังคับเราว่าเราควรจะต้องทำอะไรยังไงถึงจะมีกฎเกณฑ์มาให้แต่เรารู้สึกว่ามันเป็น common sense เหมือนการทำดีทำชั่ว ถ้าเราอยู่ในสังคมเราก็ไม่ควรทำอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องอื่นยิบ ๆ ย่อย ๆ ก็จะไม่ค่อยเคร่งกับเรามาก แล้วเหมือนคำสอนที่เขาสอนมาเรารู้สึกว่ามันเป็นจริงอ่ะ ไม่ได้ดูออกแนวความเชื่ออะไรขนาดนั้น
พิธีกร : ก็คือศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดูสมเหตุสมผลอะไรแบบนี้ใช่ไหม
คุณต่อง : ใช่ ๆ
พิธีกร : แล้วคุณต่องเป็นคนต่างจังหวัดด้วยมันก็จะมีความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับในจังหวัดบ้านเกิด อยากทราบว่าคุณต่องเชื่อเรื่องผีในบ้านเกิดไหมช่วยเล่าประสบการณ์ให้เราฟังหน่อยได้ไหมคะถึงความเชื่อที่เขาเล่าขานกันมา
คุณต่อง : คือถ้าเป็นผีบ้านเกิดทางกาฬสินธุ์จะไม่ค่อยรู้แต่จะไปรู้ที่อุดร บางทีเขาจะมีพูด ๆ กันว่าแถวนั้นแถวนี้นะจะทำพิธีจับปอบกัน (หัวเราะ) คือตอนนั้นกลัวมาก เราได้ยินมาว่าตัวปอบมันจะเหมือนนมเปรี้ยวยี่ห้อหนึ่งตัวขาว ๆ ตาแดง ๆ แต่เราก็ไม่เคยไปเห็นว่าพิธีมันเป็นยังไงนะเคยเห็นแต่ในทีวี
พิธีกร : เหมือนนมเปรี้ยวนี่เป็นยังไง
คุณต่อง : เหมือนตัวการ์ตูนที่มันอยู่ตรงขวดมันจะเป็นตัวขาวล้วน มีคนบอกลักษณะจะเป็นแบบนั้นแต่ตาจะแดง ๆ คือเขาก็จะมีเครื่องจับทำเป็นพิธี แต่เราก็ไม่เคยไปเห็นของจริงหรอก อีกอย่างหนึ่งที่เคยได้ยินมาไม่ไกลจากซอยที่บ้าน เขาพูดกันว่าระวังนะเพราะว่ามันมีผีเป้า ตอนนั้นก็กลัวเพราะรู้สึกว่ามันใกล้ตัวมากเพราะแถวบ้านก็ธรรมชาติอยู่ แต่ก็ไม่ได้ธรรมชาติขนาดนั้น แล้วคือผีเป้าเราไม่เคยได้ยินมาก่อนก็หาข้อมูลดูว่ามันคืออะไร เขาบอกว่าเป็นคนที่เขาเล่นคุณไสยแล้วของเข้าตัวก็เลยเป็นลักษณะของผีที่มากินกบกินเขียดตอนกลางคืน หลอนมากเลยเพราะว่าซอยนั้นก็ใกล้บ้านเรามากเลย
พิธีกร : ความเชื่อเรื่องผีปอบเมื่อกี้บอกว่ามันจะมีผีเป้าด้วยก็คือเกิดจากคนที่เล่นของแล้วของเข้าตัว คิดว่าคุณต่องน่าจะมีความเชื่อเรื่องพวกนี้แล้วคิดยังไงกับเรื่องเครื่องรางของขลังอะไรแบบนี้บ้างคะ
คุณต่อง : เครื่องรางเหรอ ถ้าเป็นเครื่องรางของไทยสายสิญจน์นี่ไม่รู้ว่านับเป็นเครื่องรางไหมนะ แต่ปกติเราก็ไม่ค่อยใส่นะ คือถ้ามีคนผูกให้แล้วเกิดว่ามันไปต่อไม่ไหวก็จะถอดออก แต่ถ้าเป็นแบบเครื่องรางของญี่ปุ่นไรงี้ก็มีบ้างนะ แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าได้ผลจริงหรือเปล่าแต่มันก็สวยอ่ะ (หัวเราะ) เลยซื้อมา
