หลังจากหาข้อมูลเกี่ยวกับเวียดนามจนครบ
อาการต่อมาคือ อาการตื่นเต้นที่จะได้ไปเวียดนาม เหมือน.. เด็กเตรียมตัวรอการเปิดเทอมวันแรกยังไงยังงั้น! สิ่งหนึ่งที่เราเตรียมพร้อมกันมาแน่นมากที่สุดในทริปนี้ คือ เรื่องเกี่ยวกับยานพาหนะที่ต้องใช้เดินทางในประเทศเวียดนาม เพราะเราต้องไปถึงสามเมืองด้วยกัน ได้แก่ โฮจิมินห์-มุยเน่-ดาลัด ซึ่งแต่ละที่ไม่ได้อยู่ใกล้กันซักกะบิเดียว ลองคิดดูว่า เรากำลังจะไปประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีถนนที่วุ่นวายและหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะงั้นคนไทยหน้าเมือกๆห้าคนจึงพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางที่นั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย
และนี่คือผลจากการหาข้อมูลอย่างเอาเป็นเอาตาย ของพวกเรา…
อีฟ: เดี๋ยวเราจะต้องผ่านถนนเส้นนี้..เอิ่มม อ่านว่าอะไรอะ..ไม่แน่ใจ .. ‘Nguyễn’
มิ้น: ..งูเย็น?
อีฟ: แป้งเย็นตรางู?
มิ้น: ทาถู ทาถู
เรา: นั่นยาหม่อง..
อีฟ: เออเนอะ เค้าอาจจะเกิดที่ถนนงูเย็น
..
มันจะเป็นไปได้ไงละโว้ยย!
เอาใหม่นะ …พวกมึง..ตั้งสติหน่อย…
และนี่คือผลจากการหาข้อมูลอย่างเอาเป็นเอาตายของพวกเรา สรุปเป็นแผนเดินทางคร่าวๆได้ดังนี้
ไปกันทั้งหมด 5 คน ได้แก่
มิ้นท์ - อดีตเพื่อนร่วมมหาลัย ปัจจุบันทำงานฟรีแลนซ์กับขายของออนไลน์ด้วยกัน
อีฟ - เดิมทีเป็นเพื่อนสมัยมัธยมกับมิ้นท์มาก่อน และมิ้นท์มาแนะนำให้เรารู้จักเมื่อตอนไปเที่ยวเกาหลี
แม่อีฟ - คุณแม่ของอีฟ
พี่ต้า - พี่ต้าเป็นรุ่นพี่ที่อีฟชวนมาเวียดนามด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า พี่เค้าชอบเที่ยว
และคนสุดท้ายคือ เราเอง.
สถานที่ - เวียดนามใต้
วันแรก เครื่องลงที่โฮจิมินห์ - นั่งรถเมล์ไปซื้อตั๋วรถนอน - นั่งรถนอนไปมุยเน่ - นอนมุยเน่
วันที่สอง เที่ยวมุยเน่ครึ่งวัน - นั่งรถไปดาลัด - นอนดาลัด
วันที่สาม อยู่เที่ยวที่ดาลัดทั้งวัน - นอนดาลัด
วันที่สี่ นั่งเครื่องจากดาลัดกลับโฮจิมินห์ - นอนโฮจิมินห์
วันที่ห้า นั่งเครื่องจากโฮจิมินห์ กลับกรุงเทพ
*ส่วนการเดินทางยิบย่อย ของแต่ละที่ จะใช้บริการแท๊กซี่ ไม่ก็เดินเอา*
เอาน่ะ ในขณะที่คนอื่นเค้าวางแผนไปเนปาลเพื่อพิชิตหิมาลัยกัน ยังมีอีคนไทยห้าหน่อวางแผนไปเวียดนามเพื่อพิชิตถนนและเส้นทาง (จะเอาอะไรกับพวกเรา แค่อยู่บ้านเฉยๆยังเดินชนโต๊ะเตะเก้าอี้ การจะพิชิตถนนหนทางที่เวียดนามเนี่ยก็ถือว่า เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์สำหรับพวกเราแล้วนะเว้ย)
ตามกำหนดการเครื่องบินเราออกประมาณ เจ็ดโมงครึ่ง
นั่นคือ เช้า ชิบ หาย!
บ้าจริง…
แหกขี้ตาไปถึงสนามบินกันตั้งแต่ ตีห้าครึ่ง
...
