จริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่าการสวนกระแสเป็นความเท่อย่างหนึ่ง
เราเป็นคนหนึ่งที่เคยแอนตี้การอ่าน E-book นะ ส่วนหนึ่งเพราะว่าเป็นคนสายตาไม่ดีอยู่แล้ว รู้สึกว่าการจ้องหน้าจอนาน ๆ นี่มันปวดตาชะมัด.. แต่ส่วนหนึ่งก็คือว่า การที่เราเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่า "ฉันชอบอ่านหนังสือที่เป็นเล่ม ๆ มากกว่า" มันโคตรคลาสสิก โคตรเท่!
อีกเหตุผลลึก ๆ คือ เราคิดว่า E-book กำลังทำให้ "หนังสือที่เรารัก" ค่อย ๆ ตายลงอย่างช้า ๆ
ไม่อ่าน!
ฉันเกลียดแก
จุดเปลี่ยนคือ วันหนึ่งมีอยากอ่านนิยายเล่มหนึ่งมาก ๆ แต่หาซื้อไม่ได้ (บวกกับไม่มีเวลาไปตระเวนหาเอาง่าย ๆ เดินเข้าไปในห้าง เข้าร้านหนังสือทุกร้านที่มีแล้วไม่พบนิยายเล่มนั้นมันก็ท้อแล้วนะ..)
จำเป็นต้องซื้อ E-book มาอ่าน
เฮ้ย! เอาเข้าจริงมันก็ไม่แย่
มันไม่ได้ปวดตาปวดขมองอะไรขนาดนั้นสักหน่อย ไม่รู้คนอื่นเป็นหรือเปล่า วัน ๆ หนึ่งเราจ้องหน้าจอโทรศัพท์ ไถทวิตได้ 3-4 ชั่วโมง เรายังชิว ย้อนกลับไปมองความคิดตัวเองแล้วก็แปลกใจว่าอะไรทำให้เราคิดว่าการอ่าน E-book จะทำให้ปวดตาวะ.. มันก็แค่เปลี่ยนแอพลิเคชั่นเฉย ๆ ไม่ใช่เหรอ
ความเซอร์ไพรซ์ต่อมาคือ.. ฉันอ่านจบ!
(รู้สึกเหมือนชีวิตได้รับ reward อะไรบางอย่างที่ไม่ได้รับมานาน)
เรื่องน่าเศร้า (ที่เป็นปกติ) เรื่องหนึ่งคือ คนรักหนังสือจำนวนมากชอบซื้อหนังสือมาดอง (ใช่.. เราก็ด้วย) ไปงานสัปดาห์หนังสือหมดไปหลายพัน บางคนเป็นหมื่น จนงานวนมาอีกรอบยังอ่านไม่ครบเลยค่ะ
บางเล่มยังไม่ได้เปิดอ่าน และบางทีก็เปิดทุกเล่มแต่อ่านไม่จบสักเล่ม..
แต่ว่าเราอ่าน E-book จบอ่ะ! ฉันอ่านเล่มนั้นจบ! ด้วยความสงสัยว่าที่อ่านจบนี่เพราะนิยายมันสนุกหรือเปล่าวะ ไหนลองซื้อเล่มที่สอง เออ จบว่ะ
แล้วมันก็มีเล่มที่สาม.. สี่ ห้า หก เจ็ด
เอ๊ะ
มานอนคิดอีกที.. เดี๋ยวนะ นี่ฉันเคยเป็นแอนตี้ E-book ไม่ใช่เหรอ
E-book จะทำให้หนังสือที่ฉันรักตายไม่ใช่เหรอ!!
เราพยายามหาคำตอบนี้ด้วยการเดินเข้าไปในร้านหนังสือร้านหนึ่ง หมวกวิเศษที่เป็น reward จากการอ่านหนังสือเล่มนั้นจบยังครอบหัวอยู่ แล้วมันทำให้เราเกิดความคิดหนึ่งที่ไม่ได้เกิดมานานมากกกกจากการเข้าร้านหนังสือ
"เอ๊ะ เล่มนี้น่าอ่าน"
"เฮ้ย เล่มนี้ก็ด้วย"
"เล่มนี้พล็อตดีชะมัด"
"เล่มนั้น..."
