เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกและเรื่องสั้นต่างๆของทากนุ่มนิ่มFLUFFYSNAIL
“แกจะไม่ตกในแนวดิ่งทันที”


  • “แกจะไม่ตกในแนวดิ่งทันที”
    ผมมองตามเครื่องบินลำนั้น ที่เธอกำลังชี้ให้ดู
    “เพราะแกจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับเครื่องบิน ตามแนวแกน x ก่อนในตอนแรก” เธอหันมาจ้องตาผมพร้อมทำมือขนานกับพื้น “หลังจากนั้นแกจะโดนแรงดึงดูดของโลกกระทำ ทำให้ตัวของแกเคลื่อนที่เป็นวิถีโค้ง” เธอวาดส่วนโค้งในอากาศ “แบบโปรเจคไทล์”

    เสียงจิ้งหรีดของฤดูร้อนคงกำลังดังระงม เพียงแต่ไม่สามารถได้ยิน เพราะถูกผนังกระจกและเสียงของเครื่องปรับอากาศในตึกกั้นเอาไว้ ผมซดน้ำฟักที่มีรสชาติค่อนไปทางจืดชืดจนรู้สึกเหมือนกำลังกินน้ำล้างแก้วของอะไรบางอย่าง ที่มีรสหวานๆลงคอ ผมยอมกิน เพราะเธอเป็นคนซื้อให้ เธอชอบมันมาก ผมรู้ เพราะผมเคยไปช่วยเธอยกน้ำฟักหลายแพ็คเข้าตู้เย็นที่บ้านของเธอมาแล้ว

    “สรุปก็คือ ถ้าเรากระโดดจากเครื่องบิน เราจะตกแบบโค้งๆลงมาบนพื้น ไม่ได้ตกตรงๆ”
    “ถูก และแกจะตกด้วยความเร็วที่มากกว่าการกระโดดตึกด้วยนะ ตื่นเต้นกว่า” เธอหันมาจ้องตาผม “ยังไง” ผมจ้องมองเธอกลับ “เพราะแกจะมีความเร็วทั้งในแนวแกน x และในแนวแกน y ไง” เธอยิ้ม ผมเบือนหน้าหนี “ไม่เข้าใจ” “ได้ไง เราอธิบายชัดเจนมาก” ไม่ใช่เรื่องนั้น

    ผมเงียบนั่งมองบอร์ดดิ้งพาสในมือเธอ ผมแปลกใจที่เธอไม่บ่นเรื่องที่นั่ง เธอชอบนั่งริมหน้าต่างมาก เธอบอกว่านั่งริมหน้าต่างดีกว่า เพราะจะได้มองวิวชัดๆ แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้บ่นซักนิด ผมเศร้านิดหน่อย
    “ไม่เข้าใจว่าทำไมแกต้องไป”
    เธอรับฟังคำถามของผมจนจบ เธอไม่ตอบในทันที เธอเขย่ากระป๋องน้ำฟักที่ไม่มีน้ำฟัก
    เป็นจังหวะเหมือนกำลังคิด
    “เพราะพี่เค้าอยู่ที่นั่นไง” เธอตอบ
    ผมเงียบไปซักพัก และถามต่อ
    “ทำไมพี่เค้าไม่มารับแก”
    เธอถอนหายใจ ระบายยิ้ม
    “พี่เค้ายุ่งน่ะ”
    เธอหันมาตอบ และจ้องตาผมอีกครั้ง เธอไม่เคยหลบตาผมเลย เธอเป็นแบบนี้เสมอ ผมหลบตาเธอ ผมนั่งพิงพนักเก้าอี้และเหม่อมองผู้คนเดินไปมา พวกเราเงียบ
    “โอเค” ผมตอบ

    ผมยืนมองเธอเดินหายไปในจุดตรวจค้นผู้โดยสารขาออก ผมไม่ได้ยิ้มให้ ผมยิ้มไม่ได้ถ้าผมไม่มีความสุข ผมรู้ว่าเธอรู้ว่าผมไม่มีความสุข เพราะผมไม่ได้ยิ้มให้ ผมจึงเพียงแค่ยืน และรู้สึกไม่ยินดีกับเธอ ผมมองส่งเธอ จนเธอหายไปอย่างสมบูรณ์

