#หนังสือชีวประวัติที่สร้างแรงบันดาลใจให้มีพลังใจไฟฝันโรแมนติกดราม่าคอมเมดี้
.
ชื่อหนังสือ : #becoming #มิเชลล์โอบามา
ผู้เขียน : มิเชลล์ โอบามา
ผู้แปล : นุชนาฎ เนตรประเสริฐศรี
.
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวของ มิเชลล์ ชีลด์ส โรบินสัน จนมาเป็น มิเชลล์ โอบามา เล่าตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กจนถึงวันสุดท้ายที่เธอดำรงตำแหน่งสตรีหมายเลขหนึ่งเคียงข้างประธานาธิบดี บารัค โอบามา
.
สิ่งที่รู้สึกหลังจากอ่านจบคือผู้หญิงคนนี้เก่งรอบด้านจริงๆ เธอผ่านอะไรมามากมายทั้งเรื่องครอบครัว และชาติกำเนิดของเธอที่เธอเป็นคนผิวสี ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ว่าสมัยก่อนการเหยียดสีผิวรุนแรงแค่ไหน ซึ่งเธอโตมาในครอบครัวที่ปู่ย่าตายายของเธอ ได้รับผลกระทบจากการเป็นชนกลุ่มน้อย การแบ่งแยก พวกเขา พวกเรา แต่พ่อแม่ของเธอก็ไม่เคยใส่ความคิดให้เธอรู้สึกแปลกแยก แต่สอนให้ภูมิใจในชาติกำเนิด และมุ่งสนับสนุนลูกๆของพวกเขาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ที่จะนำพาให้พวกลูกๆของเขามีหนทางที่จะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างเข้มแข็ง แม่ที่ยอมลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกๆอย่างเต็มที่ กับพ่อที่ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดทั้งที่ตัวเองป่วยปวดขาจนเดินแทบไม่ได้ก็ยังไปทำงาน เราอ่านถึงหน้าที่พ่อของมิเชลล์ปวดขามาก เท้าบวม คอบวม แต่ก็ยังจะพยายามไปทำงานจนวันที่พ่อจากเค้าไป ทำเราเอาน้ำตาซึม เพราะขนาดเป็นเราที่แค่เป็นคนอ่าน เรายังนึกย้อนกลับไปเลยว่า " โห้!!! โคตรจะเป็นพ่อที่เสียสละมากๆๆๆ แล้วมาวันนี้พอถึงวันที่ลูกสาวและลูกชายที่เค้ารักประสบความสำเร็จ แต่เค้าไม่อาจอยู่ดูความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของลูกได้ " ???
.
เศร้าดราม่าจากพาร์ทของพ่อของมิเชลล์แล้ว พาร์ทความรักของมิเชลล์ที่ได้เจอกับบารัค คือโอ้โห้!!!!! เขินไม่ไหวแล้วแม่ ม้วนเป็นเลขแปดแล้วแม่ จริงๆจร้า??? นิยายแจ่มใสมากแม่!!!! ยิ่งทำให้ชั้นชอบบารัค โอบามาเข้าไปอีก ก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นแฟนคลับหรอก แต่แค่จำได้ว่าสมัยก่อนเวลาเปิดทีวีเจอข่าวบารัค โอบามาพูดนั้นนี้ ฟังไม่ออกหรอก แต่เคยพูดกับเพื่อนว่า "เมิงกูว่าท่านบารัคนี้เสียงแกเซ็กซี่เนอะ ทุ้มๆ รังสีความอบอุ่นมันมีเมิง" นี่คือความคิดของประชากรหญิงโลกที่สามเองจร้า ?? แล้วเชื่อม่ะ คุณแม่มิเชลล์ก็คิดแบบนั้น กรี๊ดดดด ผู้หญิงส่วนใหญ่มันจะแพ้ทางผู้ชายทำงานเก่งมีความคิดเว้ยแกร๋!!!! บารัคนี้คือเรียนฮาร์วาร์ดคือเป็นคนดังในฮาร์วาร์ดเลยแระ มีบางอย่างในตัวบารัคที่เธอไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ ไม่มีความเป็นระเบียบ ถ้าเป็นมิเชลล์สมัยวัยทีนที่ไฟแรงมีความมุ่งมั่น มีหวังบารัคไม่มีทางได้เป็นแฟนกับมิเชลล์หรอก แต่นี้พอได้พูดคุยกัน เอ้อ!!!!คุณแม่มองข้ามสิ่งที่ไม่ชอบได้หมดเลยจร้า และอีกอย่างที่สำคัญเลยคือทั้งคู่คุยกันถูกคอมองไปในทิศทางเดียวกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน และบารัคเป็นคนรักครอบครัวด้วย เค้าให้ความสำคัญความอบอุ่นกับครอบครัวเสมอ วี๊ดวิ้ววววว!!! Family man ไปอีก พ่อคุณเอ้ย!!!!!
.
ในพาร์ทของการเมืองนี้เข้มข้นน้ำต้มกระดูกหมูเวอร์!!! เราไม่เคยรู้ว่าการเมืองอเมริกาในช่วงเวลาหาเสียงจะโหดและจริงจังขนาดนั้น แต่ก็นะ ประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจนะเว้ย!!! ไม่เคยรู้ว่าจริงจังถึงขั้นต้องมีนักจัดตารางเวลา ในระหว่างช่วงเวลาหาเสียงบารัคก็โดนโจมตีหลายเรื่อง ทั้งเรื่องว่าเค้าเป็นชาวอเมริกันจริงมั๊ย เค้านับถือศาสนาอิสลาม หรือเค้าเป็นคนผิวสีหัวรุนแรง หรือแม้กระทั่งมิเชลล์เองที่โดนบิดเบือนว่าเธอเป็นคนเกรี้ยวกราดไม่รักชาติจากการตัดต่อวิดิโอที่เธอขึ้นพูดปราศัย ทำให้ส่งผลต่อบารัค แต่ทั้งคู่ก็เข้าใจซึ่งกันและกัน และผ่านมันมาได้ จนได้เป็นประธานาธิบดีและสตรีหมายเลขหนึ่งและเป็นคนผิวสีคู่แรกที่ได้อยู่ในทำเนียบขาว??
