น่าจะดูแปลกอยู่หน่อยๆ ที่รีวิวนิตยสาร แถมเป็นนิตยสารการเงินการธนาคารที่เฉพาะกลุ่มมากๆ
ไม่ครับ ผมไม่ได้จะรีวิวนิตยสารทั้งฉบับ โดยมากผมสนใจนิตยสารการเงินการธนาคารเฉพาะเดือนธันวาคม เพราะเป็นฉบับที่ทำการจัดอันดับมหาเศรษฐีหุ้นไทย 500
คนแรก
นี่จึงไม่ใช่การรีวิว แต่เป็นการบอกเล่าข้อมูลความร่ำรวยของเหล่าเศรษฐีหุ้นเมืองไทย (เนื้อหายาวพอสมควร)
เริ่มจากตัวเลขนี้ก่อนเลย ภาพรวมเศรษฐีหุ้นไทยปี 2562
วัดจากผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ถือหุ้น 0.5
เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ก่อนวันที่ 30
กันยายน 2562
มีจำนวน 7,626
คน มูลค่าหุ้นของคน 7
พันกว่าคนนี้รวมกันเท่ากับ 2,127,895
ล้านบาท ส่วนมูลค่าจีดีพีของไทยปี 2561
อยู่ที่ 16.3
ล้านล้านบาท ก็ลองเทียบกันดูเองนะครับ ส่วนปันผลที่คนเหล่านี้ได้ไปคือ 60,060
ล้านบาทคราวนี้นับเฉพาะมหาเศรษฐีหุ้นไทย 500
อันดับแรก มูลค่าที่คนกลุ่มนี้ถือครองคือ 1,607,362
ล้านบาท
มาดู 10
อันดับแรกกัน 1.
สารัชถ์ รัตนาวดี รวยจากหุ้น GULF
ตัวเดียวที่ 120,960
ล้านบาท 2.
นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพหรือ BDMS
และหุ้นอื่นอีก 2
บริษัท มูลค่ารวม 66,110.64
ล้านบาท 3.
นิติ โอสถานุเคราะห์ ทายาทแห่งโอสถสภาที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นปีนี้ เขาถือครองหุ้นหลายบริษัท มูลค่ารวม 48,613.32
ล้านบาท 4.
คีรี กาญจนพาสน์ เจ้าพ่อ BTS
มูลค่ารวม 43,080.42
ล้านบาท 5.
สมโภชน์ อาหุนัย แห่ง EA
หรือบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ รวยที่ 42,084.25
ล้านบาท
6.วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ถือหุ้น STARK และ TOA รวมกัน 41,055.30 ล้านบาท 7.ดาวนภา เพ็ชรอำไพ เจ้าของเมืองไทยแคปปิตอล มูลค่า 41,040 ล้านบาท 8.ชูชาติ เพ็ชรอำไพ คนนี้ถือหุ้นหลายบริษัท มูลค่า 40,841.21 ล้านบาท 9.พิชญ์ โพธารามิก เจ้าของ JAS และ MONO รวย 32,596.74 ล้านบาท และ 10.อนันต์ อัศวโภคิน แห่งแลนด์แอนด์เฮาส์ รวย 27,469.19 ล้านบาท
ท็อป 5 ของมหาเศรษฐีนีปี 2562 แน่นอน อันดับ 1 คือดาวนภา เพ็ชรอำไพ 2.ยุพิน ธีระโกเมน เจ้าแม่อาณาจักร M หรือเอ็มเคสุกี้ 25,899.74 ล้านบาท 3.ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ ถือหุ้น CBG หรือคาราบาวแดง รวยที่ 17,115 ล้านบาท 4.ปรามาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ทายาท BDMS รวยที่ 14,698.11 ล้านบาท 5.ธิดา แก้วบุตตา แห่งศรีสวัสดิ์ รวย 13,888.92 ล้านบาท
มหาเศรษฐีหุ้นทั้ง 500 คนนี้ได้รับเงินปันผลรวมกัน 41,876 ล้านบาท โดย 5 อันดับที่ได้เงินปันผลมากที่สุดคือ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ 2,103 ล้านบาท อนันต์ อัศวโภคิน 1,859 ล้านบาท คีรี กาญจนพาสน์ 1,347.07 ล้านบาท พิชญ์ โพธารามิก 1,280.29 ล้านบาท และ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 1,185.79 ล้านบาท
