ลูคมองหน้าพ่อด้วยสีหน้าอ้ำอึ้งโนเอลรีบยกมือขึ้นอุดปากลูคทันทีเมื่อเห็นเขาทำทีจะเอ่ยปากพูดก่อนจะบุ้ยใบ้มือไปยังบานประตูตรงหน้า
เขาหรี่ตามองตามมือโนเอลผ่านช่องแคบของประตูซึ่งแง้มเปิดอยู่มนุษย์หมาป่ายังป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของอาจารย์โจชัวเสียงดังตุบตับจากการพุ่งชนของสัตว์ร้ายใส่บานประตูดังขึ้นเหมือนครั้งที่มันพุ่งเข้าใส่เขาในห้องทดลองใต้ดิน
ลูคเริ่มรู้สึกหน้ามืดเขาเซถลาไปข้างหน้าจนหัวโขกเข้ากับบานประตูดันเอากองตำราบนชั้นหนังสือร่วงกรูดังปุเขาเผลอกระทำสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเมื่อสัตว์ร้ายรู้ตัวและหันความสนใจของมันทั้งหมดมายังห้องมืดแห่งนี้
โนเอลรีบถลามาประคองเขาไว้ทันที
สัตว์ร้ายโก่งตัวงองุ้มกลับไปยืนสี่ขาบนพื้นทำท่าเตรียมพร้อมจะพุ่งเข้าฉีกเนื้อของสองพ่อลูก
ลูคอกสั่นขวัญแขวนไม่รู้ว่าเพราะความเจ็บปวดทรมานของแผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่ หรือเพราะความหวาดกลัวครอบงำจิตใจของเขากันแน่ ที่ทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะกระดิกนิ้วโนเอลลากเขาถอยหลังไปช้า ๆ จนกระทั่งตัวติดกับบานหน้าต่างในที่สุดเขาก็ถูกต้อนจนมุม
“ความผิดพ่อเอง เพราะพ่อออกไปช่วยลูกช้าเกินไป” ชายวัยกลางคนเอ่ยไม่รู้ว่าเพราะความหวาดกลัวหรือเพราะความรู้สึกผิดในใจที่ทำให้น้ำเสียงของเขาสั่นคลอน
ลูคเงียบเขาไร้สิ้นเรี่ยวแรงเกินกว่าจะโต้ตอบชายผู้เป็นบิดา
เสียงไม้ลั่นจากน้ำหนักตัวของมนุษย์หมาป่าดังขึ้นขัดบทสนทนาก่อนที่มันจะกระโจนเข้าใส่ทั้งสอง
ทุกสิ่งเกิดเร็วปานสายฟ้าฟาดแต่เขากลับเห็นทุกอย่างเชื่องช้าราวกับภาพสโลโมชั่นลูคได้ยินเสียงวัตถุหนักตกหล่นใส่พื้นห้องดังตึ้บ เขาเห็นสิ่งมีชีวิตที่ยากอธิบายกระโดดเข้ามาตะปบมนุษย์หมาป่ากระเด็นเสียหลักล้มลง
สุนัขจิ้งจอกหูแหลมกำลังยืนหลังตรงเช่นมนุษย์อยู่ตรงหน้าขนสีส้มสว่างยาวขึ้นปกคลุมทั่วทั้งตัว เปียกปอนด้วยน้ำฝนดวงตาสีอำพันทองกำลังเหลียวหลัง จ้องเขม็งมายังเขาและโนเอลที่ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกคาถาวิเศษสาปให้กลายเป็นก้อนหิน สายฝนกระหน่ำซัดเข้าผ่านช่องหน้าต่างเปล่าหัวใจของเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นกลัว
มนุษย์หมาป่าลุกกลับขึ้นมาอีกครั้งมันสะบัดหัวไปมาประหนึ่งเรียกสติให้กลับมา ก่อนจะกระโจนเข้าใส่มนุษย์หมาจิ้งจอกสัตว์ร้ายสองตัวกำลังฟัดกันจ้าละหวั่น เหมือนเขากำลังดูการแสดงละครสัตว์อย่างไหนอย่างนั้น
ลูคมัวแต่จดจ้องพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของสัตว์ร้ายทั้งสองกระทั่งโนเอลกระตุกแขนเรียกให้ตื่นจากความอยากรู้อยากเห็นผู้เป็นพ่อรีบปิดบานหน้าต่างไว้และดันชั้นหนังสือที่ตั้งอยู่ถัดไปขวางช่องหน้าต่างเอาไว้อย่างแน่นหนารุนหลังให้เขาเดินออกจากห้อง ก่อนตนเองจะย่องตามออกมา ปิดประตูและลงกลอนอย่างไร้สุ้มเสียง
...