และอีฟยังมาไม่ถึง
ขอแนะนำให้รู้จัก อีฟ อีฟเป็นผู้หญิงไทยใจงามธรรมดาทั่วไป เป็นมิตรกับสัตว์โลก รักธรรมชาติ ปลอดภัยไร้สารพิษ นอกจากนี้ อีฟยังเป็นผู้หญิงที่โคจรรอบตัวเอง คาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์มาตรฐานใดใดบนโลกใบนี้ รวมไปถึงมาตรฐานของเวลา …
เอ๊า รออะไร โทรตามสิ
..
ไม่รับ
โอเคไม่เป็นไร ยังมีเวลานั่งกินข้าวกับมิ้นท์รออย่างใจเย็น
ถ้าอีฟกับแม่ยังไม่มา ก็เหลือใครหว่า... อ้อ เหลือพี่ต้า
เรา: นี่มิ้นท์ แล้วพี่ต้าเค้ามายังวะ
มิ้นท์: ไม่รู้ดิ จะไปรู้ได้ไง เรายังไม่เคยเจอเค้าเลย
ใช่ มิ้นท์กับเรายังไม่เคยเจอพี่ต้า อีฟแนะนำพี่ต้าให้เรารู้จักสั้นๆว่า พี่ต้าเป็นวิศวะกร เป็นรุ่นพี่ที่ AFS
แค่นั้นจบ. ละนอกนั้นคือการรอพบเจอพี่ต้าด้วยตัวเองคือวันที่ไปเที่ยวเลย..
แล้วมันดันตลกมากที่ไม่มีใครคิดสงสัยหรือถามข้อมูลเพิ่มเติมอะไรจากการแนะนำของอีฟเลยนะ ตลอดเวลาที่วางแผนไปเวียดนามที่ผ่านมาเนี่ย
แล้วยังไงละ ทีนี้
ลองโทรหาอีฟใหม่อีกรอบ
..
อีฟยังคงทำตัวเป็น ดาวเคราะห์น้อยหลุดวงโคจร ที่ติดต่อสื่อสารไม่ได้
ยังไง ต้องให้กูกรีดเลือดอันเชิญมึงมั้ย
หลังจากที่อีฟยังไม่รับสายอยู่นานในระดับเริ่มสร้างความชิบหายร้อนรนให้กับทุกคน และในที่สุด! อีฟก็รับสายพร้อมบอกว่า พี่ต้าน่าจะถึงแล้ว และก็ให้เบอร์ติดต่อพี่ต้ามา ส่วนตัวอีฟเองน่ะหรอ
หึหึ เพิ่งออกจากบ้าน
…
เอาน่า จังหวะนั้นดีใจที่มันรับสาย มากกว่าจะสรรหาคำมาด่ามันละกันนะ
อะอะ เอาล่ะ ติดต่อพี่ต้ากันก่อน
มิ้นท์: ฮัลโหล พี่ต้านะคะ นี่มิ้นท์เพื่อนอีฟนะ พี่ต้าอยู่ไหนแล้วเหรอคะ
พี่ต้า: อ่อ อยู่สนามบินแล้ว รออยู่ตรงเคาน์เตอร์น่ะ
มิ้นท์: อ่อโอเคๆ นี่พวกมิ้นท์เพิ่งกินข้าวเสร็จ เดี๋ยวลงไปหานะๆ
พี่ต้า: โอเคครับ
ติ๊ด วางสาย
เรา: แล้วมึงรู้เหรอว่า หน้าตาเค้าเป็นยังไง
มิ้นท์: เออ ไม่รู้ ..
เรา: …
ดูยังไงก็เหมือน การลักลอบนัดขนยาบ้าเข้าสนามบิน…
…
เวลาเจ็ดโมงเช้า อีฟมาถึงสนามบิน
พร้อมกับคำสารภาพว่า เพิ่งตื่นตอนที่มิ้นท์โทรศัพท์หาประมานสายที่สี่ได้ แถมยังมองโลกแง่สว่างสุดๆ ว่าขนาดตื่นสายยังมาทันเวลานะเนี่ย
ชิ มันน่าจับทุ่มด้วยกระเป๋าเดินทางจริงๆ
ระยะเวลาเดินทางจากไทยไปสู่สนามบินโฮจิมินห์ไม่นานเท่ารออีฟเมื่อเช้า
50 นาทีเอง ...อย่างกะไปเชียงใหม่
ทันทีที่ประตูเครื่องเปิด อีฟตื่นเต้นที่สุดที่จะได้ออกไปพบประเทศเพื่อนอาเซียนของเรา อีฟเดินออกไปอย่างไม่รีรอใคร ยกกระเป๋า เตรียมลากกระเป๋าตัวเองแล้วส่งสายตาดุดัน เหงื่อแตกพลั่กๆ หันมาหาเราเป็นนัยๆว่า ‘เจอกันข้างนอกนะ’ ก่อนหันตัวลากกระเป๋าแรง ด้วยอินเนอร์แบบนักล่าฝันเอเอฟที่ตกรอบกำลังลากกระเป๋าลงเวทีอย่างมีศักด์ศรี แหวกฝูงคน แหวก แหวก แหวก จนไปถึง.. ห้องน้ำ
อ้อ อีฟปวดขี้
สวัสดีประเทศเวียดนาม ยินดีกับการต้อนรับของเพื่อนเรามั้ย?