    ครั้งแรกที่ผมอกหัก เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเธอ เธอจ้องตาผมด้วยดวงตากลมโตที่มีประกายความซุกซนซ่อนอยู่ “เคยได้ยินเรื่องของก้อนหินที่หลงรักท้องฟ้ามั้ย” เธอถาม ในเย็นวันหนึ่งที่พวกเรานัดกันมาดูพระอาทิตย์ตก ผมถอนหายใจและพูดเสียงเนือยๆ “ไม่เคย” “โอ้ยย แก มีชีวิตชีวาหน่อย ทำหน้าเบื่อโลกแบบนี้พระอาทิตย์จะไม่น้อยใจหรอ” ผมหันไปยิ้มตาหยีให้กับความพยายามของเธอ เธอพยายามชวนผมคุยมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว เธอบอกอยากทำให้ผมหัวเราะ ผมเห็นใจเธอนะ แต่ผมไม่รู้สึกอยากหัวเราะจริงๆ “คือ เรื่องราวมันเป็นแบบนี้นะ” เธอเริ่มเล่า “สนุกจังเลย” ผมแหย่ “ยัง!” เธอยิ้ม
    “เรื่องราวเป็นแบบนี้”
    เธอเริ่มเล่าใหม่อีกครั้ง ผมตั้งใจฟัง

    กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กสาวคนหนึ่ง เป็นนักผจญภัย มีจิตใจกล้าหาญ “อ๋อ แกไง” ผมพูดเสียงสูง เธอชี้หน้าให้ผมหยุดแกล้ง ผมหัวเราะ เธอเล่าต่อ เด็กสาวคนนั้นจะต้องกลับบ้านให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกทุกวัน ดังนั้นทุกเย็น เธอจะไปบอกลาพระอาทิตย์ที่เนินเขาดอกไม้ระหว่างทางกลับบ้านเสมอๆ “ทำไมต้องเนินเขาดอกไม้” ผมถาม “แกไม่โรแมนติกไง แกไม่เข้าใจหรอก” เธอตอบ และเล่าต่อ เย็นวันหนึ่งที่เนินเขาดอกไม้ เธอได้ยินเสียงหนึ่งทัก ปรากฏว่าเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง “โห ก้อนหินพูดได้ แจ่มว่ะ” “ใช่” เธอบอก เด็กสาวคุยกับก้อนหินในเย็นวันนั้นแทนที่จะบอกลาพระอาทิตย์ เด็กสาวรู้สึกว่าก้อนหินช่างมีสเน่ห์และน่าหลงไหล หลังจากนั้นทุกเย็น เธอจะมาพูดคุยกับก้อนหิน เล่าเรื่องราวการผจญภัยของเธอให้ฟัง และนั่งมองพระอาทิตย์ตกเย็นไปด้วยกัน

    “จบไวจัง” ผมแกล้ง
    “ยัง!”

    เด็กสาวเล่าทุกเรื่องของเธอให้ก้อนหินฟัง ก้อนหินจึงเล่าเรื่องของมันให้เด็กสาวฟังบ้าง ก้อนหินบอกเด็กสาวว่า เขาหลงรักท้องฟ้ามานาน เขาอยากเหลือเกินที่จะได้ไปอยู่ใกล้ๆกับท้องฟ้า เขาอิจฉาดาวทุกดวง เมฆทุกก้อน อิจฉาพระจันทร์ หรือแม้กระทั่งพระอาทิตย์ มาโดยตลอด เขาบอกว่า ซักวันเขาจะต้องขึ้นไปอยู่ใกล้ๆท้องฟ้าให้ได้ เด็กสาวได้ฟัง จึงรู้สึกเห็นใจและอยากช่วยเหลือ เด็กสาวจึงอาสาจะเป็นคนช่วยให้ก้อนหินสมหวัง โดยการโยนก้อนหินขึ้นไปบนท้องฟ้าให้สูงที่สุด เด็กสาวรู้ดีเหมือนที่ก้อนหินเองก็รู้ ว่าการกระทำแบบนั้นช่างไร้ประโยชน์ แต่หลังจากนั้นทุกๆเย็น เด็กสาวก็ยังคงพยายามโยนก้อนหินให้สูงขึ้นทุกวัน ทุกวัน โยนให้สูงขึ้นกว่าวันก่อนหน้าที่โยน ยิ่งโยนสูงมากขึ้นเท่าใหร่ ตอนกระโดดรับก้อนหินที่ตกลงมา ก็ยิ่งทำให้มือเจ็บมากขึ้นเท่านั้น มีบางครั้งเด็กสาวต้องยอมไถลตัวไปกับพื้นจนเลือดไหลซึม เพราะต้องการปกป้องไม่ให้ก้อนหินเจ็บตอนหล่นลงมากระแทกพื้น ไม่ว่าจะต้องลองโยนก้อนหินให้สูงที่สุดอีกซักกี่ครั้ง หรือต้องกระโดดรับก้อนหินที่ตกลงมาจนตัวเจ็บช้ำไปอีกกี่ครั้ง เด็กสาวก็ยังคงมาช่วยโยนก้อนหินขึ้นไปบนท้องฟ้าทุกๆเย็น

