เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ใกล้shit เวียดนามwhenwehavetime
ตอนที่ 2 - แผนการ
  •     หลังจากหาข้อมูลเกี่ยวกับเวียดนามจนครบ 

    อาการต่อมาคือ อาการตื่นเต้นที่จะได้ไปเวียดนาม เหมือน.. เด็กเตรียมตัวรอการเปิดเทอมวันแรกยังไงยังงั้น! สิ่งหนึ่งที่เราเตรียมพร้อมกันมาแน่นมากที่สุดในทริปนี้ คือ เรื่องเกี่ยวกับยานพาหนะที่ต้องใช้เดินทางในประเทศเวียดนาม เพราะเราต้องไปถึงสามเมืองด้วยกัน ได้แก่ โฮจิมินห์-มุยเน่-ดาลัด ซึ่งแต่ละที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันซักกะบิเดียว ลองคิดดูว่า เรากำลังจะไปประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีถนนที่วุ่นวายและหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะงั้นคนไทยหน้าเมือกๆห้าคนจึงพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางที่นั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย

    และนี่คือผลจากการหาข้อมูลอย่างเอาเป็นเอาตาย ของพวกเรา…


    อีฟ: เดี๋ยวเราจะต้องผ่านถนนเส้นนี้..เอิ่มม อ่านว่าอะไรอะ..ไม่แน่ใจ .. ‘Nguyễn’
    มิ้น: ..งูเย็น?
    อีฟ: แป้งเย็นตรางู?
    มิ้น: ทาถู ทาถู
    เรา: นั่นยาหม่อง..
    อีฟ: เออเนอะ เค้าอาจจะเกิดที่ถนนงูเย็น
    ..

    มันจะเป็นไปได้ไงละโว้ยย!
    เอาใหม่นะ …พวกมึง..ตั้งสติหน่อย…


    และนี่คือผลจากการหาข้อมูลอย่างเอาเป็นเอาตายของพวกเรา สรุปเป็นแผนเดินทางคร่าวๆได้ดังนี้

    ไปกันทั้งหมด 5 คน ได้แก่
    มิ้นท์ - อดีตเพื่อนร่วมมหาลัย ปัจจุบันทำงานฟรีแลนซ์กับขายของออนไลน์ด้วยกัน
    อีฟ - เดิมทีเป็นเพื่อนสมัยมัธยมกับมิ้นท์มาก่อน และมิ้นท์มาแนะนำให้เรารู้จักเมื่อตอนไปเที่ยวเกาหลี
    แม่อีฟ - คุณแม่ของอีฟ
    พี่ต้า - พี่ต้าเป็นรุ่นพี่ที่อีฟชวนมาเวียดนามด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า พี่เค้าชอบเที่ยว
    และคนสุดท้ายคือ เราเอง.

    สถานที่ - เวียดนามใต้ 

    วันแรก เครื่องลงที่โฮจิมินห์ - นั่งรถเมล์ไปซื้อตั๋วรถนอน - นั่งรถนอนไปมุยเน่ - นอนมุยเน่
    วันที่สอง เที่ยวมุยเน่ครึ่งวัน - นั่งรถไปดาลัด - นอนดาลัด
    วันที่สาม อยู่เที่ยวที่ดาลัดทั้งวัน - นอนดาลัด
    วันที่สี่  นั่งเครื่องจากดาลัดกลับโฮจิมินห์ - นอนโฮจิมินห์
    วันที่ห้า นั่งเครื่องจากโฮจิมินห์ กลับกรุงเทพ

    *ส่วนการเดินทางยิบย่อย ของแต่ละที่ จะใช้บริการแท๊กซี่ ไม่ก็เดินเอา*


    เอาน่ะ  ในขณะที่คนอื่นเค้าวางแผนไปเนปาลเพื่อพิชิตหิมาลัยกัน ยังมีอีคนไทยห้าหน่อวางแผนไปเวียดนามเพื่อพิชิตถนนและเส้นทาง (จะเอาอะไรกับพวกเรา แค่อยู่บ้านเฉยๆยังเดินชนโต๊ะเตะเก้าอี้ การจะพิชิตถนนหนทางที่เวียดนามเนี่ยก็ถือว่า เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์สำหรับพวกเราแล้วนะเว้ย)


  • ขึ้นเครื่อง


    ตามกำหนดการเครื่องบินเราออกประมาณ เจ็ดโมงครึ่ง
    นั่นคือ เช้า ชิบ หาย!
    บ้าจริง…
    แหกขี้ตาไปถึงสนามบินกันตั้งแต่ ตีห้าครึ่ง
    ...