แสงอรุณกลืนกินราตรีสีหมึกไร้เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกน้อย บรรยากาศเช้าวันใหม่มัวหมองผิดปกติ
ลูคยันตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาเหลียวมองไปรอบห้องรับแขกของบ้านฮันเตอร์ ไม่พบหน้าเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว
ฉันคงจะหมดสติไป...
เด็กหนุ่มคิดพลางชำเลืองมองผ้าพันแผลหนาเตอะบนหัวไหล่และนึกย้อนไปถึงฝันร้ายของคืนวันวาน หลังจากขังสัตว์ร้ายไว้ในห้องได้สำเร็จเบ็นจามินก็โทรเรียกคุณหมอยัง พ่อของเขาให้มาทำแผลให้ลูคเขาหมดสติไปนับตั้งแต่ตอนนั้น
ลูคกำลังจะลุกขึ้นยืนแต่บทสนทนาหนึ่งกลับตรึงเขาไว้กับที่ เสียงบทสนานั้นดังมาจากห้องครัว
“พี่คิดว่าลูคพร้อมจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วหรือยังตั้งแต่ที่พี่แยกตัวมาจากครอบครัวแล้วมาอาศัยที่บ้านผม มันก็นานหลายปีแล้วนะขืนปล่อยให้นานไปมากกว่านี้...” เสียงของอาจารย์โจชัวเอ่ยขึ้นมา
“ยัง… มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะหรอก มันยังอันตรายเกินไป” เสียงของพ่อเขาตอบกลับ
“แต่ผมหาวิธีลบล้างความสามารถพิเศษของชาวมากอสได้แล้วนะแถมลูคก็หาศิลามาได้ครบแล้วด้วย สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วพี่น่าจะปล่อยลูกได้แล้ว ไม่คิดบ้างหรือว่าลูคจะรู้สึกยังไง”
ลูคสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงมือของเขากำขวดแก้วที่บรรจุศิลาเดจาวูไว้แน่น หัวก็คิดไปถึงพิธีศิลาเลือดในคืนจันทรุปราคาที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน
“ไม่หรอก คน ๆ นั้นยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ และมันไม่มีวันหยุดง่ายหรอกแม้ว่าลูคจะไม่สามารถเข้าไปในน็อกเทิร์นได้อีกแล้วแต่ไอ้สารเลวนั่นก็ต้องหาวิธีอื่นมาใช้เล่นงานเราแน่นอน พี่เชื่ออย่างนั้น…มันเคยทำลายตระกูลเราครั้งหนึ่งอย่าคิดประมาทเชียวว่ามันจะทำอีกรอบให้สำเร็จไม่ได้”
เด็กหนุ่มนอนแน่นนิ่งแสร้งทำเป็นว่ายังไม่รู้สึกตัวในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถาม
เสียงของอาจารย์โจชัวชะงักเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก
“ไม่หรอกพี่ ยังไงตอนนี้ครอบครัวของพวกเราก็ยังปลอดภัยอยู่นั่นคือสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด…”
“จริงของแก… แต่ฉันเริ่มรู้สึกว่าพักนี้อาการเดิม ๆ มันเริ่มกลับมาอีกแล้ว นับจากเมื่อวันก่อนที่ฉันไปหาลูคที่บ้าน...”
