คำว่า “ธีสิส“ สามารถแต่งเป็นประโยคคำถามได้ ดังนี้
“ธีสิสจะทำอะไร”
“ธีสิสน่ะ เริ่มทำหรือยัง”
“ธีสิสที่จะทำน่ะคิดออกหรือยัง“
สำหรับคนที่มีหัวข้อธีสิสในใจแล้ว ประโยคดังกล่าวน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขาพรั่งพรูความคิดออกมาได้อย่างไม่รู้จบ
แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง… แค่ได้ยินคำว่าธีสิส ก็ไม่รู้ว่าจะมีสิทธิ์กลับมายิ้มได้อีกไหมน่ะสิ
ถ้าถามว่าตัวเองจัดอยู่ประเภทไหน ก็คงตอบได้อย่าง(ไม่)มั่นใจว่าอย่างหลัง แต่การที่ไม่รู้ใจตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้ายังไม่ถึงวันที่ต้องนำเสนอหัวข้อหน้าชั้นเรียน พอคิดได้ดังนั้นก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ค่อย ๆ ใช้เวลาตลอดช่วงปิดเทอมคิดหัวข้อที่อยากทำอย่างใจเย็นให้เหมือนกับคำว่า “Slowly but Surely”
แต่ใครจะคิดว่า Slowly but Surely จะผ่านไปเร็วขนาดนี้ เพราะในอีก 2 สัปดาห์จะต้องนำเสนอหัวข้อที่ตัวเองสนใจหน้าชั้นเรียนได้แล้ว เมื่อเวลานับถอยหลังใกล้เข้ามาเท่าไร ก็ยิ่งเห็นว่าตัวเองคล้ายกับหนูติดจั่นเข้าไปทุกวัน แน่นอนว่าอาการแบบนี้ก็คงไม่พ้นสายตามนุษย์แม่อย่างแน่นอน
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“หนูคิดงานไม่ออก”
“ออกไปเที่ยวไหม”
“No no ออกเดียวที่หนูจะออกคือคิดงานให้ออกเท่านั้น”
“กลัวจะได้อยู่บ้านตลอดน่ะสิ”
.
.
.
“น้องไปเยี่ยมคุณยายกับแม่ไหม”
“ยายไหนอะแม่”
“ก็ยายที่เคยอยู่ข้างบ้านเราไง ตอนนี้แกป่วยไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนแกอีก แกเหงา นี่ไงจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
“แม่ไปเลย หนูหมดแฮง”
“ออกไปข้างนอกบ้าง อยู่บ้านเจออะไรเดิม ๆ ก็คิดไม่ออก ให้ตัวเองออกไปคิดไม่ออกนอกบ้านบ้าง อย่างน้อยก็เจออะไรใหม่ ๆ “
“ก็ถูกของแม่ ถ้าอย่างนั้นก็ Go go“
.
.
.
ไม่เคยเชื่อในคำว่า “วาจาแม่ศักดิ์สิทธิ์” มาก่อน จนกระทั่งวันนี้
บ้านของคุณยายที่ไปเยี่ยมวันนี้หลังไม่ใหญ่มากนัก แต่ถ้าเทียบกับจำนวนสมาชิกที่อยู่แค่ 2 คน บ้านหลังนี้ก็ใหญ่มากเลยทีเดียว จากการไปเยี่ยมก็ได้เรื่องมาว่าคุณยายอยู่กับลูกชาย หรือว่าคุณลุงแค่สองคน คุณลุงออกจากงานมาดูแลแม่ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง และโรคที่เป็นไปตามอายุ บางวันคุณลุงก็ต้องออกไปทำงานเล็กน้อยจึงทำให้บางครั้งคุณยายต้องอยู่บ้านคนเดียว คุณยายบอกว่าถ้าไม่มีแม่ที่คอยมาหาอยู่ตลอดก็คงเหงามากแน่ ๆ ตอนแรกที่เข้าไปในบ้านหลังนี้ และเจอกับคุณยายครั้งแรกในรอบหลายปีก็ทำให้ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เพราะคุณยายเองก็เปลี่ยนไปมากจากภาพความทรงจำในวัยเด็ก ทั้งสีหน้า แววตา ท่าทางที่เชื่องช้า และกระดูกสันหลังที่ค่อย ๆ ค่อมต่ำลง บทสนทนาที่ได้พูดคุยกับคุณยายมีทั้งสุข เศร้า เหงา และเสียงหัวเราะปนสะอื้น ที่แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับทำให้ตกตะกอนอะไรได้หลาย ๆ ของคนวัยใกล้ฝั่งเต็มที ทั้งสวัสดิการภาครัฐ สภาพร่างกายและจิตใจ รวมไปจนถึงความปรารถนาที่จะมีความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิต
ประโยคที่คุณยายพูดซ้ำ ๆ ระหว่างคุยกันคือ “ยายก็แค่คิดถึง” ซึ่งเป็นประโยคที่มีหลากหลายอารมณ์ของคุณยาย ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เกิดจากเรื่องราวในอดีต ความเศร้าที่เกิดจากความเจ็บป่วย หรือความเหงาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ราวกับคำว่าคิดถึงเชื่อมได้กับทุกอารมณ์ของคุณยายได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้คำว่าคิดถึงยังแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวได้อีกด้วย เพราะคุณยายกลัวว่าความคิดถึงที่มีจะส่งไปไม่ถึงผู้รับ
.
.
.
“แม่ หนูว่าหนูรู้แล้วว่าหนูอยากทำอะไร”
”อยากทำอะไร คิดออกแล้วเหรอ“
“หนูอยากทำหนังสือภาพที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุที่เหงามาก ๆ ที่ได้รับการเยียวยาจิตใจด้วยเด็กน้อย แล้วหนูก็อยากให้เด็กที่อ่านงานหนูรู้ว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาทำให้ผู้สูงอายุมันมีความหมาย แล้วก็เป็นกำลังใจให้ผู้สูงอายุมาก ๆ แม่ว่ามันดีไหม“
“น้องจะชอบที่ได้ทำใช่ไหม”
“ถ้าการที่หนูคิดว่าหนูไม่อยากให้ผู้สูงอายุทุกคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็คงเรียกว่าชอบได้มั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำออกมาได้ดีหรือเปล่า“
”ไม่เป็นไร ค่อย ๆ คิด Slowly but Surely ไง“
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in