    และอีฟยังมาไม่ถึง

    ขอแนะนำให้รู้จัก อีฟ อีฟเป็นผู้หญิงไทยใจงามธรรมดาทั่วไป เป็นมิตรกับสัตว์โลก รักธรรมชาติ ปลอดภัยไร้สารพิษ นอกจากนี้ อีฟยังเป็นผู้หญิงที่โคจรรอบตัวเอง คาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์มาตรฐานใดใดบนโลกใบนี้ รวมไปถึงมาตรฐานของเวลา …

    เอ๊า รออะไร โทรตามสิ

    ..

    ไม่รับ

    โอเคไม่เป็นไร ยังมีเวลานั่งกินข้าวกับมิ้นท์รออย่างใจเย็น
    ถ้าอีฟกับแม่ยังไม่มา ก็เหลือใครหว่า...      อ้อ เหลือพี่ต้า

    เรา: นี่มิ้นท์ แล้วพี่ต้าเค้ามายังวะ
    มิ้นท์: ไม่รู้ดิ จะไปรู้ได้ไง เรายังไม่เคยเจอเค้าเลย

    ใช่ มิ้นท์กับเรายังไม่เคยเจอพี่ต้า อีฟแนะนำพี่ต้าให้เรารู้จักสั้นๆว่า พี่ต้าเป็นวิศวะกร เป็นรุ่นพี่ที่ AFS
    แค่นั้นจบ. ละนอกนั้นคือการรอพบเจอพี่ต้าด้วยตัวเองคือวันที่ไปเที่ยวเลย..

    แล้วมันดันตลกมากที่ไม่มีใครคิดสงสัยหรือถามข้อมูลเพิ่มเติมอะไรจากการแนะนำของอีฟเลยนะ ตลอดเวลาที่วางแผนไปเวียดนามที่ผ่านมาเนี่ย

    แล้วยังไงละ ทีนี้
    ลองโทรหาอีฟใหม่อีกรอบ

    ..
    อีฟยังคงทำตัวเป็น ดาวเคราะห์น้อยหลุดวงโคจร ที่ติดต่อสื่อสารไม่ได้
    ยังไง ต้องให้กูกรีดเลือดอันเชิญมึงมั้ย

    หลังจากที่อีฟยังไม่รับสายอยู่นานในระดับเริ่มสร้างความชิบหายร้อนรนให้กับทุกคน และในที่สุด! อีฟก็รับสายพร้อมบอกว่า พี่ต้าน่าจะถึงแล้ว และก็ให้เบอร์ติดต่อพี่ต้ามา ส่วนตัวอีฟเองน่ะหรอ

    หึหึ เพิ่งออกจากบ้าน


    เอาน่า จังหวะนั้นดีใจที่มันรับสาย มากกว่าจะสรรหาคำมาด่ามันละกันนะ


    อะอะ เอาล่ะ ติดต่อพี่ต้ากันก่อน

    มิ้นท์: ฮัลโหล พี่ต้านะคะ นี่มิ้นท์เพื่อนอีฟนะ พี่ต้าอยู่ไหนแล้วเหรอคะ
    พี่ต้า: อ่อ อยู่สนามบินแล้ว รออยู่ตรงเคาน์เตอร์น่ะ
    มิ้นท์: อ่อโอเคๆ นี่พวกมิ้นท์เพิ่งกินข้าวเสร็จ เดี๋ยวลงไปหานะๆ
    พี่ต้า: โอเคครับ

    ติ๊ด วางสาย

    เรา: แล้วมึงรู้เหรอว่า หน้าตาเค้าเป็นยังไง
    มิ้นท์: เออ ไม่รู้ ..
    เรา: …

    ดูยังไงก็เหมือน การลักลอบนัดขนยาบ้าเข้าสนามบิน…

    เวลาเจ็ดโมงเช้า อีฟมาถึงสนามบิน
    พร้อมกับคำสารภาพว่า เพิ่งตื่นตอนที่มิ้นท์โทรศัพท์หาประมานสายที่สี่ได้ แถมยังมองโลกแง่สว่างสุดๆ ว่าขนาดตื่นสายยังมาทันเวลานะเนี่ย

