เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
To Play is To ReadHarmish
การเดินทางอันเงียบงันกับคนแปลกหน้าไร้หน้า
  • Journey (2012)


    ช่วงโควิดที่กำลังผ่านมาและกำลังจะผ่านไปนี้ Sony ได้ปล่อยเกม Journey มาให้เล่นกันบน PS4 ฟรีขณะที่หลายคนติดแหง็กอยู่กับบ้าน ทำให้เกมนี้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง รวมถึงตัวผู้เขียนเองที่ก็ได้มีโอกาสกลับมาสัมผัสประสบการณ์อันงดงามของเกมนี้อีกครั้ง

    ผู้เขียนเลยอยากจะมาเล่าต่อ ให้กับคอเกมที่กำลังหาประสบการณ์ขนาดสั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคอเกมสายแข็งหรือเล่นเกมบางครั้งเพื่อพักผ่อน เชื่อเถอะว่า Journey คือหนึ่งในเกมที่นักวิจารณ์ต่างยกย่องให้เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ครั้งหนึ่งในการเล่นเกม เราจะได้ได้พักสมอง ปลดปล่อยจินตนาการ กับการเดินทางขนาด 2 ชั่วโมง ที่ไม่มีคำพูด ไม่มีการอธิบาย ไม่มีการบอกใบ้ รู้เพียงแต่ว่า ปลายทางอยู่ที่ยอดเขาที่ส่องแสงเบื้องบน จงเดินฝ่าอุปสรรคนั้นไป

    ร่างพริ้วไหวบนผืนทรายแวววาว

    สำหรับ Journey อาจจะใช้คำว่า เกม ไม่ได้เสียทีเดียว มันเหมือนกับ designed experience ขนาดสั้น ที่ให้เราเข้าไปสัมผัสโดยใช้สัญชาติญาณนำทางไปเรื่อยๆ ไม่มีความท้าทายหรือแก้ปัญหาซับซ้อนแบบเกมทั่วไป แต่เกมจะให้เราสัมผัสกับความงดงามระหว่างทางที่เราออกวิ่ง ไถลตัวไปบนผืนทรายแวววาว และล่องลอยเหมือนเศษผ้า ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในผ้าคลุมนี้คือใคร จำเป็นจะต้องรู้ด้วยเหรอว่าเราคือใคร เรากำลังพิสูจน์อะไร ในเมื่อเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือการวิ่งไปข้างหน้า สัญชาติญาณจะบอกเพียงว่าถ้ามีปัญหาจงหาทางก้าวผ่านมันไปเสีย แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างจะคลี่คลายกลายอธิบายตัวเองได้อย่างเรียบง่ายและน่าอัศจรรย์

    ที่หลายคนมักบอกว่าการเดินทางสำคัญที่ระหว่างทางไม่ใช่จุดหมาย สำหรับ Journey คือการตอกย้ำคำพูดนี้ได้อย่างดี เพราะเราเห็นเป้าหมายคือแสงไฟพวยพุงอยู่ที่ยอดเขาสูงลิบ เป็นเครื่องนำทางให้เราเดินหน้าต่อไปยังเขาแห่งนั้น แต่เรากลับไม่รู้ว่าปลายทางนั้นมีอะไร หรือไปเพื่ออะไร แต่ความงามอยู่ที่การไถลตัวลงบนผืนทรายอันนุ่มนวลแวววาว ปล่อยตัวให้ลมพัดเราไปสู่ภูมิประเทศแบบใหม่ที่ทั้งลึกลับและตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับชื่อเกมว่า Journey ที่ไม่ได้ระบุว่าคือการเดินทางของอะไร แต่เป็นประสบการณ์และความรู้สึกที่เรามักสัมผัสได้เสมอทุกครั้งที่เราออกเดินทางในชีวิตจริง


    เป้าหมายที่ปลายฟ้า

    สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือสิ่งที่หายไป นั่นคือพล็อต เกมนี้อย่างที่กล่าวไปว่าแทบไม่มีพล็อต เราเป็นผู้ที่จะต้องเดินจากจุดหนึ่งไปสู่ปลายทาง ยอดเขาที่มีแสงไฟนั้นไม่ได้บอกอะไรตรง ๆ แต่หากมองในแง่หนึ่งอาจเป็นการแสวงบุญ อาจเป็นการเดินทางที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังที่เราเห็นนักเดินทางคนอื่น ๆ ที่เดินทางไปในทิศทางเดียวกับเรา สู่เป้าหมายที่ใหญ่โตกว่าราวกับเราเป็นจุดเล็ก ๆ ในโลกอันกว้างใหญ่ 

    ในอีกแง่หนึ่ง แสงนั้นอาจจะเป็นเพียงเป้าหมาย เป้าหมายอะไรก็ในชีวิตของเรา เช่นความสำเร็จ สุขภาพที่ดี หรือจีบสาว/หนุ่มคนหนึ่งให้ติด และการเดินทางนั้นก็คือการไขว้ขว้าให้ได้มานั่นเอง ด้วยความที่มันปลายเปิดมาก ทำให้มันเหลือพื้นที่ให้ผู้เล่นเอาประสบการณ์ส่วนตัวไปเต็มในช่องที่ยังไม่มีคำตอบในเกม เช่น เขาคือใคร เขาทำสิ่งนี้ไปทำไม หรือนี่คือการชำระบาปของตัวเองด้วยการฝ่าภารกิจที่ยิ่งใหญ่อยู่หรือเปล่า

    คนแปลกหน้าไร้หน้า

    ระบบออนไลน์ของเกมก็ออกจะประหลาด เราเห็นผู้เล่นคนอื่นวิ่ง เดิน เหาะ อยู่บนเส้นทางเดียวกัน ช่วยกันนำทางในโลกอันอ้างว้าง แต่ไม่มีการปฏิสัมพันธ์กัน เราทำได้เพียงมองเขาทำภารกิจของเขา ในขณะที่เราทำภารกิจของเรา เป้าหมายของเราต่างคือยอดเขานั้นเช่นเดียวกัน เหมือนกับผู้โดยสารแปลกหน้าในโบกี้รถไฟเดียวกับเรา พวกเขาอาจแต่งตัวเหมือนจะเดินทางไปไหนเหมือนกับเรา แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้คุยกัน เราได้แต่เห็นเขาอีกครั้งบ่อย ๆ ในที่อื่น ๆ ระหว่างการเดินทาง 

    เป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับการเล่นเกม เกมค่อนข้างสั้นสำหรับราคาเต็ม 480 บาท แต่เชื่อเถอะ ถ้ามันไม่สั้นประมาณนี้ มันจะไม่ดีเลย นับว่าเป็นเกมที่ตั้งโจทย์ไว้ยากมาก แต่สามารถทำได้ถึงจริง ๆ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in