สถานีวอสตอกของโซเวียตเคยบันทึกสถิติอุณหภูมิที่ต่ำที่สุดในโลกไว้ที่ -89 องศาเซลเซียสในวันที่ 21 กรกฎาคม ปี 1982 ที่ขั้วโลกเหนือ ทวีปแอนตาร์กติกา ดินแดนที่ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น หากผิวหนังของเราสัมผัสกับอุณภูมิติดลบ -45 องศา จะเกิดอาการหิมะกัด (Frostbite) ได้ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที
แต่มนุษย์จะอยู่อย่างไร หากอุณหภูมิดำดิ่งลงต่ำกว่านั้น
เมื่อเชื้อเพลิงคือชีวิตและความอุ่นสบายคือความหรูหรา
นี่คือ Frostpunk เกมสร้างเมืองแนวเอาชีวิตรอด จากบริษัท 11Bit Studio ที่ประสบความสำเร็จจากเกมเอาชีวิตรอดของเหยื่อสงครามกลางเมืองสุดโหดร้ายอย่าง This War of Mine ทำให้เกมต่อมาอย่าง Frostpunk เป็นเกมที่ได้รับความสนใจจากผู้เล่นเกมอินดี้ทั่วโลกทันที
ในโลกของ Frostpunk เราจะเข้าสู่โลกความจริงสมมุติ (Alternate Reality) ที่อังกฤษราวๆ ปลายศตวรรษที่ 19 แทนที่จะเป็นยุครุ่งเรื่องแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม เครื่องจักรไอน้ำอันยิ่งใหญ่ กลับต้องถูกนำมาใช้เป็นยานยนต์เพื่อหนีตายออกจากกรุงลอนดอน เมื่ออุณหภูมิโลกเกิดต่ำลงอย่างวิปริตเฉียบพลัน ผู้ล้มตายมหาศาล ป่าไม้ ทุ่งหญ้า บ้านเรือนถูกกลืนหายไปกับหิมะขาวโพลน
เราจะเล่นเป็นผู้นำของกลุ่มผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งที่หนีมาตั้งรกรากอยู่รอบๆ เตาไฟพลังงานถ่านหินที่ในเกมเรียกว่า The Generator เป็นดั่งหัวใจของเมือง โดยเมืองนี้ตั้งอยู่ในหลุม Crator ขนาดใหญ่ที่พอจะปกป้องจากพายุหิมะได้ เกิดเป็นชุมชนจำเป็นขนาดย่อมๆ ที่มีผู้คนแบ่งหน้าที่กันตามความรู้ความสามารถของตัวเอง คนที่ไม่มีความรู้จะเป็นแรงงาน คนที่เรียนสูงมาหน่อยก็จะอยู่ในวรรณะ Engineer ซึ่งนอกจากจะเป็นวิศวกรแล้วยังหมายรวมไปถึงหมอด้วย เป้าหมายหลักนอกจากจะเอาชีวิตรอดให้ได้แล้ว ยังต้องส่งทีมสำรวจออกไปนอกเมืองเพื่อค้นหาทรัพยากร ผู้รอดชีวิต และข่าวคราวจากโลกภายนอก เพื่อนำเศษเสี้ยวความหวังว่าความเย็นยะเยือกอันโหดร้ายนี้อาจจะกำลังจบลง
ในฐานะผู้นำเราจะต้องใช้ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากร นั่นคือ ไม้ สำหรับการสร้างบ้านเรือน เหล็ก สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี (และสร้างบ้านเรือน) อาหาร และที่สำคัญที่สุดคือ ถ่านหิน อันเป็นทรัพยากรที่ไม่มีความสำคัญขนาดนี้ในเกมอื่นๆ มาก่อน เพราะในชุมชนแห่งนี้ไฟคือชีวิตและความอุ่นสบายคือความหรูหรา เงินที่เคยมีกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ทุกคนจึงต้องทำงานเท่ากันหมด
The Book of Law - ปรับตัวตามสภาพอุณหภูมิใหม่
นอกจากการอัพเดต Technology Tree อย่างเกมวางแผนอื่นๆแล้ว ใน FrostPunk เรายังต้องตอบคำถามทางจริยธรรมใน Book of Law ให้เราต้องคอยตัดสินใจออกกฎหมายใหม่ๆ เพื่อใช้ในการปกครองคนในชุมชนด้ัวย เช่นในกรณีที่ทุกคนต้องเอาชีวิตรอด การใช้แรงงานเด็กสามารถทำได้หรือไม่ หรือควรจะให้เด็กอยู่ในสถานเลี้ยงดูเด็กให้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อพยุงความหวังเอาไว้ หรือ หากมีคนตายควรเอาศพไปขุดหลุมทิ้งรวม หรือยังคงต้องมีการฝังด้วยพิธีกรรมทางศาสนาเหมือนเดิมอยู่ ไปจนถึงการตัดสินที่ใหญ่ขึ้นเช่น เราจะปกครองเมืองด้วยการใช้ศาสนาและให้คนยืดความหวังไว้กับศรัทธา (และการกดขี่ด้วยความเชื่อ) หรือกลายเป็นผู้นำเผด็จการโหดเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดความโกลาหลไปกว่านี้ ซึ่งในทุกการตัดสินใจจะไม่สามารถย้อนกลับได้
กลไกของร่างกายเราจะต่อสู้กับความหนาวด้วยการสั่นของกล้ามเนื้อเพื่อสร้าง ความร้อนให้ตัวเอง หัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อพลังงานในการทำสิ่งนั้นหมดลง การหนาวตายก็จะมาถึง