    ชิ มันน่าจับทุ่มด้วยกระเป๋าเดินทางจริงๆ


  •  แลกเงิน


    ระยะเวลาเดินทางจากไทยไปสู่สนามบินโฮจิมินห์ไม่นานเท่ารออีฟเมื่อเช้า

    50 นาทีเอง ...อย่างกะไปเชียงใหม่

    ทันทีที่ประตูเครื่องเปิด อีฟตื่นเต้นที่สุดที่จะได้ออกไปพบประเทศเพื่อนอาเซียนของเรา อีฟเดินออกไปอย่างไม่รีรอใคร ยกกระเป๋า เตรียมลากกระเป๋าตัวเองแล้วส่งสายตาดุดัน เหงื่อแตกพลั่กๆ หันมาหาเราเป็นนัยๆว่า ‘เจอกันข้างนอกนะ’ ก่อนหันตัวลากกระเป๋าแรง ด้วยอินเนอร์แบบนักล่าฝันเอเอฟที่ตกรอบกำลังลากกระเป๋าลงเวทีอย่างมีศักด์ศรี แหวกฝูงคน แหวก แหวก แหวก จนไปถึง..    ห้องน้ำ

    อ้อ อีฟปวดขี้


    สวัสดีประเทศเวียดนาม ยินดีกับการต้อนรับของเพื่อนเรามั้ย?


    สิ่งแรกที่เราทำกันหลังจากถึงเวียดนาม ..
    คือ รออีฟขี้

    เฮ้ย ไม่ใช่!
    คือการ แลกเงินต่างหาก

    เนื่องจากค่าเงินเวียดนาม มีเรทต่ำกว่าเงินไทยมาก (10,000vnd = 16 บาท) นั่นหมายความว่า ขากลับ ถ้าเงินเหลือ จะหาที่แลกคืนเป็นเงินไทยยาก โดยเฉพาะถ้าเป็นเศษ เพราะส่วนใหญ่เขาจะไม่รับแลกคืนกัน ทางที่เราจะทำก็คือ..

    แลกเงินเป็นสองสกุล

    • กองที่ 1 แลกจากบาทเป็นดอลลาร์ก่อน จากนั้นเอาไปแลกเป็นด่ง (THB > USD > VND)
      สาเหตุที่เราทำแบบนี้ เพราะค่าเงินดอลล่าร์มันจะได้เยอะกว่า ที่เราเอาเงินบาทไปแลกเป็นเงินด่งตรงๆ เงินกองนี้เราจะใช้สำหรับออกค่าใช้จ่ายใช้สอยประจำวันทั่วไป เช่น ค่ากิน ค่าช๊อปปิง ค่ารถ

    • กองที่ 2 แลกจากบาทเป็นดอลล่าร์ ( THB > USD)
      ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายจำนวนมาก เช่น ค่าที่พัก แล้วก็เก็บไว้เป็นสำรอง เผื่อเงินด่งที่แลกมาไม่พอ ซึ่งเหลือยังไงซะ เงินดอลล่าร์ก็แลกกับเป็นเงินบาทได้อยู่ดี

    อ้อ อย่าลืมเช็คเรทค่าเงินกันดีๆก่อนไปเที่ยวนะครับ ท่านผู้ชม …

    พอแลกเป็นเงินด่ง อยู่ๆเราก็มีเงินรวมกันเกือบ ยี่สิบล้าน...
    นี่กูมาเที่ยวหรือมาซื้อประเทศฮะ

    ...

    อะ ตัดกลับมาที่เรากำลังจะเดินออกมาจากสนามบิน..

    เดี๋ยวนะ นี่เราออกมาจากไทยแล้วใช่มั้ย? ทำไมบรรยากาศมันฟิลลิ่งโฮมๆแบบนี้



    สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ หารถไปถนนฟามงูเหลาเพื่อไปหาซื้อตั๋วรถนอนไปยังมุยเน่วันนี้ (เรา walk-in ไม่ได้จองตั้งแต่ที่ไทยมา) เทพเจ้าพันทิปบอกเรามาว่า ออกจากประตูสนามบินมาแล้วเลี้ยวขวา มองหารถเมล์สีเขียวสาย 152 จะไปถึงถนนฟามงูเหลาได้...

    และเป๊ะ มาก
    เหยดดดดดดด เทพเจ้าพันทิพย์แม่งศักศิษย์จริง! (ไหว้)

    พอเลี้ยวขวาจากสนามบินปุ๊บ มีรถเมลล์สีเขียวสาย 152 ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเราปั๊บ
    แม่นซะจน อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่ามันจอดรอพวกเราอยู่

    ขอบคุณ ...เทพเจ้าพันทิปสำหรับข้อมูลที่แม่นยำ


  • 152


    บอกตามตรงอย่างกระแดะว่า จริงๆแล้วเรานั่งรถเมล์ไม่เป็น
    เราถือว่าศาสตร์การนั่งรถเมล์ เป็นเรื่องเล้นลับชนิดที่ว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่