(วิญญาณคุณสู่ขวัญเข้าร่างแค่เปลี่ยนที่ shopping)
คงไม่ใช่หรอกเนอะ..
สิ่งที่จะฆ่าหนังสือไม่ใช่ E-book หรอก แต่เป็นการที่คนเราอ่านหนังสือน้อยลงต่างหาก.. คนที่ชอบอ่านหนังสือนะ.. จะ E-book หรือจะเล่ม ๆ อย่างไหนก็อ่าน ส่วนคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ โพสต์ในเฟซบุ๊คแค่ยาวหน่อยก็ยังอ่านกันไม่จบ
อย่างที่เรามักเห็น "เท่าไหร่ค่ะ" (คะ ว้อย!) ทั้งที่ราคาก็เขียนอยู่ในโพสต์นั่นแหละ
เรื่องน่าโมโหเกี่ยวกับตัวเองอีกเรื่องหนึ่งคือ ตอนเด็ก ๆ เราเป็นคนรักการอ่านมากนะ เวลาพักเที่ยงต้องวิ่งเข้าห้องสมุด ได้หนังสือเรียนมาก่อนเปิดเทอม อ่านจบก่อนเปิดเทอมด้วยซ้ำ
มานึกย้อนไป.. เออ ตัวเราในตอนนั้นแม่งดีดว่ะ
แต่ความจริง เราควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ
มานั่งไล่เรียงดูว่าปีที่ผ่านมาอ่านหนังสือไปกี่เล่ม จนพบว่า ไม่ถึง 5 เล่ม! แล้วรู้สึกโกรธตัวเอง นี่น่ะเหรอคนที่เคลมนักเคลมหนาว่าฉันรักหนังสือ E-book จะทำให้หนังสือที่ฉันรักตาย..
ในเมื่อฉันไม่รักการอ่าน ใครกันแน่ที่จะทำให้หนังสือตาย
มันน่าเศร้านะ.. น่าเศร้าจนเราอยากกลับไปมีนิสัยรักการอ่านแบบนั้นอีก
แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่ายิ่งเราโตขึ้น เวลาอ่านหนังสือก็ยิ่งน้อยลง ๆ สมัยเด็กบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน เดินกลับยี่สิบนาทีก็ถึง ทำการบ้านอีกสักครึ่งชั่วโมงอ่ะ คอมก็ไม่มีเล่น เน็ต 52K โคตรของโคตรจะอืด เราก็เลยชอบอ่านหนังสือ
เสาร์อาทิตย์เหรอ ว่างจ้า ช่วยแม่ล้างจานเสร็จ ไปนอนกลิ้งอ่านหนังสือ
แล้วดูตอนนี้สิ ไม่อยากจะพูดหรอกนะ เดี๋ยวจะหาว่าอ้าง แต่มันปฏิเสธไม่ได้ว่าวัน ๆ หนึ่งเราใช้ชีวิตอยู่บนถนน แค่ไปกลับ บ้าน-มหาลัย ก็หมดไป 3 ชั่วโมงแล้วอ่ะ เสาร์อาทิตย์ก็นั่งปั่นเปเปอร์วนไปจ้า แล้วเวลาอ่านหนังสืออยู่ตรงไหน?
E-book เนี่ย โคตรตอบโจทย์เลยนะ
เราชินกับการนั่งไถทวิตแก้เบื่อตั้งแต่มหาลัยจนถึงบ้าน ก็แค่เปลี่ยนมาเปิด E-book แล้วไถอ่าน บางทีก็โหนรถเมล์ เหลือมือข้างเดียวจะควักหนังสือเล่ม ๆ ขึ้นมาอ่านยังไง.. แต่ยังไถ E-book ได้นะ
เนี่ย.. เรากลับมาอ่านหนังสือได้ปีละเยอะ ๆ เหมือนตอนเด็ก ๆ แล้ว!