Frostpunk เป็นเกมสร้างเมืองที่การสร้างโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ต้องสร้างจำนวนมากมายพอๆ กับการสร้างบ้าน เพราะเมื่อทุกคนต้องทำงานกลางอุณหภูมิที่ต่ำขนาดนั้น นอกจากจะทำให้คนเป็นปอดบวม หัวใจวายแข็งตายแล้ว ยังมีอาการหิมะกัดที่รุนแรงถึงขั้นทำให้คนต้องสูญเสียแขนขาได้ หน้าที่ของหมอจึงไม่ใช่แค่พัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเมืองเหมือนเกมอื่น แต่คือการพยุงชีพของชาวเมืองที่อาจเสียชีวิตได้ทุกขณะ แถมยังมีเทคโนโลยีแขนขาเทียมให้อัพเกรดในช่วงท้ายของเกม เพื่อเรียกความหวังของชาวเมืองและให้ผู้ที่สูญเสียแขนขาสามารถกลับมาทำงานด้วย (หากไม่สร้างบ้านพักคนพิการ พวกเขาอาจกดดันตัวเองจนฆ่าตัวตายได้ เพราะคิดว่าตัวเองเป็นภาระของสังคม)
The Great Frost
ตัวเกมจะประกอบไปด้วยเนื้อเรื่องหลัก 3 แคมเปญ จากคนสามกลุ่มในต่างสถานที่ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ต่างกันไปแต่ทั้งสามแคมเปญจะต้องรับมือกับสิ่งเดียวกันนั่นคือ The Great Frost มหาพายุหิมะครั้งใหญ่ที่ทำให้อุณภูมิต่ำลงไปอยู่ที่ -100 องศา การออกหาอาหารทั้งหมดจะถูกยกเลิก ทีมสำรวจทุกทีมจะต้องรีบกลับเข้ามาที่เมืองให้เร็วที่สุด คานค้ำเหมืองถ่านหินจะกลายเป็นน้ำแข็งและอาจถล่มได้ เกมจะเริ่มนับถอยหลังให้เราต้องกักตุนเสบียงและถ่านหินให้ได้มากที่สุด และสั่งการเรียกคนที่ยังข้างนอกให้กลับเข้ามาให้ทัน เพื่อที่จะผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้โดยมีคนตายให้น้อยที่สุดและค่าความหวังไม่ตกต่ำจนถึง 0
แต่นั่นก็ใช่ว่า Frostpunk จะเต็มไปด้วยความโหดร้ายเสมอไป
Marta Fijak หนึ่งในทีมพัฒนาเกมให้สัมภาษณ์ว่ามันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะสร้างเกมให้รุนแรงและสลดหดหู่สุดๆ แต่มันจะไปถึงจุดที่เกินจริงได้ง่ายมากและเมื่อถึงจุดนั้นจะยิ่งขยี้เท่าไหร่คนก็ไม่อินอีกต่อไป
ทำให้ Frostpunk แตกต่างจาก This War of Mine ตรงที่มันมีท่วงสมดุลย์ความทุกข์ด้วยการสอดแทรกระบบ "ความหวัง" ไว้ในเกม เป็นค่าคะแนนที่ใช้เป็นรางวัลและการลงโทษผู้เล่น ที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงทุกครั้งที่ทำให้ผู้คนใจชื้นหรือหวาดกลัว การตัดสินใจเอาชีวิตรอดเพื่อดำรงไว้ซึ่งทรัพยากร หรือชีวิตของพวกกันเอง หรือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ลำบากกว่าถึงแม้ว่าการทำสิ่งนั้นจะไม่ได้ช่วยอะไรในเชิงเศรษฐกิจ คำถามเชิงจริยธรรมแบบนี้มีสอดแทรกไว้ในทุกจุดของเกม -- ในเมื่อเราตัดสินใจช่วยผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ความหวังจึงไม่ใช่เพียงแค่ระบบการให้คะแนน แต่คือการรักษาไว้ความหวังว่าตัวเองจะพ้นภัย ความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ความหวังจะยังคงไว้ซึ่งการใช้ชีวิตแบบเดิม
Steam Punk โลหะและจักรกลไฟ
สไตล์การออกแบบโลกความจริงสมมุติในสไตล์ Steam Punk ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ทำให้เกมมีชีวิตชีวามากขึ้น เตาพลังงานถ่านหินขนาดใหญ่ที่เป็นดั่งหัวใจของเมือง ต่อยอดมาจากโลกของความจริงที่ว่าก่อนขึ้นศตวรรษที่ 19 การทำเหมืองถ่านหินและเครื่องจักรไอน้ำเป็นสิ่งที่มาคู่กันในช่วงเวลานั้นของอังกฤษ ไปถึงหุ่นยนต์ Automaton สิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะที่สามารถเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้ไม่หยุดไม่หย่อนตลอดทั้งวันทั้งคืน เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ของนวัตกรรมมนุษย์ ทำให้นึกถึงนิยายวิทยาศาสตร์ย้อนยุคแบบ H.G Wells หรือเกมอย่าง Dishonored ที่มีเป็นลูกผสมระหว่างสไตล์ยุโรปย้อนยุคกับเทคโนโลยียุคเครื่องจักรไอน้ำ
เป็นที่รู้กันดีว่าการเข้าสู่ยุคน้ำแข็งนั้นเป็นหนึ่งปัจจัยใหญ่ที่กวาดล้างไดโนเสาร์ให้สูญพันธ์ไปจากโลก แต่เกมกำลังท้าทายความเป็นไปได้ว่าด้วยมันสมองอันชาญฉลาดของมนุษย์ยุควิทยาศาสตร์จะต่อสู้ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้อย่างไร ซึ่งเป็นการเชิดชูกำลังใจและความหวังในมนุษย์ชาติ แม้จะไม่รู้เลยว่าอากาศจะกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่
หรืิอจะกลับมาเป็นปกติไหมเลยก็ตาม...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in