พิธีกร : แล้วพวกพระเครื่องได้ใส่บ้างไหม
คุณต่อง : ไม่ได้ใส่ แต่ว่าก็มีไว้ในห้อง
พิธีกร : ปกติสวดมนต์ทุกวันไหม
คุณต่อง : ปกติก็สวดแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้สวดเท่าไร นอนเลย (หัวเราะ) แต่ว่าเคยได้ยินมามันแล้วแต่บุคคลเหมือนกันน่ะ บางทีอ่ะเขาบอกว่าถ้าสวดก็ต้องสวดเหมือนครอบตัวเองก่อนนะ เพราะบางทีเราสวดมนต์มันเหมือนกับการแผ่บุญออกไปแล้วถ้าเกิดว่ามีใครที่สัมผัสได้เขาก็จะมาขอบุญจากเรา เพราะงั้นเราต้องสวดจากบทที่มันสามารถป้องกันตัวเองได้ก่อน ซึ่งอันนี้ไม่รู้ว่าจริงไหมแต่ก็แอบทำให้เรารู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน ก็เลยเลือกไม่ทำบุญในลักษณะนี้เลือกไปทำบุญแบบอื่นแทน
พิธีกร : เท่าที่เคยฟังคนอื่นเขาเล่าในรายการมามันจะมีสวดแบบเฉพาะด้วย บางคนถ้าเชื่อมาก ๆ เขาก็จะสวดตลอดคือถ้าไม่สวดเขาก็จะมีความเชื่อว่าสิ่งไม่ดีจะมาทำร้ายเขาได้
คุณต่อง : ใช่ ๆ มันคิดได้สองแบบเลยนะว่าสวดเพื่อป้องกันตัวเอง แบบเป็นบุญเป็นบารมีของเราใช่ไหมกับอีกอย่างหนึ่งสวดแล้วคนอื่นจะรับรู้ถึงบารมีเรา เขาถึงจะมาขอบุญจากเรา
พิธีกร : พวกเครื่องรางของขลังมันก็จะเกี่ยวข้องกับคนเล่นของ ที่เขาพูดกันมาหรือที่เราเห็นในหนังมันก็มีแล้วค่อนข้างน่ากลัว คิดว่าคนเล่นของมีจริงไหม พอยุคสมัยเปลี่ยนไปยังมีความเชื่อนี้อยู่ไหม
คุณต่อง : ถ้าถามว่าเชื่อไหมก็มีเปอร์เซ็นที่เชื่อ เพราะว่าก็เคยได้ยินมาเยอะเหมือนกันแถวบ้านถึงสังคมมันจะพัฒนาไปเท่าไรอ่ะ แต่เรื่องความเชื่อมันต้องยังคงอยู่แน่นอน แล้วความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วยใช่ไหมล่ะ มันก็จะมีแบบความเชื่อเวลากลางคืนว่าอย่าออกจากบ้านนะเพราะจะมีคนเขาปล่อยของตอนกลางคืนอาจจะโดนลมเพลมพัดอะไรอย่างงี้ได้ ก็กลัว ๆ อ่ะ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องงมงายขนาดนั้นแต่ก็กันไว้ดีกว่าเพราะว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีอ่ะ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเรา
พิธีกร : แต่ก็สงสัยเหมือนกันส่วนใหญ่พวกเรื่องผีมักจะเกิดในต่างจังหวัดมากกว่า แต่ไม่แน่ในกรุงเทพฯ ก็อาจจะมีพวกเรื่องผี เรื่องคนเล่นของ หรือต่างจังหวัดอาจจะยังไม่เจริญเท่าในเมืองในเมืองมันแสงสีเสียงเยอะกว่า (หัวเราะ) ผีเลยไม่ปรากฏให้เห็นหรือเปล่า
คุณต่อง : ในเมืองเขาอาจจะไม่ได้มาสนใจเรื่องนี้กันเราคิดว่า
พิธีกร : แล้วคิดว่าทำไมคนต่างจังหวัดถึงมีความเชื่อเรื่องพวกนี้มากกว่าคนเมือง ส่วนใหญ่นะคนกรุงเทพฯ จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้แล้ว จะแบบเน้นปัจจุบันมากกว่า