…
สิ่งแรกที่เราทำกันหลังจากถึงเวียดนาม ..
คือ รออีฟขี้
เฮ้ย ไม่ใช่!
คือการ แลกเงินต่างหาก
เนื่องจากค่าเงินเวียดนาม มีเรทต่ำกว่าเงินไทยมาก (10,000vnd = 16 บาท) นั่นหมายความว่า ขากลับ ถ้าเงินเหลือ จะหาที่แลกคืนเป็นเงินไทยยาก โดยเฉพาะถ้าเป็นเศษ เพราะส่วนใหญ่เขาจะไม่รับแลกคืนกัน ทางที่เราจะทำก็คือ..
แลกเงินเป็นสองสกุล
กองที่ 1 แลกจากบาทเป็นดอลลาร์ก่อน จากนั้นเอาไปแลกเป็นด่ง (THB > USD > VND)
สาเหตุที่เราทำแบบนี้ เพราะค่าเงินดอลล่าร์มันจะได้เยอะกว่า ที่เราเอาเงินบาทไปแลกเป็นเงินด่งตรงๆ เงินกองนี้เราจะใช้สำหรับออกค่าใช้จ่ายใช้สอยประจำวันทั่วไป เช่น ค่ากิน ค่าช๊อปปิง ค่ารถ
กองที่ 2 แลกจากบาทเป็นดอลล่าร์ ( THB > USD)
ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายจำนวนมาก เช่น ค่าที่พัก แล้วก็เก็บไว้เป็นสำรอง เผื่อเงินด่งที่แลกมาไม่พอ ซึ่งเหลือยังไงซะ เงินดอลล่าร์ก็แลกกับเป็นเงินบาทได้อยู่ดี
อ้อ อย่าลืมเช็คเรทค่าเงินกันดีๆก่อนไปเที่ยวนะครับ ท่านผู้ชม …
พอแลกเป็นเงินด่ง อยู่ๆเราก็มีเงินรวมกันเกือบ ยี่สิบล้าน...
นี่กูมาเที่ยวหรือมาซื้อประเทศฮะ
...
อะ ตัดกลับมาที่เรากำลังจะเดินออกมาจากสนามบิน..
เดี๋ยวนะ นี่เราออกมาจากไทยแล้วใช่มั้ย? ทำไมบรรยากาศมันฟิลลิ่งโฮมๆแบบนี้
สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ หารถไปถนนฟามงูเหลาเพื่อไปหาซื้อตั๋วรถนอนไปยังมุยเน่วันนี้ (เรา walk-in ไม่ได้จองตั้งแต่ที่ไทยมา) เทพเจ้าพันทิปบอกเรามาว่า ออกจากประตูสนามบินมาแล้วเลี้ยวขวา มองหารถเมล์สีเขียวสาย 152 จะไปถึงถนนฟามงูเหลาได้...