เสียงวิ่งลงบันไดดังตึกตักขึ้นแทรกบนสนทนาลูคหรี่ตามองเห็นซิดจ์กับเบ็นวิ่งกรูหน้าตื่นลงมาจากบันได
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย นี่มันคือเรื่องจริงเหรอเนี่ย!” เขาได้ยินซิดจ์กระโตกกระตากอยู่เหนือหัว “ถ้ามันยังไม่ตื่นฉันจะแอบเอาแมลงสาบใส่ปากมันแล้วนะ” ลูคเด้งตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินแผนการลอบทำร้ายของซิดจ์ก่อนจะร้องครางออกมาเมื่อความเจ็บปวดแล่นเข้าที่หัวไหล่
“เฮ้ย แผลที่เย็บยังไม่ติดกันเลยนะลูค” เบ็นจามินร้องโกรธ ๆ
“ช่างเรื่องแผลอะไรนั่นก่อนเถอะ นายต้องได้เห็น! ตามฉันมาเร็ว!” ซิดจ์ถลาพรวดพราดเข้ามาลากตัวเขาให้วิ่งตามขึ้นบันไดไปทันที
ชินยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือรอเขาอยู่ก่อนแล้วเพื่อนผมแดงรีบยกมือขึ้นจุ๊ปากบอกเป็นนัยว่าให้เงียบก่อนจะเริ่มออกแรงผลักชั้นหนังสือลายหมากรุกออกโดยมีซิดจ์ช่วยอีกแรง
กลิ่นสีโชยเข้าจมูกจนรู้สึกแสบและมึนหัวห้องหลังชั้นหนังสือสกปรกต่างกว่าที่เขาเห็นเมื่อคืนวานนี้มากอาจเพราะความมืดที่ช่วยพรางรอยเปรอะเปื้อนของหยดสีบนพื้น เขาเห็นขาตั้งวาดรูปถังสี พู่กัน และอุปกรณ์ศิลป์อื่น ๆ วางเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วพื้นภาพวาดสีน้ำมันขาวดำหมองหม่นชวนให้หดหู่อัดแน่นอยู่เต็มฝาผนัง
ท่ามกลางภาพเหล่านั้นมีคนกำลังนอนนิ่งอยู่กลางห้อง
เด็กหนุ่มร่างผอมสูงยันตัวลุกขึ้นนั่งดวงตาง่วงงุนข้างหนึ่งเหลือบมองเขาและเพื่อน ๆในขณะที่เด็กสาวยังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าคลุมกรอบภาพวาด
น็อกซ์ฟุดฟิดจมูกเสียงฟึดฟัดดังขึ้นเป็นช่วง เขากำลังทำตัวเหมือนสุนัข
“นายโป๊อยู่ เอานี่ไป…” ฌายาซึ่งนอนขดอยู่ข้างเขวี้ยงผ้ากำมะหยี่สีดำผืนใหญ่ให้น็อกซ์ ก่อนจะหันมามองเจื่อน ๆที่หน้าเขาซึ่งบัดนี้อึ้งเป้นไก่ตาแตก
น็อกซ์รับผ้าไปอย่างว่าง่ายและพันมันไว้รอบเอว
“คือ...” ฌายาทำทีว่าจะเริ่มอธิบาย
“เธอกับไอ้นั่นคือไอ้ตัวเมื่อคืนนี้งั้นเหรอ!” ซิดจ์ตะเบ็งเสียงแหลมแทรกเด็กสาวขึ้นเสียก่อนลูคและชินตะครุบปากมันไว้ให้สนิทแทบไม่ทันเพราะกลัวว่าเสียงจะเล็ดลอดออกจากหน้าต่างแล้วใครได้ยินเข้า
“เอาเป็นว่าค่อยไปคุยกันที่คาเฟ่แล้วกัน” เบ็นจามินเอ่ยแววตาเป็นมันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มประดา
“ไม่เอา! ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ในซอยนรกนี้ ฉันขอร้องล่ะ” ฌายารีบโพล่งพร้อมลุกขึ้นพรวดมาแกะแขนจนลูคสะดุ้งโหยง โดยไม่ทันระวังว่าผ้าดิบสีขาวที่ห่มเรือนร่างอยู่นั้นจะหย่อนลงเผยให้เห็นผิวเนื้อละเอียดใต้ผืนผ้า
“อะ... อืม” ลูคกระแอมกระไอหน้าแดงไม่ต่างไปจากเพื่อนคนอื่น ๆ