คุณต่อง : คิดว่าการเข้าถึงมันเข้าถึงยากกว่าด้วยละมั้ง ด้วยความที่เป็นต่างจังหวัดความกว้างของสังคมมันอาจจะไม่เท่ากับของกรุงเทพก็ได้ แล้วก็จะมีคนเก่าคนแก่จะเล่า ๆ กันมา คิดว่ามันอาจจะเป็นความเชื่อที่มีอยู่แล้ว แต่คิดว่าคนที่อยู่ในเมืองก็ยังเชื่อกันอยู่นะแต่ก็แล้วแต่บุคคลด้วยแหละมั้ง แต่รู้สึกว่าพออยู่ต่างจังหวัดอ่ะมันเข้าถึงได้ง่ายกว่า เช่น สถานที่ อะไรแบบนี้ (บรรยากาศ)
พิธีกร : คุณต่องกลัวผีไหม
คุณต่อง : กลัวสุด ๆ เลยจ้า
พิธีกร : เคยเจอด้วยเท่าที่เคยเล่ามา
คุณต่อง : ใช่
พิธีกร : เล่าให้ฟังหน่อยขอแบบจึ้ง ๆ เลยนะ
คุณต่อง : ก็ตอนนั้นที่อยู่หอในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใช่ไหม ตอนนั้นที่รู้สึกว่าเห็นจริง ๆ เพราะว่าเห็นเต็มสองตาแล้วเห็นตอนที่เรายังมีสติครบถ้วนอ่ะ ตอนนั้นลงมาจากหอกำลังจะเดินไปขึ้นรถ จำช่วงเวลาไม่ค่อยได้แต่เหมือนจะเป็นช่วงเช้า ๆ แล้วเป็นตอนที่ไม่มีคนเลยเราเดินมาคนเดียว อยู่ดี ๆ มันมีอะไรขาว ๆ วิ่งผ่านหน้าแต่ว่าไม่ได้ใกล้กันมากนะ ห่างกันประมาณสองเมตรวิ่งผ่านแบบพรึ่บ แล้วเหมือนตัวขนาดเท่าคนอ่ะ แต่ชุดขาวจั๊วะดูเป็นผู้หญิงเลย แล้วคือชุดแบบนั้นกับการวิ่งสำหรับคนปกติมันเป็นไปไม่ได้ไง แล้วอยู่ดี ๆ เหมือนเขาเห็นเราแล้วเหมือนตกใจอ่ะ ทีนี้เขาก็แบบวิ่งกลับทางเดิมแล้วทางเดิมคือตึกเป็นทางตัน คือหายไปเลย
พิธีกร : ก็คือเห็นเราแล้ววิ่งย้อนกลับทะลุเข้ากำแพงไปเหรอ
คุณต่อง : ใช่ ๆ คือเรามาทางตรงแล้วเขาเหมือนตัดหน้าเราไรงี้ แล้วคือเขาตกใจแล้วก็วิ่งกลับทางเดิม
พิธีกร : อืม บางทีเขาก็ไม่ได้อยากปรากฏตัวให้เราเห็นนะ
คุณต่อง : ใช่ เหมือนเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าจริง ๆ แล้วเขาก็กลัวเราเหมือนกัน
พิธีกร : มันก็แล้วแต่คนนะ เขาก็ไม่ได้อยากให้เราเห็นหรอก บางทีเขาอาจจะตกใจเราก็ได้แบบเห็นได้ไง (หัวเราะ)
คุณต่อง : มันเป็นจังหวะด้วยอ่ะ เพราะเคยมีความเชื่อเหมือนกันเวลาที่คนเราดวงตกมาก ๆ หรือเป็นช่วงที่แบบใจมันทุกข์มาก ๆ มันจะทำให้สัมผัสเรื่องแบบนี้ได้ ซึ่งตอนนั้นเราเป็นกรณีที่สองคือทุกข์มาก ๆ เครียดมากเลย แล้วเป็นช่วงที่ทำบุญบ่อยมากด้วย สวดมนต์ตลอด
พิธีกร : เหมือนคุณต่องเคยบอกว่าเจอที่หออีกที่หนึ่งด้วย