และเป๊ะ มาก
เหยดดดดดดด เทพเจ้าพันทิพย์แม่งศักศิษย์จริง! (ไหว้)
พอเลี้ยวขวาจากสนามบินปุ๊บ มีรถเมลล์สีเขียวสาย 152 ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเราปั๊บ
แม่นซะจน อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่ามันจอดรอพวกเราอยู่
ขอบคุณ ...เทพเจ้าพันทิปสำหรับข้อมูลที่แม่นยำ
บอกตามตรงอย่างกระแดะว่า จริงๆแล้วเรานั่งรถเมล์ไม่เป็น
เราถือว่าศาสตร์การนั่งรถเมล์ เป็นเรื่องเล้นลับชนิดที่ว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่
ไม่ใช่เพียงเพราะว่า เวลาเราจะขึ้น เราไม่รู้ว่ารถคันนี้ไปไหน แต่เรายังเสือกไม่รู้อีกว่าตอนนี้
กูอยู่ที่ไหนแล้ว แล้วป้ายที่จะลงมันอีกกี่ป้าย ...เราจึงจัดอยู่ในระดับนักนั่งรถเมล์ขั้นห่วย
ไม่รู้ว่าตัวเองห่วยอะไรมากกว่ากันระหว่างนั่งรถเมล์กับการเข้าสังคม
รถเมล์สาย 152 เริ่มล้อหมุนไม่นานนักหลังจากเราหย่อนตูดนั่ง มิ้นท์กับอีฟและแม่อีฟก็นั่งคุยบันเทิง รื่นเริงจิตกันไปเรื่อยเปื่อย พี่ต้ายังนั่งยิ้มอย่างไม่ชินเพราะยังไม่รู้จักพวกเรา แต่ก็จนกระทั่งฝรั่งที่นั่งข้างๆมิ้นท์หันมาทักทาย
ฝรั่งนั่งข้างๆมิ้นท์: โอ้ว ยู กายส์ มาจากไทยเหรอ (แปลเป็นไทยใจความประมาณนี้)
อีฟ: ช่ายแล้วว พวกไอมาจากไทย
การมีเพื่อนอัธยศัยดีคุยกับคนเก่งอย่างมิ้นท์กับอีฟ ไปที่ไหนมักคุยกับคนอื่นได้อย่างน่าเอ็นดู คุยได้คุยดี บางทีก็อยากรู้ว่ามันใช้อะไรแปรงฟัน ทำไมมันถึงเข้ากะคนง่ายขนาดงี้ บ่อยครั้งการที่มีพวกนี้มักคอยช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ พูดให้แทนหรือต่อรองให้เสมอ ทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย และทำให้เราไม่เกร็ง นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างหนึ่งสำหรับคนเข้าสังคมไม่เก่งแบบเรา
ดีใจมากที่พวกนี้ยอมมาช่วยงานที่เวียดนาม
เพราะมันทำให้การมาเวียดนามครั้งนี้ เราดูไม่เป็นอีใบ้น้อยผจญภัยในต่างแดน
แน่นอนว่าบทสนทนากับฝรั่งนั่งข้างๆไม่ได้จบลงเพียงแค่ ‘ช่ายแล้วว พวกไอมาจากไทย’
เพราะระดับอีฟมิ้นท์แล้ว มึงกล้าหงายไพ่ทักทาย พวกกูก็กล้าเปิดไพ่คุยต่อ แถมเพิ่มชุดใหญ่จากแม่อีฟ และพี่ต้าที่มาผสมโรงด้วยอีก คุยไปยิ้มไป น้ำไหลไฟดับ สปีคอิงลิช กันสนุกสนาน หึ ไปฉี่เผื่อได้เลย คุยให้เพลิน หัวเราะจมูกบาน
ถามไถ่ไปเรื่อย ได้ความว่าฝรั่งคนนี้แกชื่อ มิสเตอร์ อาวี่ ทำงานเปิดร้านเหล้าอยู่ที่ไทย ชื่อร้าน Let the boy die (มีแอบฝากร้าน) แว๊บมาเที่ยวเวียดนามเฉยๆ ...จนสุดท้ายถึงป้ายที่เราจะต้องลงรถเมล์ อาวี่ประทับใจกับความคุยเก่งเป็นมิตรระดับนางงามมิตรภาพของอีฟมิ้นท์เอามากๆ แถมมีหยอดแม่อีฟว่า 'คุณแม่ยิ้มสวยมากๆครับ' เพราะทำให้เค้าถึงขั้นออกค่าตั๋วรถเมล์เที่ยวนั้นให้พวกเราทั้งหมด แม้ว่ามันจะราคาไม่มาก แต่ก็ทำเราตื่นตันกันโคตรๆ จัดเข้าหมวดเรื่องดีต้อนรับเราที่เวียดนามได้เลย
ราคาตั๋วรถเมล์
10.000vnd/คน รวมกระเป๋า
*5.000vnd/คน แบบไม่มีกระเป๋าเดินทางนะจ๊ะ
ดีนะคุยกันได้แปบเดียว นั่งมาไม่กี่ป้ายเอง ถ้านั่งรถนานไปกว่านี้ อาวี่คงเซ็นสัญญายกหุ้นส่วนร้านเหล้าให้เราไปแล้ว อิอิ
..
เรายังขอบคุณตัวเองอีกครั้งที่บังเอิญมีเพื่อนคุยเก่ง :D
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in