พอย้อนคิดถึง E-book เกือบสิบเล่มที่อ่านจบอย่างน่าตกใจ เราคิดว่าจริง ๆ แล้วเมล็ดพันธุ์รักการอ่านมันอยู่ในตัวเรานี่แหละ ไม่เคยหายไปไหนหรอก แต่มันค่อย ๆ ฝ่อ เพราะว่าเราไม่ได้รดน้ำ E-book เกือบสิบเล่มนั่นทำให้เมล็ดพันธุ์นั้นฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
พิสูจน์ได้จากการที่เราเข้าร้านหนังสือแล้วอยากซื้อไปหมดทุกเล่ม.. ความรู้สึกเดิม ๆ เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่พอเข้าห้องสมุดแล้วอยากอ่านไปหมดทุกเล่ม มันกลับมา..
เรามีเมล็ดพันธุ์ที่ดีในตัวอยู่แล้ว แต่เราแค่หาเวลารดน้ำให้มันไม่ได้เฉย ๆ จนมันฝ่อลง ฝ่อลง จนเรามองไม่เห็น แล้วก็ลืมไปเลยว่าเรามีเมล็ดนี้อยู่ในตัว
ลองเปรียบเทียบอีกแบบหนึ่งดูนะ
จะว่ายังไงดีล่ะ สมมติว่าเราเป็นปลาชนิดหนึ่งที่อยู่ได้ทั้งผิวน้ำและใต้น้ำ และนิสัยรักการอ่านมันก็เหมือนกับการว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำ.. หนึ่ง มันทำให้เราได้เห็นแสงอาทิตย์ ได้ความรู้ ได้เปิดโลกเปิดมุมมองอะไรต่าง ๆ มากมาย และสอง เราต้องว่ายไปเรื่อย ๆ ว่ายไปเรื่อย ๆ ถ้าหยุดว่ายเมื่อไหร่เราจะค่อย ๆ จมลง
เราคิดว่าการที่เราจะรักษานิสัยรักการอ่านเอาไว้ไม่ให้หายไป เราห้ามหยุดอ่านหนังสือ วันไหนว่าง ๆ มีเวลาก็พกหนังสือเล่ม ๆ ไปนั่งอ่านในร้านกาแฟแบบฮิป ๆ หรือจะนอนกลิ้งอ่านอยู่บนเตียงที่บ้านก็ได้ วันไหนไม่ว่าง ก็ควัก E-book ขึ้นมาอ่าน ตราบใดที่เราเล่นโซเชียลได้ เราก็มีเวลาอ่าน E-book แหละ
ถ้าคุณรักษานิสัยรักการอ่านเอาไว้ได้ คุณจะเดินเข้าร้านหนังสือ และคุณจะอยากซื้อหนังสือ
คุณจะจ่ายเงินเพื่อต่อชีวิตให้กับหนังสือที่พวกเรารัก
อย่าหยุดอ่าน
ไม่ว่าจะหนังสือเล่ม ๆ หรือจะ E-book ก็อ่านไปเถอะ อ่านขิงอ่านข่าอ่านบ้าอ่านบออะไรก็ได้
แค่อย่าปล่อยให้นิสัยรักการอ่านจมลงก้นมหาสมุทรไปก็พอ
เราเองก็อ่านทั้งหนังสือเล่มและ e-book ค่ะ แต่อ่าน e-book ไม่เยอะเท่าไรนะคะ ตอนอยู่บนรถเมล์เป็นเวลาที่เราอ่านหนังสือตลอดค่ะ บางทีต้องยืนก็ควักหนังสือออกมาอ่าน มือนึงถือหนังสือ มือนึงโหนราว 5555