เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyathisispang
| Chapter 1 | Billy, are you drunk?
  •         วันที่ห้าของสัปดาห์ คลาสเรียนเริ่มตอนแปดโมงห้าสิบ เท่ากับว่าตอนนี้เราเหลือเวลาอีกแค่ยี่สิบนาทีในการเตรียมตัวและเดินทางไปโรงเรียน ฉันมักจะตื่นก่อนเขาเสมอ ตอนแรกก็ถูกไหว้วานจากคุณลุงนีลให้ช่วยเดินไปปลุกเขาที่ห้อง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นหน้าที่ที่ต้องทำไปแล้ว
    “บิลลี่ ตื่นได้แล้ว เราสายแล้วนะ”
    ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
    “บิลลี่! ตื่นเถอะ ฉันมีเรียนวิชาสำคัญ”
    “รีบนักก็ไปเองเลยสิ”
              แน่ล่ะ! ถ้ามีรถบัสผ่านมาบ้าง ฉันคงไม่จำเป็นต้องพึ่งเขา แต่ประเด็นคือมันไม่มีเลยน่ะสิ
    เอาเถอะ! เดินก็เดิน รีบไปตอนนี้อาจจะถึงโรงเรียนสายหน่อยแต่อย่างน้อยก็คงไม่สายเท่ารอไปกับเขา
              ฉันเดินออกจากบ้านพร้อมกับสเก็ตบอร์ดคู่ใจ สองฝั่งถนนไม่ถึงกับเป็นป่าแต่ก็มีต้นไม้ขึ้นตลอดทาง            สิบห้านาทีผ่านไป เสียงเครื่องยนต์ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงกับดนตรีร็อคดังมาแต่ไกล ไม่ต้องใช้สมองคิดเลยสักนิดก็รู้ว่าใคร
    “ขึ้นรถ” บิลลี่ชะลอรถอยู่ด้านข้าง
    “แม็กซ์ ขึ้นรถ ฉลาดๆหน่อย อยากเดินเป็นสิบกิโลเลยรึไง?”
    “แล้วใครล่ะมัวแต่ลีลา สุดท้ายก็ต้องแวะรับกันอยู่ดี”

              ฉันกำลังรีบเดินออกจากโรงเรียน วันนี้เหนื่อยชะมัด ตั้งแต่เช้ายันเย็นการบ้านเป็น
    กองพะเนิน แถมมีงานกลุ่มต้องทำต่อหลังเลิกเรียนอีก ฉันอยู่ทำงานกลุ่มจนเกือบเสร็จแต่ลูคัสให้ฉันกลับก่อนได้ ลูคัสเป็นเพื่อนที่ฉันสนิทที่สุดตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ และฉันก็ช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ป่านนี้บิลลี่คงหัวเสียแย่
              รถเชฟวีมาลิบูคันสีน้ำเงินเข้มคันดีคันเดิมยังคงจอดอยู่ ถือว่าเขายังมีความใจดีอยู่บ้าง อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องเดินกลับบ้านเอง แค่อาจจะต้องฟังเขาบ่นสักหน่อย
    “เธอมาช้าอีกแล้ว”
    “ขอโทษ มีงานกลุ่มต้องทำให้เสร็จ” ฉันว่า
    “ให้ตาย ฉันไม่สน” เขาพูดขณะใช้เท้าดับบุหรี่ที่พื้น
    “ถ้ามาสายอีก สเก็ตกลับบ้านเองละกัน ได้ยินมั้ย"
    ฉันพยักหน้ารับ เราเปิดประตูขึ้นรถ ฉันเอื้อมตัวไปวางสเก็ตบอร์ดไว้เบาะหลัง มีลิปสติกแท่งหนึ่งตกอยู่
    “มีคนทำหล่นไว้” ฉันยื่นลิปสติกให้เขา
    “วางไว้ที่เดิมนั่นแหละ คืนนี้ฉันต้องไปบ้านเธออยู่แล้ว”
              เราออกรถมาได้สักพัก เขาไม่พูดอะไร ฉันเองก็ไม่พูดอะไร มันคงจะดีมากถ้าทุกวันเป็นแบบนี้
    “ที่นี่แย่โคตร” นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ
    “มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น” ฉันแย้งขึ้น
    “อะไรกันแม็กซ์ ชอบบ้านนอกนี่แล้วเหรอ”
    “เปล่า”
    “งั้นปกป้องมันทำไมกัน”
    “ก็เปล่า”
    “ฟังดูเหมือนเป็นงั้นนะ” เขาพูดพร้อมหมุนปุ่มเพิ่มเสียงเขาเริ่มเหยียบคันเร่งแรงขึ้นตามเสียงกีตาร์ไฟฟ้าที่แสนจะหนักหน่วงของเพลง ‘wango tango’ ถ้าจะตายด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง หนึ่งในนั้นคงเป็นการนั่งรถกับเขา