“แต่ฉันคิดว่าตอนนี้เธอคงจะต้องการเสื้อผ้ามากกว่านะ” เขาเอ่ยอย่างเคอะเขิน
“แต่พ่อฉันรอล้างแผลให้ลูคอยู่ที่นั่นนะไว้เราค่อยไปที่อื่นหลังจากนั้นแล้วกัน” เบ็นจามินกล่าวเด็กสาวหน้าเสียทันทีเมื่อรู้เรื่องอาการบาดเจ็บของเขา
ลูคนำขบวนเดินข้าวถนนจากบ้านของครอบครัวฮันเตอร์มายังลูนคาเฟ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม้หน้าร้านจะแขวนป้ายงดให้บริการหนึ่งวัน แต่ประตูกลับไม่ได้ลงกลอนปิดไว้
“เข้ามาเลยจ้ะ คุณหมอกำลังนั่งดื่มกาแฟรอเธออยู่นอกระเบียงแหน่ะ” น้าจูเลียทักทายเขาแข่งกับเสียงกระดิ่งร้านที่ดังกรุ๊งกริ๊งต้อนรับอาคันตุกะคุ้นหน้าทั้งสี่และที่ไม่คุ้นอีกสอง
“วันนี้คุณน้ามีเมนูพิเศษที่น่าอร่อยไหมครับ” ซิดจ์ถามหน้าด้าน ๆ
“โอ๊ะ ขอฉันดูก่อนนะ ลืมเสียนี่ว่ามีเด็กกระเพาะเหล็กอย่างเธอด้วยอีกคน” จูเลียทำท่าคุ้ยตู้แช่เย็นงก ๆ ก่อนจะคว้าขนมปังสอดไส้ครีมคัสตาร์ดวางใส่จานเสียงดังหมับและยื่นมันมาให้เพื่อนจอมตะกละที่รับจานมาประคองไว้ราวกับว่าเป็นสิ่งของมีค่าที่สุดในชีวิตของมัน
เมื่อมาถึงยังโต๊ะตัวยาวที่นอกระเบียงแอน อาจารย์โจชัว และคุณหมอยังนั่งรอพวกเขาอยู่แล้วลูคเห็นเช่นนั้นก็รีบกล่าวสวัสดี และขอบพระคุณคุณหมอยังที่อุส่าห์สละเวลาอันมีค่าเพื่อมานั่งรอทำแผลให้เขาถึงที่
“ไม่ต้องห่วงหรอกว่าคนไข้ที่คลินิกจะรอ หมอฝากทางนั้นให้ลงตรวจแทนแล้ว”คุณหมอยังกล่าวยิ้มแย้ม ขณะมือไม้ตระเตรียมอุปกรณ์ทำแผลเป็นระวิงและเริ่มทำแผลให้เขาทันที
“แล้วเขาหายไปไหนแล้วล่ะครับ” ซิดจ์เอ่ยปากที่เต็มไปด้วยขนมถามขึ้นทันที
“อ๋อ เห็นบอกว่าจะกลับไปเก็บกวาดห้องตัวเองพวกเธอไม่ได้สวนทางกับเขาหรอกหรือ” อาจารย์โจชัวตอบ
“แล้วนี่พวกเธอพาใครมาด้วยล่ะ” แอนเปลี่ยนประเด็นทันทีที่ฌายาและน็อกซ์หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“พวกเราเป็นเพื่อนใหม่ของลูคน่ะ เราเพิ่งจะรู้จักกันดีเมื่อคืนวานนี้เอง”ฌายาโพล่งขึ้นตอบแทนขณะที่ลูคกำลังอ้ำอึ้งคิดหาคำตอบ
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เด็กสาวผมส้มอมแดงรีบลุกขึ้นยื่นมือออกมาทักทายอย่างมีมารยาท
ลูคทำได้แค่ตะโกนห้ามอยู่ในใจในขณะที่แอนเอื้อมมือออกมาจับมือตอบรับเธอ
ฌายายิ้มกริ่มพอใจก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งอีกครั้งหนึ่ง
“อย่าพูดเองเออเอง พวกเราไม่ใช่เพื่อนของเธอ ยัยตัวประหลาด!แล้วก็ไอ้สัตว์ร้ายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอก็ด้วยเหมือนกัน!” ซิดจ์พูดด้วยความหงุดหงิดจนเศษขนมปังกระเด็นออกมาจากปาก
“อย่าว่าน็อกซ์นะ น้องของฉันน่าสงสาร เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพวกเธอสักหน่อยเขาต่างหากที่โดนทำร้าย” ฌายาขึ้นเสียงเขาสัมผัสได้ถึงเสียงคำรามที่ก้องอยู่ในทุกคำพูดของเธอ