.
หลังจากได้รับตำแหน่งแล้วทั้งคู่ก็ต้องย้ายไปอยู่ทำเนียบขาวเราอ่านถึงตรงนี้ เรายังรู้สึกหายเหนื่อยไปกับพวกเขาเลย แต่ปัญหาในช่วงแรกคือความไม่ชินต่อการอารักขาขั้นสูงสุดของครอบครัวหมายเลขหนึ่งของสหรัฐ จนบางครั้งมันทำให้เธออึดอัด แต่เธอก็ผ่านมาได้ หรือแม้แต่การโดนวิจารณ์เรื่องการแต่งตัวที่เราอ่านแล้วก็นึกขำ ที่มิเชลล์บอกว่า เธอใส่กางเกงขาสั้นลงจากเครื่องแอร์ฟอร์ซวัน ในวันที่อากาศ 40 องศา แล้วกลายเป็นพาดหัวข่าว??? ให้เราคิดว่าถ้าเป็นชั้นกลับเข้าห้องไปแล้วไปตะโกน "โว๊ยยยยยย ดูอากาศด้วย อะลุ่มอะล่วยกูหน่อย ร้อนตับจะแตกอยู่แล้วววว อย่าวิจารณ์กูเยอะ"??? คือทั้งหมดไม่ว่ามิเชลล์จะทำอะไรต้องปรึกษาทีมงานของบารัคก่อน แม้กระทั่งจะตัดผมหน้าม้า เชี้ยยย!!! ผมกูนะผมกู ส่งผลต่อคะแนนนิยมผัวไปอี๊ก วรั๊ย!!!!? (มองในมุมชาวบ้าน)???
.
สำหรับผลงานของมิเชลล์ เราชอบโครงการที่เธอทำในฐานะสตรีหมายเลขหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการปลูกผักปลอดสารพิษในทำเนียบขาวจนขยายออกไปสู่โครงการที่ช่วยดูแลสุขภาพของเด็กให้ได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหารที่ดีและลดปัญหาโรคอ้วนในเด็ก และชอบตอนที่เธอไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งในอังฤษที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และเป็นผู้อพยพ เธอพูดให้กำลังใจเด็กว่าไม่สำคัญว่าเธอจะมาจากไหนแต่สิ่งสำคัญขอให้พวกเธอตั้งใจเรียนเพื่อชีวิตของพวกเธอเอง เธอได้เชิญเด็กนักเรียนเหล่านี้มาที่ทำเนียบขาวด้วยเพื่อให้เด็กตระหนักรู้ว่า ถ้าเธอทำได้และมาได้ไกลขนาดนี้ได้ พวกเขาก็สามารถทำได้เช่นกัน เชื่อมั๊ยว่าหลังจากที่เด็กนักเรียนกลับไปคุณครูก็รายงานผลการเรียนมาให้มิเชลล์ดูแล้วพบว่าผลการเรียนของนักเรียนมีเปอร์เซ็นที่ดีขึ้น เราว่านี่แระมันแสดงให้เห็นว่าแรงบันดาลใจที่เราได้ไปสัมผัสมันจริงๆ มันเป็นแรงผลักดันที่ดีได้???
.
จากดำรงตำแหน่งครอบครัวหมายเลขหนึ่งสองสมัยซ้อน (ประธานาธิบดีสหรัฐจะเป็นได้แค่สองสมัยเท่านั้น) ก่อนที่จะอำลาตำแหน่งเธอก็ได้ช่วยฮิลลารี คลินตัน หาเสียงต่อ เห็นได้ชัดว่าเธอ ไม่ชอบ โดนัลล์ ทรัมป์เอามากๆๆ???? เราอ่านแล้วขำปนหดหู่ตอนที่เธอรู้ว่า ทรัมป์จะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เธอบอกว่า "ฉันอยากจะปิดตัวเองจากความจริงนั้นให้นานเท่าที่จะทำได้ รุ่งขึ้นฉันตื่นมาเจอเช้าที่หม่นมัวเฉอะแฉะ ท้องฟ้าทึมเทาครอบคลุมวอชิงตัน ฉันอดตีความไม่ได้ว่าช่างเหมือนงานศพ!!!" ??? ถ้าชาวบ้านแบบเราก็จะพูดว่า ชิบหายแล้วเมิงเอ้ย!!! แล้วก็มีตอนนึง ตอนที่ ทรัมป์ต้องไปทำพิธีสาบานตนที่มิเชลล์บอก "ฉันเลิกแม้แต่พยายามที่จะยิ้ม" ซี๊ดดดดดดดด!!!! ฟาดมากค่ะแม่???
.
เล่มนี้สำหรับเราให้ 10/10 เราชอบคำนึงในหนังสือคำว่า "ชุบชูใจ" ใช่หนังสือเล่มนี้มันให้ความหมายแบบนั้นจริงๆ มันทำให้เราเห็นถึงความพยายาม ความมุ่งมั่น ความเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น สิ่งเหล่านี้แระที่มันโคตรจะ"ชุบชูใจ"
.
#fernerydiary
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in