ถ้าดูเป็นตระกูลที่รวยหุ้นที่สุดในปี 2562 10 ตระกูลแรกคือรัตนาวะดี ปราสาททองโอสถ โอสถานุเคราะห์ เพ็ชรอำไพ ตั้งคารวคุณ กาญจนพาสน์ จิราธิวัฒน์ อาหุนัย ธีระโกเมน และโพธารามิก คิดความมั่งคั่งของ 10 ตระกูลนี้เป็นตัวเลขกลมได้ที่ 662,000 ล้านบาท
ทีนี้ก็มาดูรายชื่อมหาเศรษฐีหุ้นไทยที่ผมรู้สึกสนใจ ใน 500 คนนี้มีเด็กอยู่ 3 คน คือ ด.ช.กอกฤษต สุริยวนากุล ทายาทโกลบอลเฮาส์ อยู่อันดับที่ 147 รวย 2,403 ล้านบาท ด.ช.พีระ จรูญเอก อันดับที่ 394 รวย 792 ล้านบาท และ ด.ญ.รดา จรูญเอก อันดับที่ 394 เหมือนกัน รวยเท่ากันคือ 792 ล้านบาท 2 คนหลังเป็นทายาทเจ้าของออริจิ้น
คนต่อมา ยืนยง โอภากุล หรือพี่แอ๊ด คาราบาวผู้ขับขานบทเพลงคนจนผู้ยิ่งใหญ่ อยู่อันดับที่ 53 มีมูลค่าหุ้น 5,744 ล้านบาท ได้รับเงินปันผลไป 77,528 ล้านบาท ถือว่าได้รับเงินปันผลมากสุดเป็นอันดับ 139 จาก 150 คน ยังไม่หมด ลินจง โอภากุล ภรรยาพี่แอ๊ด ครองอันดับที่ 167 รวยที่ 2,130 ล้านบาท ณิชา โอภากุล อันดับที่ 263 รวย 1,265 ล้านบาท อันดับที่ 267 นัชชา โอภากุล รวย 1,237 ล้านบาท และวรมัน โอภากุล อันดับที่ 271 รวย 1,222 ล้านบาท 3 คนหลังคือลูกพี่แอ๊ดครับ ตระกูลนี้อยู่อันดับที่ 26 ของตระกูลเศรษฐีหุ้นไทย ครอบครองมูลค่าหุ้นทั้งหมด 11,599 ล้านบาท
ถ้าจำกันได้ ตอนปี 2548 วรมัน โอภากุล เคยตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันพรากผู้เยาว์เด็กหญิงอายุ 13 ปี เพื่อกระทำชำเราและถ่ายคลิปวิดีโอไว้แบล็กเมล์ แต่ศาลยกฟ้อง ตอนนี้เขาเป็นตำรวจไปแล้ว เท่าที่ค้นในเน็ตได้ติดยศร้อยโท แต่งงานกับสายธาร พรประเสริฐมานิต ทายาทเจ้าของโรงงานผลิตและจำหน่ายเครื่องครัวอะลูมิเนียม ย่านอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร
วิกรม กรมดิษฐ์ มหาเศรษฐีพอเพียงผู้มีความสุขง่ายๆ ด้วยการขับรถสปอร์ตบนเขาใหญ่ รวยอันดับที่ 67 มูลค่า 4,783 ล้านบาท ตระกูลกรมดิษฐ์อยู่อันดับ 69 กับมูลค่าหุ้น 5,440 ล้านบาท
เพาพิลาส เหมวชิรวรากร ภรรยาของ ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร นักลงทุนสายเน้นคุณค่า ติดอันดับที่ 92 รวย 3,656 ล้านบาท จากการถือหุ้น CPALL หรือ 7-11 จำนวน 45 ล้านหุ้น ส่วนตัว ดร.นิเวศ อยู่อันดับที่ 241 รวย 1,370 ล้านบาท พิสชา เหมวชิรวรากร อยู่อันดับที่ 307 รวย 1,084 ล้านบาท เป็นตระกูลมหาเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 57 ของไทย ครอบครองความมั่งคั่ง 6,110 ล้านบาท
ยังมีมหาเศรษฐีหุ้นหน้าใหม่ 2 คนที่ขึ้นมาครองอันดับ 23 โดยทันทีคือเจริญ สิริวัฒนภักดีและวรรณา สิริวัฒนภักดี รวยคนละ 10,330 ล้านบาทจากการถือหุ้น SEG หรือบริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ศูนย์รวมการเงินของกลุ่มสิริวัฒนภักดี ทำให้ขึ้นมาเป็นตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยอันดับที่ 19 โดยทันทีด้วยมูลค่าหุ้น 20,661 ล้านบาท แต่ยังมีหุ้นที่เจ้าสัวเจริญถืออยู่แต่ไม่ได้ถูกนับเข้ามาด้วย ได้แก่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด เป็นบริษัทในกลุ่มทีซีซี ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่นที่ทำธุรกิจหลักในด้านอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ แล้วยังมีเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) โออิชิ กรุ๊ป (OISHI) แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) ยูนิเวนเจอร์ (UV) เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (FPT) อินทรประกันภัย (INSURE) และอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง (AMARIN)
ล่าสุด ยังมีข่าวว่าจะมีการนำบริษัทย่อยของไทยเบฟที่ขายเบียร์-เหล้า ขาย IPO ที่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เก็งกันว่าเจ้าสัวเจริญจะได้เงินเข้ากระเป๋า 3.02 แสนล้านบาทจากงานนี้ ถือเป็น IPO รายใหญ่สุดของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในรอบเกือบ 10 ปี ดังนั้น ที่เห็นว่าตระกูลสิริวัฒนภักดีอยู่อันดับ 19 อาจเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะนับแค่หุ้น SEG แต่ไม่ได้นับหุ้นบริษัทอื่นๆ ที่ตระกูลนี้ถือครองทั้งในและนอกประเทศ ไม่ต้องนับสินทรัพย์ที่อยู่นอกตลาดหุ้นอีกนะครับ ซึ่งไม่รู้ว่ามีอีกเท่าไหร่
ส่วนเสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล แห่งบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) ที่ตอนนี้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดอันดับที่ 141 ด้วยมูลค่าหุ้น 2,500 ล้านบาท
มีนักร้องที่รวยที่สุดแล้ว ก็ต้องมีนักเขียนที่รวยที่สุดของไทยด้วย ผู้นั้นคือประภาส ชลศรานนท์ ติดอันดับมหาเศรษฐีหุ้นไทยที่ 172 ความมั่งคั่งของเขา 2,056 ล้านบาท นี่อาจเป็นเคล็ดลับหนึ่งให้เขามีเวลาหาเรื่องราวมาเขียนก็ได้ ทำเป็นเล่นไป ประภาสรวยกว่าเปรมชัย กรรสูต (ผู้ติดวิบากกรรมเสือดำ) ที่อยู่อันดับ 257 มูลค่าหุ้น 1,306 ล้านบาท
เชื่อว่าหลายคนสงสัยว่าทำไมไม่มีชื่อธนินทร์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือทำไมเจริญ สิริวัฒนภักดี ถึงอยู่แค่อันดับ 23 ก็ต้องบอกว่ามันเป็นการคิดจากมูลค่าหุ้น และแน่นอนว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้ยังมีสินทรัพย์อีกมากที่ไม่ได้อยู่ในหุ้น
เอาล่ะ ผมจะชวนไปดูข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากงานศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า เงินฝากมีการกระจุกตัวสูงโดยผู้ฝากรายใหญ่สุดร้อยละ 10 มีเงินฝากรวมถึงร้อยละ 93 ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด และคนไทยกว่าครึ่งมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ แต่ครึ่งหนึ่งของผู้ฝากมีเงินในบัญชีไม่ถึง 3,142 บาท และมีเพียงร้อยละ 0.2 ที่มีเงินในบัญชีมากกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่าร้อยละ 32.8 ของผู้ฝาก หรือ12.2 ล้านคน มีเงินในบัญชีไม่เกิน 500 บาท ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ฝากถึง 4.7 ล้านคนมีเงินในบัญชีไม่ถึง 50 บาท
ผมไม่ขอสรุปอะไร ให้ข้อมูลอธิบายตัวมันเอง...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in