เด็กสาวลุกขึ้นโน้มตัวข้ามหัวเบ็นจามินไปกระชากคอเสื้อซิดจ์ที่ตอนนี้นั่งหัวหดอยู่อย่างท้าทายอำนาจ
“น้องงั้นเหรอ” ชินที่เอาแต่นั่งเงียบก่อนหน้ากล่าวขึ้นแทรก
ฌายาปล่อยกำมือจากคอเสื้อกล้ามของซิดจ์ทิ้งไว้แต่รอยยับยู่บนเนื้อผ้า
“พวกเราถูกลักพาตัวมาจากน็อกเทิร์นโดยพรของเบอมิวด์ แกรนด์โกสต์ที่สามารถนำพาอะไรก็ได้ในน็อกเทิร์นออกมาได้ฉันเคยบอกนายเรื่องนี้แล้วหนนึงไม่ใช่เหรอ” เธอตอบ
“ใช่ แต่เธอไม่ได้บอกว่าน็อกซ์คือน้องของเธอนี่” ซิดจ์เอ่ยเสียงอู้อี้ในลำคอลูคสงสัยว่าครีมคัสตาร์ดเหนียวหนึบที่กินเข้าไปนั้นอาจกำลังพันกล่องเสียงของมันเอาไว้อยู่
“เพราะงั้นเธอไว้ใจฉันกับน้องได้ พวกเราอยู่ข้างเดียวกับนาย” ฌายาเอ่ย
“ไว้ใจเหรอ… พูดออกมาได้เนอะว่าให้เราไว้ใจเธอ กับไอ้หมาบ้านั่นลองถามมันดูสิว่าเมื่อคืนวันนั้นมันทำอะไรฉัน แล้วเมื่อคืนวานนี้มันทำอะไรลูค…หลักฐานยังคาอยู่ที่หัวไหล่เขาเลย กล้าพูดเนอะว่าให้ไว้ใจ” ซิดจ์กล่าวอย่างมีอารมณ์
น้ำโหเคลือบฉาบบนดวงหน้าของฌายาอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะเหือดหายไปพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ดังดุจเสียงคำราม
“โอเค… เอาล่ะ ฉันเข้าใจ นายมีสิทธิ์โกรธ --” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกผิดคาด“-- แต่ก็อย่าที่ฉันบอกไป สิ่งที่น็อกซ์ทำกับนายมันไม่ได้เกิดจากความต้องการของเขาเลย แต่เพราะเขาถูกใครบางคนลบความทรงจำ หลังจากที่ลักพาตัวมาจากน็อกเทิร์นต่างหาก…แต่เรื่องนั้นสบายใจได้แล้วล่ะ เพราะเมื่อคืนฉันกล่าวคำสาบานกับน็อกซ์ทวงคืนความทรงจำของเขาให้กลับมาแล้ว”
“คำสาบานงั้นเหรอ” เบ็นจามินเอ่ยด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้เต็มปรอท
“การให้คำสาบานสามารถสร้างความทรงจำที่ฝังรากลึกไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะลืมคำสาบานของตัวเอง” เธอตอบเบ็นจามินขมวดคิ้วยุ่งเป็นปม
“เป็นเรื่องปกติของชาวน็อกเทิร์นในการเรียนรู้วิธีการเก็บรักษาความทรงจำของตัวเองเอาไว้เพราะผลจากโรคระบาดครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน ทำให้พวกเราทุกคนเป็นโรคความจำเสื่อม”
ฌายาตอบคำถามที่กำลังฉายหราผ่านแสงระริกใต้ม่านตาสีเข้มของเบ็นจามินได้อย่างแม่นยำ “เราเลยคิดค้นการเก็บรักษาความทรงจำไว้ในรูปของผงทรายถึงแม้ว่ามันจะอันตรายและเสี่ยงที่จะทำให้เราสูญเสียความทรงจำแต่เรื่องพรรคนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ยิ่งวิธีการขโมยทรายความจำยิ่งแล้วใหญ่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถทำได้มาก่อน จนกระทั่งเรื่องที่เกิดขึ้นกับน็อกซ์...”