              เวรล่ะ! บิลลี่! ข้างหน้ามีกลุ่มเด็กปั่นจักรยานอยู่ ฉันนึกว่าเขาจะชะลอความเร็วลงบ้างแต่ไม่เลย
    “บิลลี่ ช้าๆหน่อย มีเด็กปั่นจักรยานอยู่ข้างหน้านะ”
    “เพื่อนใหม่ใจบ้านนอกของเธอรึไง”
    “เปล่า ฉันไม่รู้จัก”
    “งั้นถ้าชนเธอก็คงไม่สนใจสินะ”
    “ได้คะแนนพิเศษถ้ากวาดเรียบทีเดียวด้วยรึเปล่า”
    “อย่านะ บิลลี่ หยุด ไม่ตลกนะ” ฉันพยายามบอกเขาด้วยความร้อนใจเพราะรถเข้าใกล้เด็กพวกนั้นไปทุกที
    “บิลลี่ ไม่เอาน่ะ หยุดสิ!” เขาทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินที่ฉันพูด
    “ไม่ตลกนะ หยุด!!” ฉันตัดสินใจเอื้อมมือไปหักพวงมาลัยได้ทันเวลาพอดี เด็กพวกนั้น...เดี๋ยวนะ! นั่นมันเพื่อนลูคัสนี่ ให้ตายเถอะ! ได้แต่ภาวนาให้พวกนั้นไม่ทันสังเกต ถ้ารู้ว่าเป็นฉันต้องซวยมากแน่
    “เกือบไปแล้วใช่ไหมล่ะ?” เขาทำท่ายียวน น่าจะโดนเตะสักสองสามที
    “นายมันประสาทเสียไปแล้วจริงๆ”

              ถึงบ้านได้ไม่นาน เขาก็เตรียมจะออกไปอีกแล้ว ปาร์ตี้ ดนตรีร็อค บุหรี่ และผู้หญิง
    นั่นล่ะนิยามคำว่า ‘บิลลี่’ ขาดอย่างใดอย่างหนี่งไปคงเหมือนขาดใจ
              เราย้ายจากลอสแอนเจลิสมาอยู่อินเดียน่าได้เกือบสองเดือน คุณอานีล กับคุณแม่
    มักจะไปๆมาๆสองเมืองนี้ตลอด ท่านบอกว่ามีธุระที่ยังจัดการไม่เสร็จ ธุระที่ว่าคืออะไรท่านไม่ได้บอก ฉันเองก็ไม่กล้าถาม คงเป็นเรื่องงาน ไม่ก็อะไรสักอย่าง ปกติท่านจะไปแค่สามสี่วัน แต่ครั้งนี้ท่านไปถึงสองสัปดาห์ เท่ากับว่าฉันต้องอยู่กับบิลลี่แค่สองคน
              ฉันหยิบการบ้านออกมานั่งทำตรงโต๊ะห้องนั่งเล่น พร้อมกับเปิดทีวีไปด้วย โคโลญจน์ Obsession กลิ่นเปลือกไม้ผสมกับลาเวนเดอร์ฟลุ้งไปทั่ว ไม่เข้าใจว่าเขาจะใช้เยอะทำไมนักหนา อยากให้ข้างบ้านได้กลิ่นด้วยล่ะมั้ง
    “ฉันคงกลับดึกมากๆ ไม่ก็ไม่กลับเลย อย่าปล่อยให้โจรเข้าบ้านล่ะ” เขาว่า
    “รู้แล้วน่า จะไปก็รีบไปเถอะ” เขาหันมามองฉันก่อนจะเปิดกระตูแล้วก้าวออกไป
              ฉันนั่งทำการบ้านได้ไม่นานก็เผลอหลับ รู้สึกตัวอีกทีก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง ฉันลุกขึ้นเดินไปปิดทีวี
    “แม็กซ์” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย เจ้าของเสียงที่คุ้นเคยยืนอยู่ในมุมมืดตรงเคาท์เตอร์ครัว มีเพียงแสงสว่างจากด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เขากลับมาตั้งแต่เมื่อไรนะ
    “ว่าไง” ฉันว่า พลางเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ
    “ฉันหิว ช่วยทำแซนวิชให้กินหน่อย”
    “นายก็ทำเองสิ ของอยู่ในตู้เย็น”
    “ถ้าทำเองแล้วมันเหมือนที่เธอทำ ฉันก็ทำเองไปแล้ว”
    นั่นดูเป็นข้ออ้างของคนขี้เกียจมากกว่า แต่ฉันไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับเขา รีบๆทำ แล้วกลับไปนอนต่อคงดีกว่า
              ฉันเดินตรงไปที่ครัว หยิบแฮมกับชีสออกจากตู้เย็น 