คุณต่อง : อันนั้นเป็นฝันมากกว่า ตอนนั้นน่ากลัวจัด ๆ เลยอ่ะ คือตอนที่เราเข้าหอวันแรกแล้วปกตินี่เป็นคนสวดมนต์ใช่ไหม ก็สวดมนต์ก่อนนอนแล้วก็นอนหลับสนิทเลย แล้วก็ฝันว่ามีคนใส่ชุดนางรำมายืนชี้เรามันน่ากลัวตรงที่เราฝันเห็นตัวเองกำลังนอนอยู่ตรงนั้น แล้วมีคนมายืนปลายเตียงแล้วก็ชี้หน้าโกรธเรามาก แบบโมโหเลย ซึ่งก็กลัวแล้วตอนนั้นแต่ก็ยังนอนหลับต่อไปได้ แต่มันมาตรงกันเรื่องความเชื่อที่เขาพูดกันพอดี แล้วเราไม่เคยรู้มาก่อนแล้วเป็นห้องเดียวที่ไม่ได้ติดป้ายตามที่เขาบอกกันว่าห้องนี้ไม่มีเด็กศิลปกรรมด้วย ในบริเวณนั้นนะเป็นห้องเดียวที่ไม่ได้ติด
พิธีกร : ยังดีที่มาเป็นฝันนะ
คุณต่อง : ใช่ ๆ ตอนนั้นก็ตกใจนะแต่ไม่ได้กลัวอะไรเพราะมันเป็นฝัน
พิธีกร : คิดว่าถ้าเราตายไปเราจะเป็นผีก่อนไหม
คุณต่อง : ถ้าเรียกสิ่งที่ไม่มีร่างกายว่าเป็นผีอ่ะก็คิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้น เป็นวิญญาณอะไรแบบนั้น ก่อนไปเข้าระบบคัดกรองซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง
พิธีกร : อย่างในหนังที่เขาบอกว่าพอเราตายไปมันยังไม่ถึงเวลาที่จะไปเกิด คือมันจะมีเวลากำหนดของมันเราก็ยังวนเวียนอยู่บนโลกนี้อยู่ใช่ไหม
คุณต่อง : ใช่ ๆ อาจจะแล้วแต่คนด้วย ถ้าใครมีห่วงก็ยังไปไม่ได้อะไรแบบนี้ (หัวเราะ)
พิธีกร : อยากจะบอกอะไรกับผีที่มาหลอกเรา
คุณต่อง : (หัวเราะ) ก็บอกว่าอย่ามาหลอกเราตั้งแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าเราทำอะไรที่ไม่ดีหรือว่าทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจเราต้องขอโทษด้วย ด้วยความไม่ตั้งใจของเราหรือความตั้งใจของเราก็ตาม เราไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลย เพราะงั้นต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า ใช้ชีวิตของตัวเองไป (หัวเราะ) อย่าเจอกันเลย
พิธีกร : ถ้าเจอก็มาดี ๆ
คุณต่อง : ไม่ต้อง (หัวเราะ) ไม่ต้องส่งสัญญาณอะไรทั้งสิ้นไม่ต้องให้เห็นด้วย (หัวเราะ)
จากการสัมภาษณ์ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ขนหัวลุกมาก่อนทำให้เรามองได้หลากหลายมุมมาก ๆ ถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่อาจจะมีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริงเลยก็ได้ สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคน คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด แต่นำไปเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ว่าโลกเรายังมีอะไรอีกมากมายที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้เช่นเดียวกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in