    “เผื่อว่าซักวัน ก้อนหินจะสามารถไปอยู่กับท้องฟ้า เหมือนกับก้อนเมฆ กลุ่มดาว พระจันทร์ และพระอาทิตย์” เธอพูด และหันมาจ้องตาผม
    “เราไม่เข้าใจ ทำไมเด็กคนนั้นต้องยอมเจ็บตัวฟรีๆด้วย” ผมขมวดคิ้ว
    “เพราะว่ารักไง” เธอตอบ
    ผมเงียบ
    “ดูไม่รู้หรอว่าเด็กคนนั้นหลงรักก้อนหินเข้าให้แล้ว มันจะเจ็บมากๆเลยล่ะ การโยนก้อนหินและต้องกระโดดรับก้อนหินให้ได้ทุกครั้งน่ะ”
    ผมฟัง

    “ตามหลักการ การเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ถ้าไม่คิดแรงต้านอากาศ ทุกๆระดับที่เท่ากัน ขนาดของความเร็วจะเท่ากัน ยิ่งมีความเร็วมากเท่าใหร่ ความรุนแรงที่จะทำให้เกิดความเสียหายก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หมายความว่า ยิ่งแกโยนอะไรซักอย่างขึ้นไปบนฟ้าแรงมากเท่าใหร่ ตอนมันตกลงมา ความรุนแรงก็จะไม่ต่างกับแรงตอนแรกที่แกพยายามโยน”

    หลังจากเธอพูดจบ เธอเงียบ พวกเราเงียบนั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังตก
    ผมจ้องมองพระอาทิตย์ตก คิดถึงภาพเด็กสาวที่พยายามโยนก้อนหินขึ้นไปบนฟ้า

    “แล้วทำไมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า ก้อนหินที่หลงรักท้องฟ้า แทนที่จะเป็น เรื่องของเด็กสาวที่หลงรักก้อนหินล่ะ” ผมถาม เธอระบายยิ้ม “เพราะเด็กสาวคนนั้นต้องการเทิดทูนความพยายามของก้อนหินมากกว่าความเจ็บปวดของเธอไง”

    ผมหันไปมองหน้าเธอ ผมร้องไห้ เธอดูไม่ได้เสียใจที่เธอไม่สามารถทำให้ผมหัวเราะได้
    เธอเพียงแค่กอดผมแน่นๆด้วยร่างกายที่บอบบางแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่น “ถ้าเจ็บมาก ก็พอเถอะนะ ไม่ว่ายังไงก้อนหินของแก ก็ไม่มีทางสนใจแกหรอก เพราะเค้าหลงรักท้องฟ้าไปแล้ว”

    ผมร้องไห้จนตัวโยน ร้องไห้เหมือนตอนเด็กๆที่รู้สึกไม่ชอบใจอะไรบางอย่าง ร้องไห้เมื่อนึกถึงความโง่เขลา และความพยายามอันไร้ประโยชน์ของตัวเอง ผมร้องไห้เมื่อคิดถึงหลักการทางฟิสิกส์ของเธอ ผมร้องไห้ เมื่อคิดถึงคำพูดของเธอ

    และตอนนี้ ผมกำลังยืนร้องไห้อยู่ เพราะผมเห็นว่า เธอกำลังกลับไปพยายามโยนก้อนหินก้อนนั้นอีกครั้ง


    // https://www.youtube.com/watch?v=lx7LcOXPP8w

    // อยากฝากถึงคนๆนั้นที่เจอเมื่อคืนว่า ถ้าตอนนี้มือของคุณกำลังเจ็บมาก อย่าพยายามโยนก้อนหินก้อนนั้นต่ออีกเลยนะ


    เรากำลังทำเพจงานเขียนอยู่ เป็นเพจที่เต็มไปด้วยบันทึกและเรื่องสั้นต่างๆของเราเอง

    บางครั้งอาจมีการรีวิวหนังสือที่ชอบด้วย

    สามารถไปติดตามเราได้ทางเพจ 'ทากนุ่มนิ่ม'

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ :)





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in