    "ช่วยหลบไปยืนตรงอื่นได้ไหม ฉันหยิบของไม่ถนัด" ฉันบอกเขาที่ยืนขวางอยู่ เขาพยักหน้าแล้วเดินออกไปนั่งรอตรงโต๊ะไม้โอ๊คตัวยาว แฮมกับชีสวางซ้อนกันประกบด้วยขนมปังที่ทาเนยถั่วไว้ทั่วสองแผ่น ฉันวางมันไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันหลังเพื่อเดินกลับเข้าห้องนอนตัวเอง
    “แม็กซ์ นั่งกับฉันก่อนได้ไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยพูดมาก่อน มันดูนุ่มนวลลงไปมากจากปกติ
    “นะ แค่แป๊บเดียว” เขาส่งสายตาเว้าวอนเต็มที่
    เอาล่ะ พรุ่งนี้เขาคงจำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ฉันตัดสินใจเดินกลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะ มองดูเขากัดแซนวิชคำโตเหมือนคนไม่ได้กินอะไรมาเป็นอาทิตย์ ก็เล่นดื่มแต่เบียร์ คงทำให้นายอิ่มได้หรอกบิลลี่ 
              นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขากินอะไรจริงๆจังๆ  คงเพราะเขาไม่เคยนั่งโต๊ะอาหารร่วมกับฉัน คุณแม่ หรือคุณอานีลเลยสักครั้ง
    “อร่อยจริงๆนะ ไม่เชื่อเธอลองกินดู” เขายื่นแซนวิชให้
    “ไม่ล่ะ ฉันไม่หิว” ฉันปฏิเสธที่จะชิมแซนวิชฝีมือตัวเอง ฉันมองดูอยู่สักพัก ก่อนเขาจะเงยหน้าขึ้นมา
    “บางครั้งคนเราก็พูดคุยกันทั้งที่ปากไม่แม้แต่จะขยับด้วยซ้ำ” น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไปจากงานปาร์ตี้ ทำให้เขาแปรปรวนจนฉันเริ่มตามไม่ทัน เมื่อกี้ยังบ่นหิว มาตอนนี้กับพูดตัดพ้อเสียอย่างนั้น
    “ฉันพยายามทำตัวให้ชิน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเคยมีใครรักฉันจริงๆบ้างไหม”
    “มันอ้างว้างมากเลยนะ” น้ำเสียงเขาเริ่มสั่นเคลือมากกว่าปกติ สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนจากคำพูดเหล่านั้น คือความรู้สึกบางอย่างที่เขาสื่อออกมา ทำให้ฉันรู้สึกสลดใจไปด้วย
              เราต่างรู้กันดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิลลี่กับคุณอานีลไม่ดีมากนัก และมันดูเหมือนจะแย่ลงไปอีก ตั้งแต่คุณแม่ของบิลลี่จากไป คุณอานีลตัดสินใจแต่งงานใหม่กับคุณแม่ของฉัน และให้เราย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วย ฉันรู้ว่าไม่มีใครเข้ามาแทนที่คุณแม่ของบิลลี่ได้ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและฉันก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดว่าบิลลี่จะต้องรู้สึกแย่ขนาดไหน หรือผ่านอะไรมาบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันเองก็รู้สึกผิดและโทษตัวเองอยู่ทุกวันเหมือนกัน ฉันพยายามทำตัวดีกับเขา แต่คงเป็นเขาเองที่ไม่เปิดใจให้ฉัน จนผ่านมาเกือบสองปี ความสัมพันธ์ของเราไม่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเลย มีแต่จะแย่ลงด้วยซ้ำ
    “คืนนี้ฉันนอนกับเธอได้ไหม”
    “จะบ้าเหรอบิลลี่” เขาคงไม่รู้ตัวจริงๆว่าพูดอะไรออกมา
    “ฉันว่านายเมามากแล้ว ไปนอนเถอะ" ฉันพูด
    "ใจร้ายจัง ขอนอนด้วยแค่คืนนี้คืนเดียว" ท่าทางและน้ำเสียงของเขาอย่างกับเด็กกำลังอ้อนขออะไรสักอย่าง แต่ฉันเพิ่งจะสังเกตเห็นน้ำตาที่นองอยู่เต็มดวงตาสีฟ้าใส นั่นทำให้ฉันใจอ่อนลงทันที เขาในวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงค่อยว่ากัน
    "มาเถอะบิลลี่ ไปนอนกันได้แล้ว" 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in