    ไม่ใช่เพียงเพราะว่า เวลาเราจะขึ้น เราไม่รู้ว่ารถคันนี้ไปไหน แต่เรายังเสือกไม่รู้อีกว่าตอนนี้ 
    กูอยู่ที่ไหนแล้ว แล้วป้ายที่จะลงมันอีกกี่ป้าย ...เราจึงจัดอยู่ในระดับนักนั่งรถเมล์ขั้นห่วย
    ไม่รู้ว่าตัวเองห่วยอะไรมากกว่ากันระหว่างนั่งรถเมล์กับการเข้าสังคม


    รถเมล์สาย 152 เริ่มล้อหมุนไม่นานนักหลังจากเราหย่อนตูดนั่ง มิ้นท์กับอีฟและแม่อีฟก็นั่งคุยบันเทิง รื่นเริงจิตกันไปเรื่อยเปื่อย พี่ต้ายังนั่งยิ้มอย่างไม่ชินเพราะยังไม่รู้จักพวกเรา แต่ก็จนกระทั่งฝรั่งที่นั่งข้างๆมิ้นท์หันมาทักทาย

    ฝรั่งนั่งข้างๆมิ้นท์: โอ้ว ยู กายส์ มาจากไทยเหรอ (แปลเป็นไทยใจความประมาณนี้)
    อีฟ: ช่ายแล้วว พวกไอมาจากไทย

    การมีเพื่อนอัธยศัยดีคุยกับคนเก่งอย่างมิ้นท์กับอีฟ ไปที่ไหนมักคุยกับคนอื่นได้อย่างน่าเอ็นดู คุยได้คุยดี บางทีก็อยากรู้ว่ามันใช้อะไรแปรงฟัน ทำไมมันถึงเข้ากะคนง่ายขนาดงี้  บ่อยครั้งการที่มีพวกนี้มักคอยช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ พูดให้แทนหรือต่อรองให้เสมอ ทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย และทำให้เราไม่เกร็ง นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างหนึ่งสำหรับคนเข้าสังคมไม่เก่งแบบเรา

    ดีใจมากที่พวกนี้ยอมมาช่วยงานที่เวียดนาม
    เพราะมันทำให้การมาเวียดนามครั้งนี้ เราดูไม่เป็นอีใบ้น้อยผจญภัยในต่างแดน

    แน่นอนว่าบทสนทนากับฝรั่งนั่งข้างๆไม่ได้จบลงเพียงแค่ ‘ช่ายแล้วว พวกไอมาจากไทย’
    เพราะระดับอีฟมิ้นท์แล้ว มึงกล้าหงายไพ่ทักทาย พวกกูก็กล้าเปิดไพ่คุยต่อ แถมเพิ่มชุดใหญ่จากแม่อีฟ และพี่ต้าที่มาผสมโรงด้วยอีก คุยไปยิ้มไป น้ำไหลไฟดับ  สปีคอิงลิช กันสนุกสนาน หึ ไปฉี่เผื่อได้เลย คุยให้เพลิน หัวเราะจมูกบาน

    ถามไถ่ไปเรื่อย ได้ความว่าฝรั่งคนนี้แกชื่อ มิสเตอร์ อาวี่ ทำงานเปิดร้านเหล้าอยู่ที่ไทย ชื่อร้าน Let the boy die (มีแอบฝากร้าน) แว๊บมาเที่ยวเวียดนามเฉยๆ ...จนสุดท้ายถึงป้ายที่เราจะต้องลงรถเมล์ อาวี่ประทับใจกับความคุยเก่งเป็นมิตรระดับนางงามมิตรภาพของอีฟมิ้นท์เอามากๆ แถมมีหยอดแม่อีฟว่า 'คุณแม่ยิ้มสวยมากๆครับ' เพราะทำให้เค้าถึงขั้นออกค่าตั๋วรถเมล์เที่ยวนั้นให้พวกเราทั้งหมด แม้ว่ามันจะราคาไม่มาก แต่ก็ทำเราตื่นตันกันโคตรๆ จัดเข้าหมวดเรื่องดีต้อนรับเราที่เวียดนามได้เลย

    ราคาตั๋วรถเมล์

    10.000vnd/คน รวมกระเป๋า
    *5.000vnd/คน แบบไม่มีกระเป๋าเดินทางนะจ๊ะ

    ดีนะคุยกันได้แปบเดียว นั่งมาไม่กี่ป้ายเอง ถ้านั่งรถนานไปกว่านี้ อาวี่คงเซ็นสัญญายกหุ้นส่วนร้านเหล้าให้เราไปแล้ว อิอิ

    ..


    เรายังขอบคุณตัวเองอีกครั้งที่บังเอิญมีเพื่อนคุยเก่ง :D


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in