“ใช่เรื่องตำนานมนุษย์ทรายหรือเปล่า ว่ากันเขาว่าเขาเป็นพ่อมดพ่อเคยเล่าให้ฟังว่ามนุษย์ทรายสามารถควบคุมผงทรายวิเศษพวกนั้นมีชื่อเสียงในด้านการใช้ผงทรายนิทราเสกใส่เราที่กำลังจะหลับให้นอนหลับสนิทตลอดคืนพ่อยังบอกอีกว่าเคยเห็นตัวนึงหลบอยู่หลังกองหนังสือในห้องฉันแต่พ่อแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น” ซิดจ์โยงเข้าเรื่องอื่นที่ฟังดูจะไม่มีสาระมากเท่าไหร่ขณะยกแก้วชาร้อนขึ้นดื่มอย่างกระหาย ประหนึ่งว่าเพิ่งจะหาทางหนีออกมาจากทะเลทรายได้หยก ๆ
“พ่อนายเคยเห็นพวกนั้นตัวเป็น ๆ ด้วยเหรอแม้แต่ฉันยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเลยเพราะพวกมนุษย์ทรายอยู่ป่าแถบตะวันออกและจะออกมาเฉพาะช่วงกลางฤดูร้อนน่าแปลกที่ฉันไม่ยักรู้ว่าพวกนั้นเดินทางออกนอกน็อกเทิร์นเองได้ด้วยนายนี่น่าสนใจจัง” เธอพูดเอ่ยดวงตาเป็นประกายจับจ้องมายังเจ้าตัวแสบที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ได้แต่ยักไหล่ตอบส่ง ๆ
“ฉันไม่คิดว่าโรคความจำเสื่อมจะเป็นโรคระบาดนะ” เบ็นจามินขมวดคิ้วเป็นปมไม่ต่างจากชินที่ชักสีหน้าเคร่งเครียดและเริ่มเหม่อลอยฟุ้งอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
“เรื่องผงทราย... คุ้น ๆ เหมือนเคยอ่านเจอจากที่ไหนสักแห่ง...” ชินงึมงำพลางคว้าแผ่นโพยกระดาษที่จดรายชื่อตำราทั้งหมดที่ตัวเองเคยอ่านขึ้นมาจ้องผ่านกรอบแว่น
“เดี๋ยวก่อนนะ ถ้านายได้ไปคลุกคลีกับพวกแกรนด์โกสต์อย่างนั้นนายก็คงจะรู้ซินะว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดพวกนี้ใช่ไหม” ลูคเอ่ย สายตาจับจ้องไปที่น็อกซ์ที่นั่งเกาหน้าเกาตาอย่างไร้มารยาท
มนุษย์หมาป่าในคราบเด็กหนุ่มพยักหน้าตอบด้วยท่าทางกระตือรือร้นที่จะบอก
“ใช่เบอมิวด์หรือเปล่า” ลูคยิงคำถามต่อทันที
น็อกซ์พยักหน้าตอบอีกครั้ง
“แล้วยังมีคนอื่นอีกด้วยไหม ฉันไม่คิดว่าลำพังเบอมิวด์จะทำเรื่องพวกนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก”เบ็นจามินเอ่ยขึ้นบ้าง
น็อกซ์พยักหน้าซูบซีดตอบดวงหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือดขึ้นทันทีหลังจากที่ได้ยินคำถามของเบ็นจามิน
“ให้ตายเถอะ ใครไปเย็บปากนายไว้หรือไง เอาแต่พยักหน้า” ซิดจ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงส่อความรำคาญ
“น้องฉันเป็นใบ้” ฌายาตอบแทนน็อกซ์
ซิดจ์หน้าเสียทันที
“แล้วใครล่ะ” ลูคถามจี้อีกรอบ
น็อกซ์ส่ายหน้า
ลูคไม่แน่ใจว่าน็อกซ์ไม่กล้าบอกหรือเพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าคนนั้นคือใคร
“นายไม่รู้เหรอว่าคน ๆ นั้นคือใคร” ลูคย้ำ
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งบนบานประตูดังเติมแต่งความสดใสให้กับบทสนทนาสุดเครียดคลีโอวิ่งปรี่ออกมายังระเบียงด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
“ไอ้ลูค ไอ้ชั่ว” เสียงคำรามฉายความขุ่นเคืองดังจากปากของสาวน้อยจอมห้าวคลีโอพุ่งเข้ามาผลักเขาล้มคะมำลงไปที่พื้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in